30 ธ.ค. 2022 เวลา 06:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Climate Tech โอกาสแห่งความมั่งคั่ง ขับเคลื่อนธุรกิจแบบ Quality Growth
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า เทรนด์สำคัญที่จะเกิดขึ้นภายใน 10 ปีต่อจากนี้คือ การสร้างการเติบโตแบบ Quality Growth หรือการโตแบบมีคุณภาพ และโตอย่างยั่งยืน โดยเทรนด์นี้เป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกเน้นอย่างมากบนหลายเวทีระดับโลก ทั้ง Economic Forum 2022 หรืองานรวมผู้นำระดับชาติอาเซียน ตลอดจนงานประชุม APEC ที่จัดขึ้นในประเทศไทย
2
ในอดีตหลายประเทศจะเน้นการเติบโตแบบ Aggressive Growth หรือ HI-speed Growth ที่เป็นการเติบโตแบบไม่ใส่ใจสังคม ความยั่งยืน ความเท่าเทียมหรือวิธีการ
แต่สิ่งที่โลกกำลังจะเดินต่อไปในอนาคตอีก 10 ปีจากนี้คือ Quality Growth ที่ต้องคำนึงถึงความยั่งยืน ความความเท่าเทียม ซึ่งหาก Break Down คำว่า Quality Growth ออกมาเป็นแต่ละเลเยอร์ จะมีคีย์เวิร์ดสำคัญคือ 1. Sustainability ความยั่งยืน 2. Diversity ความหลากหลาย 3. Inclusion เข้าถึงคนได้จำนวนมากขึ้น และ 4. Democratization
1
นายจิรายุสกล่าวต่อว่า เรื่องที่สำคัญที่สุด และนับเป็นโอกาสที่ใหญ่ที่สุดที่โลกเคยมีมาคือเรื่องของ Climate Tech ย่อมาจาก Climate Technology ซึ่งจะเป็นตัวที่เข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องของ Sustainability ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ใหญ่กว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องสามัคคีกันให้มากที่สุด เพื่อแข่งกับสงครามโลกครั้งที่ 3 นั่นคือเรื่องของโลกร้อน
“สิ่งนี้จะเป็นการร่วมมือกันที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกของเราเคยมีมา ไม่อย่างนั้นโลกของเราจะอยู่ไม่รอด แต่ยิ่งปัญหายิ่งใหญ่ ก็ยิ่งมีโอกาสเยอะ ผู้นำทั่วโลกบอกว่า มหาเศรษฐีระดับล้านล้านดอลลาร์คนแรกของโลกจะไม่ได้มาจากอุตสาหกรรม Blockchain หรือ Digital Asset ไม่ใช่ Elon Musk ไม่ใช่ Jeff Bezos แต่จะเป็นผู้ประกอบการที่มาจาก Climate Tech”
1
สถิติที่สำคัญก็คือ วันนี้มนุษย์ผลิตก๊าซเรือนกระจกต่อปีสูงถึง 52,000 ล้านตัน ตัวเลขนี้มากจากกระบวนการใน Supply Chain ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ซีเมนต์ เหล็ก การเดินทาง การผลิตไฟฟ้า อาหาร เสื้อผ้า ทุกอย่างรวมกัน แต่ในช่วงของการระบาดของ Covid-19 การบริโภคทรัพยากรธรรมชาติลดลงอย่างมหาศาล แต่ปริมาณก๊าซเรือนกระจกกลับลดลงเพียง 2,000 ล้านตันเท่านั้น
1
ขณะเดียวกัน โลกประกาศเป้าหมายสู่การเป็น Net Zero ให้ได้ภายในปี 2030 ความเป็นกลางทางคาร์บอนจะต้องเกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งจากวันนี้เหลือเวลาเพียงแค่ 8 ปี ที่จะต้องลดตัวเลขจาก 52,000 ล้านตันให้กลายเป็นศูนย์
“หมายความว่า เราใช้ชีวิตแบบเดิมๆ อีกไม่ได้แล้ว ซึ่งต่อจากนี้คือ การพูดถึงความเป็นความตาย ไม่ใช่เรื่องที่ทำก็ได้หรือไม่ทำก็ได้อีกต่อไป เพราะต่อจากนี้โลกของเราจะอยู่ไม่รอด และไม่ว่าใครจะมีอำนาจมากขนาดไหน ทุกคนต้องปรับตัวเพื่อที่จะมีชีวิตต่อไปให้ได้ และเรื่องนี้จะเป็น Enforcement ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วโลก”
