Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Forward
•
ติดตาม
3 ม.ค. 2023 เวลา 10:02 • ธุรกิจ
"ที่เจ็บคือตั้งแต่ทำงานประจำ ชีวิตก้าวไปด้วยความเร็วเต่า พูดจริงๆ ...แม่งไม่มีเวลาทำห่าอะไรเลย"
"หมายความว่ากูต้องค่อยๆตายช้าๆ แล้วต้องยอมทิ้งความฝันใช่ไหม ?"
เป็นบทสนทนากับเพื่อนที่ผมยังจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้
เพื่อนผมเป็นฟรีแลนซ์มาก่อน ก่อนจะมีปัญหาเรื่องเงินเลยต้องมาทำงานประจำที่ได้เงินมากกว่า มั่นคงกว่า แต่มันเกลียดเข้าไส้ -- ไม่ใช่ที่ตัวเนื้องาน แต่ที่ขนบธรรมเนียมบริษัท
ผมและเพื่อนเป็นคนที่เรียกว่าไฟแรงทั้งคู่ ต่างกันที่มันมีภาระมากกว่า เป็นลูกคนเดียวที่ฐานะไม่ค่อยจะดี พ่อป่วยเข้าๆออกๆโรงพยาบาล แม่เปิดร้านขายของชำเล็กๆในหมู่บ้าน ก็ไม่ค่อยได้กำไร ตอนเรียนมันเป็นความหวังของครอบครัว พอเรียนจบมันก็ต้องตอบรับความหวังนั้น
มันคิดการใหญ่ ต้องการสร้างธุรกิจ เพื่อที่จะได้หนีจากวงจรของเงินและเป็นอิสระซักที ทำตามสิ่งที่มันอยากทำ มันเลยเลือกจะทำฟรีแลนซ์ เพื่อที่จะได้มีรายได้เลี้ยงครอบครัวไปด้วย และแบ่งเวลามาปั้นธุรกิจของมันได้ด้วย
ด้านธุรกิจมันก็ทรงๆ ไม่ค่อยได้ลงเงินเท่าไหร่ เป็นธุรกิจที่ใช้งบน้อย แต่ถ้าถึงคิวจะได้เงินมันก็ได้เงินเปรี้ยงเดียวไปเลย ในขณะเดียวกันด้านฟรีแลนซ์ มันก็ถือว่าเป็นฟรีแลนซ์มือทอง มีลูกค้าเต็มมือและมีบริษัทตามตัวตลอด มันบอกว่าบริษัทให้เงินหนัก แต่มันไม่อยากไปเพราะมันอยากได้อิสระในการบริหารเวลา
ถึงจุดนึงที่พ่อมันต้องผ่าตัด ต้องใช้เงิน มันเลยพักทุกอย่างแล้วไปทำงานประจำ
มันเล่าให้ผมฟังว่า สิ่งแรกที่มันรู้สึกได้ตั้งแต่ก้าวไปในออฟฟิศคือความ 'เนือย' แต่ละคนทำงานกันสบายๆ ถ้ามองดีๆจะเห็นว่าตาลอย บางตาใกล้จะปิด ต่างกับพวกฟรีแลนซ์ที่ต้องเผางานส่งลูกค้าตลอด มันมือเร็ว พิมพ์เร็ว และโฟกัสกว่าเพื่อนร่วมงานเยอะ ทำให้มันทำงานเสร็จเร็วแบบที่หัวหน้ายังไม่เชื่อ เขาบอกว่าปกติงานนี้ต้องใช้เวลา 2-3 วัน ในขณะที่เพื่อนผมทำเสร็จในเวลา 2 ช.ม.
