30 ธ.ค. 2022 เวลา 01:26 • กีฬา
สตอรี่ที่งดงามมากๆ ของคาโอรุ มิโตมะ กับ อาโอะ ทานากะ สองผู้เล่นทีมชาติญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ฟุตบอลโลก แต่ไม่มีโอกาสได้โพสต์ คิดว่าช่วงปลายปีแบบนี้ เหมาะสมจะเอามาลงครับ
ใครจะไปเชื่อว่าเด็กหนุ่มสองคนที่เป็นเพื่อนกันสมัยเด็กและมีความฝันว่าอยากติดทีมชาติญี่ปุ่นทั้งคู่ ในวันหนึ่งพวกเขาก็ติดทีมชาติจริงๆ พร้อมกับเป็นคนแอสซิสต์และคนยิง ในประตูที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลญี่ปุ่นด้วย
2
นี่เป็นพล็อตการ์ตูนที่นักเขียนญี่ปุ่นใช้มาตลอด ตั้งแต่เรื่อง "กัปตันสึบาสะ" เพื่อนรักสองคนที่อยู่โรงเรียนนันคัตสึ โอโซระ สึบาสะ กับ มิซากิ ทาโร่ วันหนึ่งก็ก้าวไปเป็นผู้เล่นทีมชาติทั้งคู่
เช่นเดียวกับเรื่อง "ยิงประตูสู่ฝัน" ทาคาสุงิ คาซึยะ กับ คิบะ ทาคุมะ ที่เป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ป.5 อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ จนคว้าแชมป์ ม.ปลายระดับประเทศพร้อมกัน และสุดท้ายก็ติดทีมชาติไปเล่นบอลโลกทั้งคู่ หลังจบบอลโลก ทาคาสุงิย้ายไปฟิออเรนติน่า ส่วนคิบะย้ายไปแอตเลติโก้ มาดริด
แต่พอเรื่องที่ดูเหมือนจะมีแค่ในการ์ตูน ดันเกิดขึ้นในชีวิตจริง ก็เลยกลายเป็นเหตุการณ์สุดคลาสสิคอย่างมาก
คาโอรุ มิโตมะ เกิดที่เมืองคานางาวะ และเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมชื่อซากินุมะ สังกัดอยู่ชมรมฟุตบอลของโรงเรียน
หลังจากมิโตมะเข้าเรียนได้ 1 ปี อาโอะ ทานากะที่เกิดในคานางาวะเช่นเดียวกัน ก็เข้ามาเรียนที่โรงเรียนประถมซากินุมะตามมาติดๆ และเป็นรุ่นน้องที่ชมรมฟุตบอล
เคนทาโร่ โมริ โค้ชทีมโรงเรียนซากินุมะที่ดูแลทั้งสองคนเล่าว่า มิโตมะจะเป็นเด็กต๊องๆ ฮาๆ "ทุกๆ ซัมเมอร์ เราจะเก็บตัวเทรนนิ่งแคมป์ของชมรมฟุตบอล และตอนจบแคมป์เราจะเขียนบันทึกว่าได้อะไรจากแคมป์นี้ เด็กคนอื่นๆ ก็จะเขียนเกี่ยวกับฟุตบอล แต่มิโตมะเขียนว่า 'ผมดีใจเป็นบ้าที่ฟาดแตงโมแตกเป็นคนแรก' " (ลองนึกภาพกิจกรรมของเด็กญี่ปุ่น ที่ปิดตาแล้วฟาดลูกแตงโม)
ขณะที่ทานากะ จะเป็นคนที่ซีเรียสมากกว่า โดยทัตสึยะ อิโนอุเอะ โค้ชอีกคนของทีมโรงเรียนเล่าว่า "ทานากะเป็นคนที่มีคาแรคเตอร์ของคำว่า 'เกลียดความพ่ายแพ้' ,'จริงจัง' และ 'พร้อมทำงานหนัก' "
แม้สองคนนี้จะมีนิสัยต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเป้าหมายในอนาคต โดยคุณครูที่โรงเรียนเคยให้เขียนว่า ความฝันในชีวิตคืออะไร ซึ่งทั้งคู่ตอบเหมือนกันว่า "ติดทีมชาติญี่ปุ่น"