นายจิรายุสขยายความต่อว่า Disruption ที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้มาจาก Digital Disruption แต่จะเป็น Disruption ของ Green Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำ ปลายน้ำ ที่ต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิตเพื่อความอยู่รอดของโลก แม้แต่ Bill Gate ยังบอกว่า ในช่วง Covid-19 ที่มนุษย์บริโภคทรัพยากรน้อยลงอย่างมาก ก๊าซเรือนกระจกยังลดลงแค่ 2,000 ล้านตัน ดังนั้น การบริโภคน้อยลงจึงไม่ใช่ทางแก้ของการลดโลกร้อน
1
การแก้ไขปัญหาของโลกร้อนที่แท้จริงคือการมี Break Through ทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนระบบ Supply Chain ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ให้กลายเป็นกระบวนการผลิตแบบใหม่ที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเทคโนโลยีนี้ถูกเรียกว่า “Climate Tech”
“Climate Tech จะเป็นโอกาสที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา หากใครทำได้จะเป็นคนที่สะสมความมั่งคั่งได้มากที่สุด”
อีก 1 คีย์เวิร์ดที่สำคัญ ซึ่งมีผลต่อภาคอุตสาหกรรมบนโลกในอนาคต นั่นคือ “Green Premium” และอุตสาหกรรมแรกที่ทำให้ Green Premium ลดลงคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
จิรายุสยกตัวอย่างว่า บุคคลที่รวยที่สุดในโลกอย่าง Elon Musk มีทรัพย์สินมากกว่า Jeff Bezos ถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ สิ่งที่ทำให้อันดับ 1 ทิ้งห่างอันดับ 2 ได้มากขนาดนี้เพราะ Elon Musk เป็นคนแรกที่ลด Green Premium ของอุตสาหกรรมยานยนต์ได้ และภายในปี 2025 รถไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถสันดาปทั่วโลก รถเกือบทุกคันจะกลายเป็นไฟฟ้า วิ่งได้ระยะทางไกลขึ้น สถานีชาร์จมีมากขึ้น และจะเกิด Network Effect กับรถสันดาป
1
เป็นจุดที่ Green Premium ได้หายไป เกิด Disruption อย่างรุนแรง เพราะนี่คือการเปลี่ยน Supply Chain ของอุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดอุตสาหกรรมหนึ่งในโลก
1
อุตสาหกรรมที่ 2 ที่คาดว่าในอนาคต Green Premium จะหายไป คือ อุตสาหกรรมเนื้อเทียม เพราะเนื้อเทียมมีกระบวนการผลิตที่ไม่เกิดก๊าซเรือนกระจก ประกอบกับใน 10 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะเพิ่มเป็น 8,000 ล้านคน อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้น ผิวดินแห้งขึ้น ผลผลิตจากพืชที่เคยผลิตได้จะน้อยลง ผลิตอาหารได้น้อยลง ขณะที่กระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ที่มนุษย์บริโภค สร้างสารมีเทนที่มีอานุภาพทำลายโลกสูงกว่าก๊าซคาร์บอนถึง 10 เท่า การจะเลี้ยงประชากรที่มีจำนวนถึง 8,000 ล้านคนจึงเป็นปัญหา
1
“อุตสาหกรรมการผลิตเนื้อจะต้องมี Break Through ที่เป็น Climate Tech ทำให้ Green Premium หายไป เปลี่ยนเนื้อเทียมในปัจจุบันที่ไม่อร่อย มีราคาแพงกว่าปกติ กลายเป็นเนื้อที่ปลูกได้ มีราคาถูกและอร่อยกว่าเนื้อจริง ผู้ที่ทำได้จะกลายเป็น Elon Musk คนที่ 2 ของโลก”
1
นายจิรายุสกล่าวอีกว่า ในอนาคตทุกมหาวิทยาลัยต้องจับมือกันเพื่อจะเปิด Climate School ขึ้นมาเพื่อสอนตั้งแต่ระดับชาวนาให้ปลูกข้าวโดยไม่ให้เกิดสารมีเทน เพื่อเพิ่มราคาสินค้า และในทุกสินค้าหรือบริการในอนาคตจะมีฉลากคาร์บอน ที่ระบุถึงการปริมาณคาร์บอนที่ใช้ในการผลิต ขณะที่สินค้าที่แบบคาร์บอนฟรีจะราคาถูกกว่า สินค้าที่ทำลายโลกจะมีภาษีสูงกว่า