แต่ถัดมาคือหัวหน้าชอบให้งานมันบ่อย เพราะงานเสร็จเร็วและเนี้ยบ มันเลยเป็นตัวแบกของแผนกไปโดยปริยาย และบ่อยครั้งที่มันได้งานเยอะจนต้อง OT ทั้งอาทิตย์
เรื่องความเร็วผมไม่แปลกใจ ผมยังจำได้แม่นตอนเห็นมันทำงานครั้งแรกสมัยมหาลัย เสียงคลิกเม้าส์แม่งถี่อย่างกับเล่นเกม นิ้วบินอยู่บนคีย์บอร์ดไม่หยุด พอแม่งเริ่มแล้วแม่งจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นจนกว่างานจะเสร็จ เรียกได้ว่าเป็นภาพประทับใจ และเป็นไอดอลการทำงานของผมตอนผมอยู่มหาลัยไปเลย
กลับมาที่บริษัท ในขณะที่เพื่อนผมแทบจะเป็น Star ในบริษัท แต่มันไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย อย่าว่าแต่ธุรกิจ แค่คุยกับแฟนมันยังไม่มีเวลา ทำให้มันอยากเริ่มที่จะช้าลง เพื่อที่ว่ามันจะได้ไม่ต้องได้งานเพิ่ม
มันเริ่มทำงานช้าลง เลือกให้เสร็จงานไม่ช้าไม่เร็วไป เพื่อที่มันจะได้ไม่ต้องได้โปรเจคเพิ่ม ไม่ต้องมี OT และมีเวลาไปทำอย่างอื่นซักที
ก็ได้ผล งานมันน้อยลง มันบอกว่าช่วงนึงรู้สึกสบายขึ้นเยอะ แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ
มันเริ่มรู้สึกเสียเวลา คุณต้องเข้าใจว่าสมัยเป็นฟรีแลนซ์มันปิดงานได้ 2-3 งานในวันเดียว แต่พออยู่ในบริษัท มันต้องยืดงานที่ควรจะเสร็จเป็นวันสองวัน มันเหมือนกับคนที่เคยใช้ชีวิตแบบเดินหน้าเต็มกำลัง แล้วอยู่ๆต้องมาใส่เบรก ต้องมาช้าลง ด้วยเหตุผลที่พูดก็พูดว่าปัญญาอ่อน อย่างเรื่องการแบ่งงานของหัวหน้า ความยุติธรรมของหัวหน้า การออกแบบ KPI ของบริษัท มีแต่เรื่องโง่ๆ ที่ควรจะจัดการให้มันดี แต่อย่างว่ามันไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา
มาวันนึง รุ่นพี่ในบริษัทบอกว่ามันเริ่ม 'อยู่เป็น' บอกว่างานบริษัทก็อย่างนี้แหล่ะ อย่าไปเก่งมาก ยั้งๆไว้หน่อย บอกว่าการเลือกเวลาจบงานแม่งเป็น 'ศิลปะ'
มันบอกว่ารุ่นพี่อาจจะพูดด้วยความหวังดี แต่คำพูดพวกนั้นมันโดนอะไรซักอย่างในตัวมัน มันบอกว่ามันโคตรจะเกลียดอะไรแบบนี้ ผมอธิบายไม่ถูก แต่คุณก็น่าจะรู้สึกเหมือนกัน ไอพวกคำว่า 'อยู่เป็น' อะไรพวกนี้ ผมอีกคนที่โคตรจะเกลียด
มันสาบานกับตัวเองว่าจะไม่เอาเวลาไปเผาในบริษัทอีกแล้ว
ทุกวันนี้มันยังทำงานบริษัทอยู่ แต่ตำแหน่งก้าวกระโดดแบบโคตรเร็ว เงินเดือนแซงเพื่อนรุ่นเดียวกันไปหลายเท่า ไม่ว่าจะมีงานอะไร มันใส่แปปเดียวเสร็จ จนไม่มีใครรู้ว่าจะหางานอะไรให้มันเพิ่ม บางครั้งมันว่างเป็นอาทิตย์แล้วไม่ต้องมาทำงานก็ได้ เพราะมันเคลียร์โปรเจคเสร็จข้ามเดือนไปแล้ว
อีกด้านนึง ถ้ามีใครขอให้ทำนู่นทำนี่ มันก็เริ่มปฏิเสธเป็น แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีเพราะคนเกรงใจมัน
ธุรกิจมันก็ไปได้สวย มันบอกว่าทำแบบเดียวกับที่ทำงาน คือมันทำเร็วขึ้น มันเลยมีเวลาไปทำอย่างอื่น
พูดง่ายๆว่ามันไม่ใส่เบรก เก่งเร็วขึ้นทุกอย่าง ทำเร็วขึ้นทุกอย่าง
ผมเคยลองถามมันว่า มีเทคนิคอะไรรึเปล่าที่ทำให้ทำงานเร็ว ตอนแรกมันบอกไม่มี แต่มันเงียบคิดซักพัก แล้วบอกว่า มันคิดว่ามันทำเร็วเพราะเวลาทำงานมันไม่ให้อะไรมารบกวน ไม่จับโทรศัพท์ถ้าไม่จำเป็น พยายามอยู่กับงานไปเรื่อยๆ ถึงจุดๆหนึ่งมันจะ Flow ไปเอง พอ Flow แล้วต้องพยายามรักษาอารมณ์นั้นไว้ให้ได้ -- มันบอกไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้มาก่อนแต่มันทำจนชินแล้ว
สำหรับผมมันเป็นตัวอย่างคนที่มี Flow State เป็นธรรมชาติ --จริงๆผมก็คล้ายๆมัน คือจบงานเร็วกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่ผมอยากรู้คือ เราฝึกตัวเองเพื่อเข้า Flow ได้ไหม ? มีใครทำได้จริงๆรึเปล่า ? หรือเราทำได้แค่รอให้มันเกิดและดับเองตามธรรมชาติ
📌 [2] ตัวเราตอนที่ดีที่สุด
Flow State คือสภาวะที่สมองทำงานได้ดีที่สุด ถูกพูดถึงครั้งแรกโดยนักปรัชญาชาวเยอรมัน Wolfgang Gothe และถูกทำให้โด่งดังโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน Mihaly Csikszentmihaly
พูดง่ายๆว่าช่วงที่เรา 'ท๊อปฟอร์ม' งานลื่น สมองแล่น ทำอะไรก็ใช่ไปหมด รู้สึกดีมีพลัง
หลายปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบ ว่าอะไรที่กระตุ้นเราเข้าสู่ Flow State -- ซึ่งมีหลายทฤษฎี หลายงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ แต่สุดท้ายแล้ว ส่วนใหญ่เป็นการอธิบายว่า 'เกิดอะไรขึ้นบ้าง' ซะมากกว่า 'เกิดได้ยังไง'
'เกิดได้ยังไง' ดูจะเป็นอะไรที่อธิบายได้ยาก และทำได้ยากกว่า ถ้าคุณชอบเล่นกีฬาผมเดาว่าคุณคงเข้าใจฟีลว่า Flow State คืออะไร แต่ดูเหมือนมันอยากมาก็มา อยากไปก็ไป บางครั้งเราเหมือนจะรู้คำตอบที่ซ่อนอยู่ ว่าทำยังไงถึงจะ Flow-- แต่ก็ไม่เคยเป็นคำตอบที่ชัดเจนซักที
ยังไงก็ตาม ผมเชื่อว่านักกีฬาอาชีพ ถ้าเทียบกับงานครีเอทีฟหรืองานนั่งโต๊ะ ต้องใกล้ชิดกับ Flow State กว่าแน่ๆ ผมเลยลองหาข้อมูลพวกนักกีฬาระดับ Top เรื่อง Flow State -- ผมอยากขุดคุ้ยสิ่งที่อยู่ในใจเขา เขาคิดอะไร ? ทำให้มันเกิดขึ้นได้ไหม ? หรือได้แค่รอให้มันเกิด-ดับเองตามธรรมชาติเหมือนกับเรา
ปรากฏว่านักกีฬาอาชีพก็ไม่ต่างกับเรา รู้ว่ามันคืออะไร บางคนเหมือนจะควบคุมได้ เข้า Flow เก่งเหมือนเพื่อนผม แต่ไม่มีใครอธิบายออกมาได้ชัดว่า 'ทำได้ยังไง' ซักคน
ตัวผมเองเมื่อก่อนก็รู้แค่ว่า ทำงานไปเรื่อยๆ บางครั้งมันก็ Flow ไปเอง บางครั้งก็ไม่ ในเมื่อขนาดนักกีฬาอาชีพยังควบคุมไม่ได้ ผมเองก็คงควบคุมไม่ได้ด้วยเหมือนกัน
จนวันหนึ่ง ด้วยความบังเอิญ ผมได้คำตอบชัดๆซักทีว่าอะไรที่อยู่ในใจของคนที่กำลัง Flow -- และมีบางคนที่ไม่ได้มองว่า Flow เป็นอะไรที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวไป แต่เป็นอะไรที่คนสามารถควบคุมและบังคับได้
📌 [3] เดิมพันด้วยชีวิต
ในยุคที่คนญี่ปุ่นแสวงหาจิตวิญญาณผ่านวิชาดาบ เรียกได้ว่ามีนักดาบมากฝีมือล้นแคว้น แต่คนที่เรียกได้ว่าอยู่จุดสูงสุดคือ มิยาโมโตะ มูซาชิ
