24 ธ.ค. 2022 เวลา 05:23 • ประวัติศาสตร์
อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ค.ศ. 1809-1865
นักการเมือง
อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะบทบาทในการผลักดันให้มีการเลิกทาสในสหรัฐอเมริกา
1
อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln)
อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1809 ในบ้านไม้ที่ทำจากท่อนซุงในแถบชนบทของ ฮาร์ดิน เคาน์ตี้ (Hardin County) รัฐเคนตักกี้ เป็นบุตรของ โธมัส ลินคอล์น(Thomas Lincoln)
ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างไม้และชาวนาที่อยู่ไม่เป็นที่และมีฐานะยากจนมาก แม่ของเขาชื่อ แนนซี่ แฮง (Nancy Hank) ซึ่งเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1818 หลังจากนั้นไม่นานครอบครัวของเขาได้ย้ายไปตั้งรกรากในบริเวณป่าซึ่งปัจจุบันคือ
บริเวณเขตอุตสาหกรรมสเปนเซอร์ เคาตี้ (Spencer County industry)และได้แต่งงานกับหญิงมาให้ชื่อ ซาร่า บุช จอห์นสตัน (Sarah Bush Johnston) เธอเป็นแม่เลี้ยงที่ใจดีและรักอับราฮัม
เพิงไม้หลังนี้เป็นสถานที่เกิดของลินคอล์น
ลินคอล์น แทบจะไม่เคยเรียนในโรงเรียนเลยเขาเรียนด้วยตัวเองจากการอ่านหนังสือกล่าวคือ ลินคอล์น ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนเพียง 18 เดือนเท่านั้น
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเขาชอบที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่านอกจากนี้ ลินคอล์น ยังมีทักษะเกี่ยวกับการใช้ขวานอีกด้วย ลินคอล์น หลีกเลี่ยงการล่าสัตว์การตกปลาเพราะเขาไม่ชอบฆ่าสัตว์
แต่กระนั้นด้วยสภาพชีวิตที่ต้องต่อสู้ตามแบบฉบับของเด็กหนุ่มอเมริกันทำให้เขารักที่จะออกท่องโลกและทำความรู้จักกับโลกภายนอกอยู่เสมอการท่องโลกกว้างครั้งแรกของเขาคือ การล่องเรือตามแม่น้ำไปอย่างนิวออลีนในปี ค.ศ.1828
ในปี ค.ศ.1830 ครัวของเขาก็ได้ย้ายไปอยู่ที่ เมคอน เคาน์ตี้ (Macon County) รัฐอิลลินอยส์ แต่ปรากฏว่าด้วยสภาพปัญหาต่างๆของครอบครัวทำให้เขาต้องโยกย้ายอีกหลายครั้ง
กระทั่งปี ค.ศ.1831 เขาได้กลับไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองนิวซาเล็ม รัฐอิลลินอยส์เขาได้เริ่มทำงานในร้านขายของและดูแลโรงสีเขาเป็นที่ชื่นชอบของคนในแถบนั้นเพราะความขยันขันแข็งและความสามารถในการเล่าเรื่อง
แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะนิสัยของเขาที่ซื่อสัตย์และจริงใจมากกว่าเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำกลุ่มอาสาสมัครเพื่อเข้าร่วมสงครามแบล็ค ฮอว์ค (Black Hawk war) ในปี ค.ศ.1832 แต่ก็ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม
Black hawk War
เมื่อเขากลับมาที่นิวซาเล็ม เขาได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนในร้านขายของชำซึ่งต่อมากิจการได้ขาดทุนแล้วทำให้เขาเป็นหนี้จำนวนมาก หลังจากนั้นเขาได้ทำงานเป็นนักสำรวจ หัวหน้าไปรษณีย์หมู่บ้านและทำงานแปลกๆหลายอย่าง
รวมทั้งสับรางรถไฟในขณะเดียวกันก็ได้พัฒนาการศึกษาของเขาด้วยการเรียนกฎหมายและได้มีความสัมพันธ์กับ แอน รัทเลดจ์(Ann Rutledge)และในช่วงเวลานั้น
ด้วยความที่เขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีและเป็นคนกว้างขวาง รวมทั้งมักแสดงความคิดความเห็นทางการเมืองอยู่เสมอทำให้เขากระโดดเข้าสู่แวดวงการเมืองท้องถิ่น อับราฮัม ได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการรัฐในปี ค.ศ.1834 และได้ดำรงตำแหน่งติดต่อกันถึง 4 สมัย