1
อุตสาหกรรมที่ 3 คือ อุตสาหกรรมซีเมนต์ เหล็ก ซึ่งมีการสร้างคาร์บอนอยู่ 16% โดยปัจจุบันมีการผลิต ปูนซีเมนต์สีเขียว (Green Cement) แต่ยังมีราคาแพงกว่าปกติราว 1 เท่าตัว จึงต้องมี Break Through ที่จะทำให้ราคาถูกลง เพื่อให้อุตสาหกรรมหันมาใช้แต่ Green Cement
“Elon Musk คนที่ 3 คือคนที่ทำให้ Green Cement ถูกกว่าซีเมนต์จริง ปัจจุบันมีการคิดค้นเทคโนโลยีที่เอาซีเมนต์ไปปั่นแล้วฉีดคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป เพื่อให้เก็บอยู่ในก้อนซีเมนต์แทนที่จะปล่อยออกมาสู่เปลือกโลก หรือการใช้เครื่องดูดคาร์บอนแล้วนำมาใส่ในเม็ดพลาสติกเพื่อฝังไว้ใต้ดิน เพื่อที่จะละลายคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศออกไป นี่คือ Climate Tech ที่นักลงทุนต้องลงทุนกันในอนาคต”
อุตสาหกรรมที่ 4 คือ Green Plastic ในอนาคตหากมีคนคิด Climate Tech ที่ทำให้ Green Plastic มีราคาถูกและคุณภาพดีกว่าพลาสติกจริง ก็จะทำให้ทุกคนหันมาใช้ Green Plastic กันหมด
อุตสาหกรรมที่ 5 คือ อุตสาหกรรมการผลิตผ้า Green Fabric เพื่อมาแทนที่ผ้าแบบเดิมที่มีส่งผลต่อโลก และอุตสาหกรรมที่ 6 คือ การผลิตข้าว Green Rice ที่ไม่สร้างสารมีเทน
นายจิรายุสย้ำว่า ทั้ง 6 อุตสาหกรรมนี้คือโอกาสที่ใหญ่มาก และยังเป็น Climate Tech เวลานี้ผู้เล่นรายใหญ่ของโลกทั้งหมดขยับตัวหมดแล้ว ตัวอย่างเช่น Black Rock ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ส่งจดหมายไปให้ธนาคารพาณิชย์และทุกบริษัทที่ถือหุ้นรวมถึง Google และ Microsoft ว่า ภายในปี 2030 ธนาคารและบริษัทเหล่านี้จะต้องประกาศความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) หรือ Net Zero ไม่เช่นนั้นจะถอนทุนคืนทั้งหมด
3
ทั้ง Google และ Microsoft เป็นบริษัทที่ใหญ่มาก มีเงินทุนมหาศาล แต่เวลาเหลืออีกแค่ 8 ปีที่จะ Net Zero หมายความว่า พวกเขาต้องนำเงินมาซื้อ Green Technology ทุกอย่าง ซื้อคาร์บอนเครดิต ปลูกต้นไม้ ทำทุกอย่าง เอาเงินมาแก้ไขปัญหาให้ทันภายใน 8 ปี ไม่เช่นนั้นกองทุนจะถือหุ้นพวกเขาไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ First Degree, Second Degree แต่ไปจนถึง Third Degree ที่ต้องลงไปหา Supply Chain เพื่อปรับให้เป็น Green Credit เพื่อที่จะไม่เพิ่มการปล่อยคาร์บอนในบริษัท
ขณะที่ธนาคารที่ได้รับจดหมายเตือนจาก Black Rock ก็จะไปกดดัน Second Degree และ Third Degree ต่อว่าใครที่จะกู้ หรือบริษัทไหนที่จะกู้เงิน ถ้าไม่รักโลกก็จะไม่ปล่อยสินเชื่อให้แล้ว เพราะธนาคารก็จะไม่ผ่าน Black Rock เช่นกัน การกดดันจะถูกส่งต่อกันเป็นทอดๆ
“วิธีการที่จะแก้ไขแบบยั่งยืนไม่ใช่ลดการบริโภค แต่เราต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นถึงปลายน้ำ ต้อง Relearn Unlearn ทุกกระบวนการ สิ่งนี้จะถูกบัญญัติในประวัติศาสตร์ของโลกครั้งหนึ่งเลยว่าเป็นความสามัคคีครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เพื่อสู้กับภาวะโลกร้อน ถ้าเราไม่เปลี่ยนโลกจะอยู่ไม่รอดแน่นอน และทุกการเปลี่ยนแปลง​ย่อมมีโอกาสมหาศาลสำหรับคนที่ปรับตัวได้ และสิ่งที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนผ่านความมั่งคั่งครั้งใหญ่ก็คือ Climate Tech”
อ่านบทความเพิ่มเติมที่ : https://moneyandbanking.co.th/2022/12562/
โฆษณา