เมื่อพูดถึงย่านซากินุมะ สถานที่ตั้งของโรงเรียนทั้งคู่ ถามว่าเป็นย่านที่เจริญไหม? จริงๆ ก็ไม่ได้อยู่กลางเมืองขนาดนั้น ซากินุมะตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเมืองคาวาซากิ กับเมืองโยโกฮาม่า ใช้เวลานั่งรถไฟด่วนจากสถานีชิบุยะ 28 นาที
1
แต่ที่ญี่ปุ่นนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่จังหวัดไหนของประเทศ ถ้าเป็นเรื่องฟุตบอลแล้ว พวกเขาจะมี Facility ที่พร้อมมากๆ ในการพัฒนาเยาวชน
โรงเรียนมีสนามกีฬาที่ดี รวมถึงมีสนามฟุตบอลประจำเมืองที่เด็กๆ เข้าไปใช้ได้ ทุกอย่างมันเอื้อต่อการเติบโตของเยาวชนเป็นอย่างมาก
อย่างเมืองซากินุมะ นอกจากสนามบอลในโรงเรียนแล้ว ยังมีสนามฟุตซอลชื่อฟรอนท์ทาวน์ ที่อยู่ห่างจากสถานีรถไฟแค่ 4 นาที เมื่อทั้งคู่ต้องการจะฝึกเพิ่มเติม ก็มีสนามให้ลงเล่นตลอดเวลา นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่มิโตมะ กับ ทานากะเลเวลอัพอย่างรวดเร็วมาก
ไม่ใช่แค่อยู่โรงเรียนเดียวกันเท่านั้น แต่ทั้งคู่ไปคัดตัวเข้าอะคาเดมี่ของสโมสรท้องถิ่น คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ และติดทีมในเวลาใกล้เคียงกัน เล่นด้วยกันตั้งแต่ u-12, u-15 และ u-18
ครั้งหนึ่งมิโตมะเคยทำ Q&A กับสโมสรคาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ซึ่งก็มีคำถามหลายข้อเช่น นักเตะที่เป็นแรงบันดาลใจสูงสุดในชีวิต เขาตอบว่า เนย์มาร์ กับ เมสซี่ , รถที่อยากขับ ตอบว่าเมอร์เซเดส เบนซ์, เกลียดอะไรที่สุด ตอบว่าแมลง, การ์ตูนที่ชอบที่สุด ตอบว่าวันพีซ
พอมาถึงคำถามว่า นักเตะคนไหนที่เขาไปกินข้าวด้วยบ่อยที่สุด คำตอบคือ อาโอะ ทานากะ
ถ้าคุณเป็นโค้ช อยากเป็นโค้ชให้นักเตะแบบไหน คำตอบคือ อาโอะ ทานากะ
ถามว่าใครคือคนที่เข้าใจคุณมากที่สุด คำตอบคือ อาโอะ ทานากะ เช่นเดิม
2
จะเห็นได้เลยว่ามิโตมะกับทานากะ สนิทกันมาก พวกเขาผูกพันกันตั้งแต่ชั้นประถม และอยู่อะคาเดมี่ของฟรอนตาเล่พร้อมกันอีกต่างหาก จริงๆ มิโตมะอายุมากกว่าทานากะ 1 ปี 4 เดือน แต่จริงๆ ก็คือเพื่อนรุ่นๆ เดียวกันนั่นแหละ
หลังการซ้อมฟุตบอลปกติ ทั้งคู่ดวล 1 ต่อ 1 กันตลอด เพื่อเพิ่มทักษะให้เฉียบคมขึ้น ทั้งคู่ทะเยอทะยานตั้งแต่เป็นวัยรุ่นแล้ว
ทางแยกที่ทำให้ทั้งคู่ต้องห่างกัน เกิดขึ้นในปี 2016 มิโตมะอายุ 19 ปี และทานากะอายุ 18 ปี ทั้งคู่เรียนจบมัธยมปลายแล้ว และมีทางเลือกว่าจะไปทางไหนต่อ ตัวทานากะตัดสินใจเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับฟรอนตาเล่ ในขณะที่มิโตมะ เลือกเรียนต่อที่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยสึคุบะ
คือ ณ เวลานั้น ทานากะ ได้รับคำยกย่องแล้วว่าเป็นกองกลางพรสวรรค์ แต่มิโตมะยังค้นหาตัวเองไม่เจอว่าชอบเล่นตำแหน่งไหนกันแน่ ถ้าเซ็นอาชีพไปทั้งๆ ที่ยังครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้อาจจะไม่รอดมากกว่า ดังนั้นจึงคิดว่า อาจจะดีถ้าไปเก็บประสบการณ์จากการเรียนมหาวิทยาลัยก่อน
