27 ธ.ค. 2022 เวลา 01:44 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
นับตั้งแต่ที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง ด้วยการที่สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ใส่แผ่นดินญี่ปุ่นเป็นต้นมา ชาติมหาอำนาจต่าง ๆ ก็เริ่มหันมาครอบครองเทคโนโลยีอาวุธนิวเคลียร์กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพโซเวียต อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน หรือแม้แต่ประเทศอินเดียก็ตาม ซึ่งได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างฝ่ายทุนนิยมตะวันตก กับประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น และนำไปสู่การแข่งขันการพัฒนาประสิทธิภาพการทำลายล้างของระเบิดนิวเคลียร์ที่สุด
โดยทุกครั้งที่ระเบิดนิวเคลียร์ได้รับการอัปเกรด ทางกองทัพของชาติมหาอำนาจก็จะเริ่มดำเนินการทดสอบจุดชนวนระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาจริง ๆ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมา ถึงขนาดที่ว่าในช่วงทศวรรษที่ 1960 ในระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกับโครงการอะพอลโล ที่มีเป้าหมายในการส่งมนุษย์ไปสำรวจบนพื้นผิวดวงจันทร์
รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้เสนอแผนการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเล็กใส่ดวงจันทร์ขึ้นมา เพื่อแสดงแสนยานุภาพทางการทหารต่อสหภาพโซเวียตว่าตนมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่า ภายใต้รหัสโครงการ A119 ซึ่งจัดว่าเป็นความลับทางการทหารสูงสุดในขณะนั้น
ก่อนที่ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1990 ความลับทางการทหารเก่า ๆ ก็เริ่มทยอยเปิดเผยต่อสาธารณชนตามกฎหมายความโปร่งใสของสหรัฐฯ ซึ่งได้ชี้ให้เห็นทางฝั่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ต้องการให้กลุ่มควันรูปเห็ดจากระเบิดนิวเคลียร์นั้นสูงใหญ่เสียจนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจากบนโลกได้ อีกทั้งทางกองทัพยังมีการว่าจ้างทีมนักวิทยาศาสตร์ 10 คนให้ศึกษาความเป็นได้ของการจุดชนวนระเบิดนิวเคลียร์บนดวงจันทร์ และคำนวณผลกระทบที่อาจตามมาหลังจากจุดระเบิดแล้ว
แต่ปรากฏว่า คาร์ล เซแกน หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไปในทีมสอบสวนกลับแอบเปิดเผยความลับทางการทหารสูงสุดนี้แก่สถาบันวิทยาศาตร์มิลเลอร์ (Miller Institute) ภายใต้กำกับดูแลของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียผ่านทางจดหมายลับในปี 1959 ซึ่งผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของ คาร์ล เซแกน ในยุค 90 ก็ได้พบหนึ่งในจดหมายลับนี้โดยบังเอิญที่มุมอับบนชั้นหนังสือของ คาร์ล ในช่วงเวลาเดียวกับที่โครงการ A119 เปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างพอดิบพอดี
โดยในขณะที่คาร์ล เซแกน กำลังหาวิธีปกป้องดวงจันทร์จากการจุดชนวนระเบิดนิวเคลียร์ของกองทัพสหรัฐฯ ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่เหลือก็ได้ออกมาแสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะนำหัวรบนิวเคลียร์แบบฟิชชั่นบรรจุใส่จรวดยิงไปยังดวงจันทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกไปเกือบ 400,000 กิโลเมตร ด้วยความแม่นยำในระยะไม่เกิน 3 กิโลเมตรจากจุดที่กำหนดไว้
พร้อมกับเสนอแผนการส่งอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ไปติดตั้งบนดวงจันทร์ในบริเวณจุดชนวนเพื่อตรวจวัดค่าตัวเลขต่าง ๆ ทั้งก่อนและหลังการระเบิดนิวเคลียร์อีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้องค์ประกอบของดวงจันทร์ในชั้นหินที่ลึกลงไปได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่จะไม่ทำให้ดวงจันทร์เคลื่อนตัวผิดแปลกไปแต่อย่างใด เนื่องจากผลการศึกษาผลกระทบได้แสดงให้เห็นว่าแรงพลังงานจากนิวเคลียร์ที่จะนำไปปล่อยนั้น มีน้อยเสียจนหลุมอุกกาบาตที่เกิดขึ้นจากการระเบิดนั้นจะมีขนาดเล็กเสียจนกล้องโทรทรรศน์ราคาแพงบนโลกไม่อาจส่องเห็นได้
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อโครงการก็ได้ถูกพับลงไปจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิทยาศาสตร์ระดับสูงในหน่วยงานรัฐบาลเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะความกลัวต่อการสูญเสียการควบคุมผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์ที่อาจมีโอกาสสร้างความเสียหายต่อชั้นบรรยากาศโลกได้ ประกอบกับปัญหาด้านรังสีตกค้างบนพื้นผิวดวงจันทร์ที่จะตามมาในภายหลังอีกด้วย
จนกระทั่งต่อมาในปี 1967 สหรัฐอเมริกาก็ได้ลงนามในสนธิสัญญาอวกาศร่วมกันนานาชาติ ว่าด้วยเรื่องการห้ามทดลองระเบิดนิวเคลียร์ และงดเว้นกิจกรรมทางการทหารบนอวกาศโดยสิ้นเชิง เอกสารรายละเอียดฉบับเต็มของโครงการ A119 จึงได้ถูกทำลายลงโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ นับแต่นั้นเป็นต้นมา
แต่ก็ยังดีที่ว่ายังคงมีเรื่องราวบางส่วนที่เล็ดลอดออกผ่านสำเนาทางการทหารที่กลุ่มนักวิทยาศาสตร์แอบส่งต่อมากันเป็นทอด ๆ ซึ่งก็รวมไปถึงจดหมายของ คาร์ล เซแกน ด้วย ก่อนที่เอกสารที่หลงเหลืออยู่จะได้รับการเปิดเผยในช่วงยุค 90 ตามที่กล่าวไปข้างต้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นความโชคดีของมนุษย์ที่โครงการ A119 ไม่เคยเกิดขึ้นจริง มิเช่นนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้ที่ดวงจันทร์ก็จะกลายเป็นสถานที่ทดสอบนิวเคลียร์ของชาติอื่น ๆ เช่นกัน ซึ่งอาจทำให้ไม่มีสนธิสัญญาห้ามปรามและจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ตามมาแบบข้อตกลงในปี 1967 อย่างแน่นอน
โฆษณา