ชนะการดวลครั้งแรกตอนอายุสิบสาม และชนะไปอีก 60 ครั้ง -- ตลอดชีวิตไม่เคยแพ้การดวล
ตอนอายุหกสิบ ระหว่างที่เขาปีนเขาเพื่อไปสักการะเทพที่เขาเคารพนับถือ เขาเขียนตำราวิชาดาบชื่อ "The Book of Five Rings"
มีบทนึง เขาเขียนถึงการควบคุมจิตใจระหว่างต่อสู้ มีเขียนไว้ตามนี้
"ควบคุมอารมณ์ให้สงบอยู่เสมอ ไม่ตึงเครียด แต่ก็ไม่มุทะลุ -- ถึงแม้จิตใจสงบแต่ก็อย่าให้ร่างกายสงบ ถ้าร่างกายสงบอย่าให้จิตใจย่อหย่อน"
เขาบอกว่า นักรบควบคุมอารมณ์ของตัวเอง การฝึกของนักรบประกอบไปด้วยการฝึกทักษะ การฝึกจิตใจ และการออกไปประลองจริง
มันทำให้ผมคิดได้อย่างหนึ่ง-- การดวลมันไม่ใช่แค่แพ้ชนะ แต่เป็นเรื่องอยู่หรือตาย ในเมื่อครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะพึ่งโชคให้คุณท๊อปฟอร์มไม่ได้ คุณต้องควบคุมตัวเองให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด และทำออกมาให้ดีที่สุด ในขณะที่ทุกวันนี้เราห่างไกลกับคำว่า เป็น-หรือ-ตาย เราไม่ได้อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน และพูดได้ว่าไม่ได้อยู่ในยุคแสวงหา ไม่แปลกใจที่คนจะไม่สนใจเรื่องการควบคุมตัวเอง เรื่องการทำให้ดีที่สุด
แต่มีคำกล่าวนึงของมูซาชิ ที่เรียกว่า “Bunbu Itchi” แปลว่าปลายดาบกับปากกานั้นเหมือนกัน สำหรับซามูไรใช้ดาบเป็นตัวแทนของการแสวงหา แต่การแสวงหาอยู่ทุกรูปแบบ ทุกยุคสมัย ไม่ว่าคนเราจะมุ่งสู่ด้านไหน สายอาชีพอะไร เราใช้ทุกอย่างเป็นตัวกลางในการฝึกตนและแสวงหาได้หมด
📌 [4] Flow State
กลับมาที่ Flow State -- ตอนนี้ผมมีทั้งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และตัวอย่างคนที่ปฏิบัติจริง มาแมทช์กัน นี่เป็นข้อสรุปของผมว่าทำยังไงถึงจะ Flow
■
1. ความรู้
เราต้องมีความรู้เบื้องต้น ว่าอะไรกันแน่คือ Flow และอารมณ์แบบไหนคือ Flow
ถ้าตามวิทยาศาสตร์ ดูจากแผนภาพนี้จะเห็นชัดที่สุด
[Yerkes-Dodson Relationship] : Optimal Level คือจุดที่เกิด Flow State
'สงบ แต่ ไม่ตึงเครียด' เหมือนกับ 'หนัก แต่ ไม่เบา' เป็นอะไรที่ Zen พอสมควร แต่สำหรับผมใช้คำว่า 'ไม่ง่วง และ ไม่เครียด' เข้าใจง่ายที่สุด เพราะงานผมเป็นงานนั่งโต๊ะ และงานนั่งโต๊ะเรื่อง 'ง่วง' กับ 'เครียด' เป็นอะไรที่เราเจอประจำ แต่ถ้าเราอยู่จุดตรงกลางกราฟเมื่อไหร่ จุดนั้นคือจุดที่สมองเราทำงานได้ดีที่สุด หรือก็คือ Flow State
เรารู้ว่าเราอยู่ใน Flow State ได้ด้วยความรู้สึก -- ถ้าเราบอกตัวเองได้ว่า ตอนนี้ไม่ได้ทั้งง่วง ทั้งเครียด แต่กำลังตื่นตัวกำลังดี อารมณ์นั้นเองที่เราต้องรักษาไว้
อีกอย่างคือ 'ความรู้สึกดี' -- เพราะ Flow State เป็นปรากฏการณ์ Dopaminergic Pathways -- หมายความว่าเราจะหลั่ง Dopamine และ Serotonin ออกมา ซึ่ง Dopamine จะช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์ สร้างพลังงาน และทำให้เราไม่รู้สึกเหนื่อยล้า ส่วน Serotonin จะช่วยคุมอารมณ์ให้คงที่ -- เพราะฉะนั้นนี่เป็นหนึ่งเหตุผลที่เวลาเราเข้า Flow แล้ว มันเลยไหลต่อไปเรื่อยๆได้