ที่มหาวิทยาลัยสึคุบะ สิ่งที่มิโตมะได้เรียนรู้มากขึ้น คือการเลี้ยงบอลมันไม่ใช่แค่วิ่งไปทื่อๆ แต่มันก็มีศาสตร์ของมัน เขาโชคดีที่ได้อาจารย์ดี นั่นคือโค้ชมาซากิ โคอิโดะ ที่เคยเล่นอาชีพมาก่อน จึงสอนเทคนิคการสปรินท์ การกระชากอย่างถูกจังหวะ จนมิโตมะยิ่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ถึงตรงนี้เขารู้แล้วว่าตำแหน่งดีที่สุดของตัวเองคือปีกที่ใช้ความเร็วกระชากบอล
1
หลังเรียนจบมหาวิทยาลัย ได้รับปริญญาเรียบร้อย มิโตมะกลับมาเซ็นสัญญากับคาวาซากิ ฟรอนตาเล่อีกครั้ง เขากับอาโอะ ทานากะ ได้เล่นอาชีพด้วยกัน และช่วยฟรอนตาเล่คว้าแชมป์เจลีกอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2020 ด้วย
โดยในปี 2020 นั้นเอง ที่ทั้งมิโตมะและทานากะ ได้รับคัดเลือกให้ติดทีมออลสตาร์ของเจลีกทั้งสองคน คิดดูว่าเด็กประถมที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน ตอนนี้พวกเขาติดทีมออลสตาร์เจลีกทั้งคู่แล้ว
1
มิโตมะ กับ ทานากะ แยกทางกันอีกครั้ง เพราะทั้งคู่เก่งเกินกว่าจะอยู่ในเอเชีย มิโตมะไปอยู่กับสโมสรไบรท์ตันที่อังกฤษ ส่วนทานากะไปอยู่กับสโมสรฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ ที่เยอรมัน เรียกได้ว่าแต่ละคนก็มีเส้นทางอาชีพที่สดใสของตัวเองรออยู่
ตอนฟุตบอลโลกปี 2018 ทั้งสองคนยังเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในวงการ แต่ผ่านไป 4 ปี ในบอลโลก 2022 พวกเขาพร้อมแล้วที่จะติดทีมชาติชุดใหญ่ มิโตมะได้ใส่เบอร์ 9 ส่วนทานากะได้ใส่เบอร์ 17
ในฟุตบอลโลกที่กาตาร์ ญี่ปุ่นชนะเยอรมันนัดแรกและแพ้คอสตาริกานัดสอง ทำให้อยู่ในสถานการณ์วิกฤติที่สุด ต้องชนะสเปนนัดที่สามเท่านั้นถึงจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
สเปนนำก่อน 1-0 จากอัลบาโร่ โมราต้า แต่ญี่ปุ่นตีเสมอได้จากริทสึ โดอัน ตอนนี้สกอร์ของทั้งสองทีมอยู่ที่ 1-1 ญี่ปุ่นจำเป็นต้องยิงลูกที่สองสถานเดียว ไม่งั้นก็ตกรอบ
และแล้วโอกาสสำคัญก็มาถึง ในนาทีที่ 51 เมื่อริทสึ โดอันปาดบอลมาจากด้านขวา แต่น้ำหนักแรงเกินไป บอลทำท่าว่าจะออกหลังแน่ๆ
1
แต่ทันใดนั้น คาโอรุ มิโตมะ ไม่ยอมแพ้ เขาสปรินท์ตัวสุดเหยียด ไม่ยอมให้ลูกออกหลัง แล้ววัดใจใช้เท้าซ้ายตวัดเข้ากลางทันที ณ โมเมนท์นั้น นักเตะสเปนทั้งทีม หรือแม้แต่นักเตะญี่ปุ่นคนอื่นๆ ขาตายกันหมดแล้ว เพราะไม่มีใครคิดว่า มิโตมะจะไปถึงบอลได้ทัน
แต่คนเดียวที่ขยับตัว เข้ามาในจุดที่ถูกต้องที่สุดคือ อาโอะ ทานากะ
2
ลูกครอสของมิโตมะ พุ่งมาที่หน้าปากประตู และทานากะที่เป็นคนเดียวที่เคลื่อนไหว พุ่งชาร์จบอลจ่อๆ 2 หลาเข้าประตูไป
ลูกนี้ดูจากภาพช้าแวบแรก ใครๆ ก็คิดว่าน่าจะออกหลังไปแล้ว แต่จริงๆ เมื่อเช็กจาก VAR และภาพถ่ายแล้ว ลูกนี้ "ยังไม่ออกเต็มใบ" เหลือเศษเสี้ยวของลูกบอล 1.88 มิลลิเมตร ที่ยังอยู่บนเส้น ซึ่งเมื่อลูกไม่ออก 100% ตามกฎก็ถือว่าไม่ออก ลูกนี้ได้ประตูอย่างใสสะอาด
1
สิ่งที่น่าทึ่งในประตูนี้มีสองอย่าง อย่างแรกคือมิโตมะ ที่ไม่ถอดใจแม้บอลน่าจะออกหลังแล้ว แต่เขาสปรินท์ด้วยกำลังทั้งหมดจนตวัดกลับมาได้อย่างฉิวเฉียด และอย่างที่สองคือทานากะ ที่วิ่งมาอยู่จุดนัดพบได้พอดีเป๊ะ ถ้าเขามาช้ากว่านี้วินาทีเดียวก็โดนคู่แข่งเคลียร์ทิ้งได้แน่ๆ มันเป็นจังหวะที่พอเหมาะพอเจาะอย่างที่สุดแล้ว
ญี่ปุ่นนำ 2-1 และพวกเขารักษาสกอร์นี้ไว้ได้สำเร็จจนจบเกม ผ่านเข้ารอบด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม และนี่คือหนึ่งในโมเมนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเอเชีย
หลังจบเกม มิโตมะพุ่งเข้าไปกอดทานากะจนล้มกลิ้งไปกับพื้น ทานากะหัวเราะแล้วพูดว่า "โอ๊ย มันเจ็บ"
มิโตมะพูดขึ้นมาอย่างสะใจว่า "ฉันรู้ว่านายต้องอยู่ตรงนั้นแน่ๆ!" จากนั้นทานากะก็กอดมิโตมะกลับแล้วบอกว่า "ฉันก็รู้ว่านายต้องจ่ายบอลมาตรงนั้นเหมือนกัน!"
1
ใช่ มันอาจจะเป็นเรื่องเซนส์ของนักฟุตบอล ที่ทำให้เพลย์นั้นเป็นประตู
แต่คนญี่ปุ่นอีกส่วนก็เชื่อว่า ถ้าไม่ใช่สองคนนี้ ลูกนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ ไม่ควรมองข้ามสายสัมพันธ์ของเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ที่รู้ใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เพราะมันทำให้ความมหัศจรรย์เกิดขึ้น
1
ทานากะรู้ว่าสปีดของมิโตมะเร็วแค่ไหน ใช่ ลูกเหมือนจะออก แต่ด้วยความเร็วของมิโตมะอาจจะทำให้มันไม่ออกก็ได้
เช่นเดียวกับมิโตมะเขาก็รู้ว่าทานากะเซนส์บอลดีขนาดไหน ในจุดที่ทุกคนไม่ทันคิด แต่ตรงนั้นอาจมีทานากะยืนอยู่เพื่อยิงประตู
แม้สุดท้ายแล้ว ญี่ปุ่นจะตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเท่านั้น แต่ชัยชนะเหนือสเปนและปาฏิหาริย์ 1.88 มิลลิเมตร จะเป็นภาพคลาสสิคที่อยู่คู่กับโลกฟุตบอลไปอีกตลอดกาล
ภาพของเด็กหนุ่มสองคน ที่เคยมีความฝันด้วยกัน ว่า "อยากติดทีมชาติทั้งคู่" ในตอนนี้ไม่ใช่แค่ติดทีมชาติเท่านั้น แต่พวกเขายังสร้างประวัติศาสตร์พร้อมกันอีกด้วย
การ์ตูนที่เราอ่านกัน อาจรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์แล้ว แต่บางทีเรื่องจริงก็สุดยอดยิ่งกว่านั้น ชนิดที่เขียนเป็นสคริปต์ไม่ได้เลยทีเดียว
#OURFIELDOFDREAMS
โฆษณา