จนถึงปี ค.ศ.1841 ได้มีบทบาทสำคัญในฐานะกลุ่มพรรครีพับลิกัน(Republican Party) ในปี ค.ศ.1836 เขาได้รับใบอนุญาตประกอบอาชีพทนายความและได้ย้ายไปที่เมืองสปริงฟิลด์ (Springfield) ในปีถัดมา
โดยได้เป็นหุ้นส่วนทางกฎหมายของ จอห์น ที. สจ๊วต (John T. Stuart) ซึ่งเขาก็ได้งานว่าความเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จของการเป็นหุ้นส่วนครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก สตีเฟ่น ที โลแกน(Stephen T. Logan) และ วิลเลียม เอช เฮิร์นดอน (William H. Herndon)
ซึ่งบุคคลผู้นี้เป็นผู้ที่เขียนอัตชีวประวัติของอับราฮัมในเวลาต่อมา ทำได้ฉายแววทางด้านกฎหมายจากการโต้แย้งแสดงเหตุผลความจริงใจประเด็นเรื่องสีผิว และการพูดที่เข้าใจได้ง่ายและชัดเจน
แมร์รี่ ทอดด์ ลินคอล์น
ในปี ค.ศ.1842 เขาได้แต่งงานกับ แมรี ทอดด์ (Mary Todd) หลังจากที่มีปัญหาติดพันผู้หญิง เขายังคงสนใจในการเมืองและได้ทำงานในสภาคองเกรส 1 สมัย(ค.ศ.1847-1849) แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียง
ทั้งนี้เขาได้สนับสนุนสงครามเม็กซิกัน(Mexican War)ทำให้เขาเสียความนิยมลงไป เขาได้เตรียมตัวอย่างหนักในการเลือกตั้งผู้สมัครพรรครีพับลิกันในปี ค.ศ.1848 แต่สอบตกเขาจึงหันหลังให้กับการเมืองและกลับไปทำงานด้านกฎหมาย
อับราฮัม ลินคอล์น ได้กลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งในปี ค.ศ.1854 โดยจับประเด็นด้านความขัดแย้งเรื่องทาสเขาคัดค้านนโยบายของ สตีเฟ่น เอ ดักลาส (Stephen A. Douglas) อย่างชัดเจน และร่างกฎหมาย แคนซัส-เนบราสกาเป็นพิเศษ
เขาได้โจมตีการประนีประนอมเกี่ยวกับเรื่องทาสและเสนอแนวคิดประชาธิปไตยในการประกาศเอกราชไว้ในสุนทรพจน์ที่เมืองสปริงฟิลด์และพีโอเรีย(Peoria)ในปี ค.ศ.1855 เขาลงสมัครวุฒิสมาชิกแต่สอบตกอีกครั้ง
สว.สตีเฟ่น เอ. ดักลาส จากอิลลินอยส์
เมื่อเริ่มเข้าใจว่าเขามาผิดทางจึงได้เข้าพรรครีพับลิกันในปี ค.ศ.1856 และกลายเป็นตัวเด่นในพรรคอย่างรวดเร็วในฐานะผู้คัดค้านเรื่องทาสซึ่งด้วยท่าทีของเขา ทำให้สามารถได้รับการยอมรับจากทั้งกลุ่มก้าวหน้าผู้ต้องการล้มล้มเลิกระบบทาสและกลุ่มรัฐอิสระที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมและยังไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในการประชุมระดับประเทศของพรรคในปี ค.ศ.1856
เขามีความสำคัญในฐานะตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี 2 ปี ต่อมาพรรคได้แต่งตั้งให้เขาเป็นตัวแทนเพื่อชิงตำแหน่งวุฒิสมาชิกในรัฐ อิลลินอยส์กับ ดักลาส
หลังจากนั้นเขาได้ประกาศสนับสนุนสหภาพ(The Union)ซึ่งหมายถึงรัฐที่ยังรวมกันเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐว่า
สภาที่ถูกแบ่งแยกออกจากกันจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้
อับราฮัม ลินคอล์น
โครงการรณรงค์ที่ตามมาประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ
อับราฮัม ลินคอล์น ได้ท้าทายดักลาส ด้วยประเด็นเกี่ยวกับความจำเป็นในการอยู่ร่วมกันและความเป็นประชาธิปไตย เขาไม่ได้เป็นพวกเลิกล้มทาสแต่เห็นว่าทาสเป็นเรื่องของความอยุติธรรมและเป็นความชั่วร้าย