■
2. เจตจำนง
ทำไมถึงอยากทำให้ดีที่สุด ? สำหรับการดวลดาบ เหตุผลข้อแรกคือมันเดิมพันด้วยชีวิต ถ้าไม่ดีพอก็ตาย อีกเหตุผลนึงคือมันเป็นการแสวงหา นักดาบญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงทุกคนใช้ดาบเป็นตัวแทนในการแสวงหา หาความเป็นเลิศ หาความหมาย หาการตรัสรู้
อย่างเพื่อนผม มันต้องการความเป็นเลิศ อีกอย่างคือมันต้องการ 'เวลา' --มันต้องการสำเร็จโดยเร็วเพื่อได้มาซึ่งอิสระ
อย่างผมเอง ผมมีมุมมองว่ามันเป็นการต่อสู้ของยุคปัจจุบัน การไขว่คว้า การแข่งขัน การแสวงหาความเป็นเลิศยังมีเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนตัวกลาง -- ผมเลือกเองที่จะให้แต่ละวันไม่ใช้การทำงานให้เสร็จๆไป แต่เป็นการฝึกฝนและต่อสู้ เป็นตัวกลางการเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ -- และอีกอย่างผมก็ต้องการ 'เวลา' เหมือนกัน ผมต้องการสำเร็จโดยเร็วเพื่อได้มาซึ่งอิสระ
ผมว่ายิ่งเหตุผลเรา ลึก และ แรงกล้า มากเท่าไหร่ เรายิ่งมีสิทธิ์ทำได้ดีมากเท่านั้น เหมือนกับที่วิทยาศาสตร์บอกว่า Passion & Purpose เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการ Flow
■
3. ฝึก
มีหนังสือหลายเล่ม "ผู้เชี่ยวชาญ" หลายคน บอกว่ามันฝึกได้ พูดตรงๆตอนแรกผมไม่ค่อยจะเชื่อ ผมต้องการตัวอย่างคนที่สำเร็จจริงๆ มีผลงานจริงๆ ออกมายืนยันเรื่องนี้ โชคดีที่ผมได้อ่านหนังสือของ มูซาชิ ผลงานคือ ชนะการดวลถึงตายมานับครั้งไม่ถ้วน คิดค้นวิชาดาบ 2 มือของตัวเองขึ้นมา และยังมีปรัชญาว่า การฝึกจิตใจไม่ได้อยู่เฉพาะการดวลดาบ แต่อยู่ในทุกอย่าง รวมถึงอยู่ในชีวิตประจำวัน --แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ที่จะให้ผมเริ่มทำ
แต่ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญแน่ๆ และเชื่อว่าการควบคุมอารมณ์เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนกว่าการกระทำเยอะ เพียงแต่เชื่อว่ามันทำได้ และมีคนทำสำเร็จไปแล้ว ไม่มากก็น้อย รู้ตัว หรือ ไม่รู้ตัวก็ตาม
นี่เป็นวิธีของผม แต่ละคนคงแตกต่างกันไป แต่หวังว่าพอจะเป็น Guideline ให้ได้นะครับ
●
1. เลือกเวลา
เลือกเวลาฝึก ให้เป็นช่วงที่เรารู้สึกสดชื่นที่สุด แล้วล๊อคเวลานั้นเป็นเวลาฝึกประจำทุกๆ วัน พอคิดว่าทำได้แล้วก็ขยายเวลา เช่น ตอนแรกเป็นช่วงเช้า ทำไปซักพักเป็น เช้า และ บ่าย
●
2. ตัดสิ่งรบกวน
ช่วงเวลานั้นอย่าให้อะไรมารบกวน ออกกฎกับตัวเอง อย่าเล่นโซเชียลถ้าไม่จำเป็น อย่าคุยกับคนอื่นถ้าไม่จำเป็น ลุกไปเดินคิดงานได้ แต่พยายามอย่าให้มีอะไรมาแทรก
●
3. เพลง
หลายๆ คนบอกว่าเพลงช่วย แต่อาจจะเพราะงานผมเป็นงานครีเอทีฟ ผมเลยชอบเงียบๆมากกว่า
แต่ช่วงสั้นๆตอนเริ่มงาน ผมก็เปิดฟังเกือบทุกวัน ผมว่าช่วงแรกผมจะง่วง ผมเลยต้องการดนตรีมาเพิ่มความ Alert หน่อย แต่พอมัน Flow แล้วความเงียบทำให้คิดงานได้คมกว่า
มีทั้งคนที่ชอบทั้งเพลงธรรมดาที่มีเนื้อร้อง กับดนตรีเพียวๆ ลอง Search คำว่า 'Flow music' ดูนะครับว่าชอบไหม แล้วก็สร้างเพลย์ลิสต์ขึ้นมา คัดเฉพาะเพลงที่ทำให้เรา Flow
●
4. จิบน้ำ
อาการขาดน้ำอ่อนๆ ทำให้เสียโฟกัส เพราะฉะนั้นบนโต๊ะควรจะมีน้ำตั้งไว้ตลอด และจิบเป็นประจำ
●
5. ควบคุม
สุดท้ายที่ทำได้ยากที่สุดก็คือควบคุม เรารู้ว่าเครียดไม่มีประโยชน์-ควรปล่อยวาง รู้ว่าง่วงไม่มีประโยชน์-ควรกระตุ้น แต่พูดกับทำมันอยู่คนละโลก ผมเชื่อว่ามันเป็น Process ที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่สำเร็จได้ วัดผลได้ ด้วยความรู้สึกของเรานี่แหล่ะ
1
ข่าวดีคือ ช่วงที่ยากมันอยู่แค่ช่วงต้นของการเข้า Flow State -- แต่พอเข้าไปได้แล้ว เราเลี้ยงอารมณ์ให้มันไหลต่อไปได้ง่ายๆ เพราะเกิด Dopaminergic Pathways -- ที่สำคัญคือรู้สึกดีต่างกันเยอะ เพราะทั้ง Dopamine และ Serotonin เป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกเยี่ยม และ ได้งานดีไปพร้อมๆกัน
📌 [5] Wrap-Up
สุดท้ายทุกอย่างที่เราให้ความท้าทายกับมันกลายเป็นบททดสอบ บททดสอบทำให้เราอยากชนะ พอเราชนะมาได้ มันก็กลายเป็นพลัง
แต่ละคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกมุมมองของตัวเอง จะมองงานเป็นแค่สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จๆไปก็ได้ หรือจะมองมันเป็นหนึ่งในโอกาสพัฒนาตัวเองก็ได้
ในทุกงานที่เรามี Passion -- หนึ่งในความท้าทายคือเรื่องความเป็นเลิศอยู่แล้ว แต่วิธีที่เราทำงาน วิธีที่เราคาดหวังกับตัวเองในการนั่งลงทำงานวันนี้ ก็หยิบมาเป็นอีกหนึ่งในความท้าทายได้เหมือนกัน อีกหนึ่งพลังที่สามารถคว้ามาได้
คนที่สนใจควบคุมการกระทำ และ ควบคุมอารมณ์ตัวเอง มีอนาคตไกลกว่าคนอื่น อย่างน้อยที่สุด ความรู้เรื่อง Flow State ทำให้เราเริ่มจับทิศจับทางในการควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ไปถูกทาง
★
Take Away
1. Flow State เกิดขึ้นตรง Sweet Spot (from graph) -- ไม่ง่วง และ ไม่เครียด เพราะฉะนั้น ดูความรู้สึกตัวเองก่อน ถ้าง่วง ค่อยๆกระตุ้นตัวเองขึ้นมา ถ้าเครียด ปล่อยวางให้มากขึ้น ใช้ความรู้ที่ว่า ยิ่งเครียดเรายิ่งทื่อ
2. อารมณ์ที่เป็นบวกมีแต่ข้อดี เพิ่มพลัง เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ทำให้เข้า Flow ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้น อย่าเครียด
คงทำไม่ได้ดั่งใจภายในวันเดียว ไม่แน่ว่าอาจไม่มีทางได้ดั่งใจ แต่ที่แน่ๆคือยิ่งคุณใส่ใจจะควบคุม และรับไว้เป็นหนึ่งในความท้าทาย เป็นการฝึกสำหรับตัวเองในทุกๆวัน เป็นปีๆ คุณจะควบคุมได้ดีกว่าคนอื่น ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนฝึกอะไรแบบนี้อยู่ และคงไปได้เร็วและสำเร็จกว่าคนอื่นๆเช่นกัน
ธุรกิจ
พัฒนาตัวเอง
missiontothemoon
1 บันทึก
3
2
8
1
3
2
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย