เงินเฟ้อเริ่มนิ่ง-ดอกเบี้ยเริ่มแผ่ว ได้เวลาเติม ‘ตราสารหนี้’ เข้าพอร์ต
ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดการลงทุนผันผวนหนักมาก ทำให้นักลงทุนหลายคนตัดสินใจเทขายสินทรัพย์เสี่ยง หันมากอดเงินสดไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย สะท้อนได้จากดัชนีตลาดหุ้นหลายตัวที่ติดลบไปพอสมควร
แต่หลังเฟดมีสัญญาณเริ่มลดความร้อนแรงของการขึ้นดอกเบี้ย โดยรอบการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% น้อยกว่า 4 ครั้งก่อนหน้าที่ขึ้น 0.75% ในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม กันยายน และพฤศจิกายน เป็นสัญญาณบวกต่อตลาดการลงทุน ที่ตลาดผ่อนคลายความตึงเครียดลง
แม้ว่าความผันผวนและความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง แต่ด้วยสถานการณ์เงินเฟ้อที่แม้จะอยู่ในระดับสูง แต่เริ่ม “นิ่ง” ขึ้น และอัตราดอกเบี้ยของเฟด ที่แม้จะเป็นขาขึ้นแต่อาจจะ “ไม่เร็ว” อย่างที่ผ่านมา ซี่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.25 – 4.5% และนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับขึ้นต่อไปถึง 5-5.25% ในปี 2566 ฉะนั้น ในจังหวะที่รอจุด bottom นี้ ‘ตราสารหนี้’ จึงมีความน่าสนใจในฐานะแหล่งพักเงิน
#ทำไมตราสารหนี้จึงมีความน่าสนใจ
เพราะในภาวะที่ความเสี่ยงเริ่มลดลง และตลาดได้รับรู้ปัจจัยลบมามากแล้วในปี 2565 นี้ หากปี 2566 ภาวะเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยจริง จะกลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้แนวโน้มผลตอบแทนตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นได้
ทั้งนี้ อาจแยกตราสารหนี้ออกเป็น 2 ส่วน คือ ตราสารหนี้ภาครัฐ หรือที่เรียกว่า ‘พันธบัตร’ มีแนวโน้มผลตอบแทนปรับขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือ ‘หุ้นกู้’ บริษัทก็มีแนวโน้มจะเสนอผลตอบแทนสูงขึ้น เพื่อเพิ่มแรงจูงใจนักลงทุนให้เข้าลงทุนในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงกดดัน โดยตราสารหนี้มีความเสี่ยงหลากหลายตั้งแต่เสี่ยงต่ำไปจนถึงเสี่ยงสูง ซึ่งสังเกตได้จากการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating)
เพราะฉะนั้น หากใครจะลดการถือเงินสด หันมาพักเงินในตราสารหนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นตราสารหนี้อะไรก็ได้ในภาวะที่เศรษฐกิจถดถอย แต่ควรเลือกตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี อย่างพันธบัตรรัฐบาล หรือ หุ้นกู้เอกชน ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade
#ราคาตราสารหนี้ช่วงนี้เป็นอย่างไร
ลองมาสำรวจราคาตลาดตราสารหนี้โลก (Global Aggregate Bond) ในช่วงเดือนพฤศจิกายน เราพบว่า ผลตอบแทนบวกกว่า 3% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ FOMC ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.5%
ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ราคาพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.3% ขณะที่หุ้นกู้สหรัฐฯ ระดับ Investment grade ปรับขึ้นประมาณ 5.9% ส่วนหุ้นกู้ High Yield Bond เพิ่มขึ้น 2.8% ด้านตราสารหนี้ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM Aggregate) สามารถปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดีบวกได้ถึง 7.6%
สำหรับตราสารหนี้ไทย วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงดำเนินต่อเนื่องไปอย่างน้อยจนถึงกลางปีหน้า แต่คาดว่าจะดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผลตอบแทนตราสารหนี้ไทยจึงมีแรงกดดันอยู่มาก ซึ่ง ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2565 ผลตอบแทนพันธบัตรไทย 2 ปีอยู่ที่ 1.536% และ 10 ปีอยู่ที่ 2.349% เทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 2 ปี อยู่ที่ 4.1667% และ 10 ปี อยู่ที่ 3.473% (ข้อมูลจาก th.investing.com)
#ได้เวลา Asset allocation รอบใหม่
ในภาวะที่ตลาดมีความเสี่ยงขาลง และพอจะประเมินแนวโน้มในระยะต่อไปของปัจจัยหลักอย่างเงินเฟ้อและดอกเบี้ย รวมทั้งผลกระทบต่อเนื่องได้ในระดับหนึ่ง ก็เป็นจังหวะที่น่าจะเริ่มปรับพอร์ตในช่วงนี้ เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นในระยะยาว
นอกจากการเข้าทยอยสะสมหุ้นคุณภาพดีในราคาถูก ที่มีศักยภาพฟื้นตัวเร็วเมื่อตลาดกลับมาปกติ ทั้งยังเป็นการลดการถือครองเงินสดในภาวะที่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง แต่การเพิ่มสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้ก็เป็นอีกแนวทางในการลดถือครองเงินสด และช่วยกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนได้อีกด้วย ที่สำคัญมีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนตามทิศทางดอกเบี้ยในระยะข้างหน้า
ผู้ลงทุนสามารถเพิ่มตราสารหนี้ในพอร์ตลงทุนได้ ผ่านกองทุนเปิดบัวหลวงตราสารหนี้ (BFIXED) ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งภาครัฐและตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี ระดับ Investment Grade และหากต้องการสิทธิลดหย่อนภาษีด้วย ก็มีทางเลือกกับกองทุนเปิดบัวหลวงตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ (BFRMF) ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีเช่นกัน
ส่วนใครที่ไม่มีเวลาจัดพอร์ต และอยากกระจายการลงทุนที่สมดุลในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลาย และได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีด้วย แนะนำกองทุนเปิดบัวหลวงอินคัมเพื่อการออม (B-INCOMESSF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายกระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในตราสารหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารทุน หน่วยลงทุนของกองทุนรวม
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม:
คำเตือน: การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน
ความเสี่ยง และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุในคู่มือการลงทุน RMF/SSF ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้ อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
#กองทุนรวม #ลงทุน #ลงทุนในกองทุนรวม #กองทุนลดหย่อนภาษี #พันธบัตร #หุ้นกู้ #ตราสารหนี้ #FixedIncome #BFIXED #BFRMF #BINCOMESSF
- 3
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