ถึงแม้ดักลาสจะชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก ลินคอล์น ก็ยังคงอภิปรายหาเสียงต่อไปในฐานะผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาออกปราศรัยครั้งแรกที่ คูเปอร์ ยูเนียน(Cooper Union) เมืองนิวยอร์กซิตี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1860
เขาได้รับความนิยมจากรัฐที่ต่อต้านระบบทาสและต้องชิงตำแหน่งกับ ดักลาส จอร์น ซี เบร็คคินริดจ์ (John C. Brechkingridge) และ จอห์น เบลล์ (John Bell) ในที่สุดลินคอล์นก็ชนะการเลือกตั้งจากเสียงข้างมากของกลุ่มผู้แทนแต่ได้รับเสียงไม่มากนักจากเสียงประชาชน
จอร์น ซี เบร็คคินริดจ์ รองปธน.สหรัฐ (1857-1861) และผู้ลงสมัครฯพรรคเดโมแครตฝ่ายใต้
สำหรับฝ่ายใต้การเลือกตั้งของ อับราฮัม ลินคอล์น ถือเป็นสัญญาณของการแบ่งแยกดินแดน แผนการประนีประนอมทั้งหมดที่เสนอโดย John j. Crittenden ได้ตกไปและในขณะที่ อัมราฮัม ลินคอล์น เข้ารับตำแหน่ง ได้มีรัฐทางใต้ 7 รัฐที่แยกตัวไปแล้ว
รัฐทางใต้ 7 รัฐที่ได้แยกตัวออกมาและตั้งชื่อใหม่เป็น สหพันธรัฐอเมริกา “The Confederate States” ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1861 รัฐทางใต้ 7 รัฐอันเป็นรัฐที่สนับสนุนการมีระบบทาสได้แก่ 1. South Carolina 2. Mississippi 3. Florida 4.Alabama 5. Georgia 6. Texas 7. Louisiana
แม้รัฐทางใต้ได้ประกาศแยกตัวออกไป แต่ลินคอล์นก็ยังมุ่งที่จะรักษาสหภาพไว้ และเขาได้ประณามการแยกตัวของรัฐเหล่านั้นโดยให้สัญญาว่าจะไม่ใช้กำลังแต่หลังจากนั้นไม่นาน
เขาก็สั่งให้ทหารเตรียมประจำการไว้ที่ป้อมซัมเทอร์ (Fort Sumter)โดยฝ่ายใต้ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการก่อสงคราม เมื่อป้อมถูกยิงสงครามกลางเมืองจึงเริ่มขึ้นในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1861
ถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายเกี่ยวกับการบริหารประเทศของ อับราฮัม ลินคอล์น เขาก็ได้ใช้ความเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งในการจัดการปัญหาต่างๆโดยได้ออกหมายเรียกทหารทันทีและส่งเรือรบปิดเมืองท่าต่างๆของรัฐทางฝั่งใต้ซึ่งเรียกตนเองว่าสหพันธรัฐอเมริกา(The Confederate)
และได้ระงับหมายเรียกตัวผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่คุมขังมายังศาลเพื่อพิจารณาว่า ถูกคุมขังโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แต่ลินคอล์นก็ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยใช้อำนาจที่มีอยู่
เจฟเฟอร์สัน เดวิส, ประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐอเมริกา (1861–1865)
แต่ก็มีข้อผูกพันและอุปสรรคต่างๆที่เป็นผลมาจากสงครามและความขัดแย้งของคนในพรรคเดียวกันคณะรัฐมนตรีซึ่งเต็มไปด้วยความริษยาและความเกลียดชังกันเอง กลุ่มผู้สนับสนุนการเลิกทาสได้ประณามเขาว่าเขาใช้วิธีที่นุ่มนวลเกินไป ในขณะที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมต่างหมดหวังที่จะได้ชัยชนะในสงคราม
ในช่วงสงคราม อับราฮัม ลินคอล์น ได้ใช้ความอดทนและสติปัญญาในการเริ่มทำสงครามกับฝ่ายเหนือก่อนเขาได้ตัดสินใจผิดพลาดทางการการทหาร เช่น การบุกรัฐเวอร์จิเนียที่ทำให้ฝ่ายสหภาพพ่ายแพ้ในสงคราม Bull Run
ในช่วงแรกของสงครามเขาได้ยกเลิกคำสั่งของ จอห์น ซี. เฟรมองต์ (John C. Fremont) และการปลดปล่อยทาสในกองทัพ เดวิด ฮันเตอร์(David Hunter) อย่างไรก็ตามชัยชนะของฝ่ายสหภาพที่แอนเทียทัม(Antietam)ได้เป็นรากฐานที่สำคัญที่ทำให้เขาออกประกาศการเลิกทาสได้(Emancipation Proclamation)
สงครามครั้งนี้ อับราฮัม ลินคอล์น มีจุดประสงค์หลักคือการรักษาสหภาพไว้ ความเศร้าสลดและความจำเป็นทำให้เขาสะเทือนใจและได้กล่าวสดุดีเพื่อไว้อาลัยให้กับทหารที่สุสานในเมืองเกตตี้เบิร์ก(Gettysburg) ในปี ค.ศ.1863
ในขณะนั้นเขาถูกคุกคามจากการลาออกของหัวหน้าพรรครีพับลิกันและพรรคฝ่ายค้านในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่ย่ำแย่ในปี ค.ศ.1864
แต่สิ่งที่ดีทางด้านการทหารได้เกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้งหลังจากที่ แกรนท์ (Grant) ได้มาเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ วิลเลียม ที เชอร์แมน (William T. Sherman) ยึดแอตแลนตาได้
ลินคอล์นเข้าสาบานตนเพื่อรับตำแหน่งหน้าอาคารรัฐสภาที่ยังสร้างไม่เสร็จ
อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งหลังจากที่ได้คะแนนเสียงข้างมาก โดยชนะ จอร์จ บี แมคเคลแลน (George B. McClellan) สุนทรพจน์ในการเข้ารับตำแหน่งครั้งที่ 2 ได้กล่าวเมื่อสงครามใกล้จะยุติลง
โดยเรียกร้องให้ประเทศใหม่ที่เกิดท่ามกลางเถ้าถ่านของฝ่ายใต้ซึ่งมีมุมมองด้านการให้อภัยที่ได้กล่าวไว้ว่า
ไม่ประสงค์ร้ายใคร และด้วยกุศลจิตสำหรับทุกคน (With malice to none : with charity to all)
เขามีชีวิตอยู่ได้จนเห็นสงครามยุติลง แต่ไม่ได้มีโอกาสดำเนินแผนการบูรณะประเทศ
ในคืนวันที่ 14 เมษายน ค.ศ.1865 เขาถูกลอบยิงในโรงละครฟอร์ดเธียเตอร์ (Ford’s Theater)และเสียชีวิตในเช้าวันถัดมาฆาตกรมีนักแสดงชื่อ จอห์น วิคกี่ส์ บูธ (John Wilkes Booth)
อับราฮัม ลินคอล์น เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกลอบสังหารในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาและทำให้เขากลายเป็นผู้เสียสละเพื่อความสามัคคีของคนในชาติในความคิดของประชาชนรุ่นหลัง
อับราฮัม ลินคอล์น เป็น 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่รูปใบหน้าได้รับการสลักไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์ (Mount Rushmore) ใบหน้าของเขาปรากฏอยู่บนธนบัตรราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐและเหรียญราคา 1 เซ็น ชื่อของเขาถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเรือดำน้ำนิวเคลียร์ และเรือบรรทุกเครื่องบิน
อนุสรณ์สถานแห่งชาติ เมานต์รัชมอร์(ลินคอล์น คือ คนขวาสุด)
เมื่อเวลาผ่านไป อับราฮัม กลายเป็นเสมือนสิ่งที่ได้รับการสรรเสริญเยินยอตำนาน ลินคอล์น จึงเกิดขึ้นถึงแม้ว่าเขาจะมีความผิดพลาดหลายอย่างแต่เขาก็เป็นที่ยอมรับในฐานะรัฐบุรุษที่มีวิสัยทัศน์ด้านคุณธรรม มนุษย์ทำและทักษะทางด้านการเมืองที่โดดเด่น
จึงไม่น่าประหลาดใจว่าคนสับรางรถไฟรัฐอิลลินอยส์ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยของอเมริกา ภาพเขียน รูปปั้นและสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่เขาได้มีอยู่ดาษดื่น อนุสรณ์สถานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอยู่ที่บ้านเกิดของเขาที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐอิลลินอยส์และอนุสรณ์สถานลินคอล์น ณ กรุงวอชิงตันดีซี
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา