4 ม.ค. 2023 เวลา 13:29 • สุขภาพ

การตายอย่างราชสีห์

336.
“การสมัครใจตายเองแบบไม่กินข้าวไม่กินน้ำ” Voluntary Stop Eating and Drinking (VSED) บทความโดย นพ. สันต์ ใจยอดศิลป์
.
เรียนคุณหมอสันต์
Q : ผมอายุ ๙๐ ปี พื้นฐานการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์และบริหารธุรกิจ  ประสบการทหารและบริษัทเอกชน  ร่างกายและจิตใจอยู่ในเกณฑ์ดี (ทอป ๓) ทำพินัยกรรมและพินัยกรรมชีวิตเรียบร้อยแล้ว
ผมสนใจเรื่อง VSED (Voluntary Stop Eating and Drinking) และ Hospice Care  เพราะใคร่ที่จะเตรียมไว้ในกรณีที่ผมป่วยหนัก  หรือเป็นอัลไซเมอร์ หรือเบื่อโลก  ผมเสาะหาในไทยก็ยังไม่เจอของจริง  จึงใคร่เรียนถามคุณหมอ  ขอบพระคุณครับ
.
A : ตอบครับ
หิ หิ ขอขึ้นต้นปีใหม่ด้วยการตอบจดหมายแนวๆ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มยุคสังคมผู้สูงวัย
ก่อนตอบคำถามนี้ ขอนิยามศัพท์ให้ท่านผู้อ่านรู้จัก Voluntary Stop Eating and Drinking (VSED) ซึ่งแปลว่า “การสมัครใจตายเองแบบไม่กินข้าวไม่กินน้ำ” ซึ่งถือว่าเป็นความรื่นรมย์ขั้นสุดๆ อย่างหนึ่งของชีวิต แบบที่ภาษาเหนือกล่าวไว้เป็นสำนวนว่า “ม่วนเหมือนต๋าย” แปลว่า “สนุกยังกับตาย” ซึ่งสื่อถึงโมเมนต์ของการตายว่า มันมีความรื่นรมย์ระดับสูงอยู่ในนั้น
สำหรับคนที่ไม่เคยตาย ผมในฐานะคนที่อยู่ใกล้คนตายมาแยะ และเยี่ยมฮอสปิสบ่อยสมัยทำงานอยู่เมืองนอก จะเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ นะว่า เมื่อสมัครใจอดข้าวอดน้ำแล้วชีวิตจะเป็นอย่างไร
คือมันจะไปเป็น 3 ระยะ
1/ ระยะต้น ใช้เวลาราว 1-4 วัน วันแรกอาจผ่านไปเหมือนวันคืนปกติ อย่างมากก็เพลียและง่วง
2/ ระยะกลาง จะเริ่ม “เมาหัว” หมายถึง หัวเบา มึนๆ งงๆ (บางคนเป็นตั้งแต่ยังไม่ได้สมัครใจแล้ว หิหิ) จนอาจต้องมีผู้ช่วยพยุงหากยังนิยมลุกนั่งยืนเดินอยู่ ดังนั้นหากคิดจะตายด้วยวิธีนี้แต่ยังอยากเดินไปเดินมาจนวันสุดท้าย ต้องจ้างคนคอยประกบดูแล เพราะระยะนี้นานกี่วันเอาแน่ไม่ได้
3/ ระยะปลาย ใช้เวลา 1-4 วัน จะเปลี่ยนจากตื่นมากไปเป็นหลับมากขึ้นๆ จนหลับไม่ตื่นเลย
ภาวะอดอาหารจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินให้เกิดความชื่นมื่นไม่เจ็บไม่ปวด ภาวะขาดน้ำจะทำให้อวัยวะสำคัญทยอยปิดการทำงานไป การหายใจสั้นลงๆ และไม่สม่ำเสมอ มีเสียงครางหรือกรน ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับอาการปวด อุณหภูมิร่างกายค่อยๆ ลดลง สีผิวซีดคล้ำหรือเหลืองหรือมีจ้ำม่วงตามมือเท้า
ถามว่า โหลงโจ้งแล้วกี่วันจึงจะตาย
ตอบว่า โห..ต้องไปถามพระพรหม อย่างเร็วก็ไม่กี่วัน อย่างช้าก็หลายสัปดาห์ การจะตายช้าตายเร็วขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและอวัยวะสำคัญ หยูกยาที่กิน โรคที่เป็น ถ้าจิบน้ำบ่อยก็ยิ่งตายช้า
อีกอย่างหนึ่งที่ตำราแพทย์ไม่ได้เขียนไว้ แต่ผมพบว่าเป็นความจริงในผู้ป่วยจำนวนมากคือ ถ้ายังรอใคร หรือรออะไรอยู่ก็จะไม่ตายสักที สำหรับคนที่ตายช้า หากมีผู้ดูแลคอยเอาโลชั่นลูบผิวให้เบาๆ บ่อยๆ ก็จะสบายขึ้นและไม่แห้งเกินไป ผู้ดูแลช่วยได้มากอีกอย่างก็คือ การช่วยบำบัดอาการปากแห้งด้วยการทำความสะอาดปากด้วยสเปรย์ สวอบกลีเซอรีน เช็ดฟัน น้ำมันมะพร้าวทาแทนลิป ทุกวัน
.
ถามว่า แล้วคนที่ตายเขารู้สึกอย่างไรตอนตาย
ตอบว่า เออ ผมจะรู้ไหมเนี่ยเพราะผมเองก็ยังไม่เคยตาย แต่ดูจากอาการข้างนอก ส่วนใหญ่จะไปอย่างสงบชื่นมื่น แต่ก็มีบางรายแสดงอาการปากแห้งกระหายน้ำและหิว บ้างก็กระวนกระวาย มีน้อยมากที่จะละเมอเพ้อพก
ผมมีรุ่นพี่เป็นศิลปินใหญ่ระดับโลกคนหนึ่ง ก่อนตายราวหนึ่งปีเขาบอกผมว่า เวลาเขาตายเขาจะหลบไปตายเองไม่ให้ใครมาเยี่ยมมาหา ผมว่าแล้วพวกลูกศิษย์ของพี่เขาจะไม่มีปัญหากันหรือ เขาตอบว่า
“เวลาพญาราชสีห์จะตาย มันจะทิ้งฝูงที่มันคุมหลบออกไปตัวเดียวไมให้ใครตาม ไปอยู่ในถ้ำเงียบๆ งดออกล่าสัตว์ งดน้ำงดอาหาร แล้วตายอยู่ตัวเดียวในถ้ำอย่างสมศักดิ์ศรี ผิดจากหัวหน้าฝูงบางตัวที่บ้าอำนาจไม่เลิก จนราชสีห์หนุ่มทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นขับไล่ ตัวเองแก่แล้วสู้ไม่ได้ก็ได้แผลหนีกระเซอะกระเซิง แล้วจบชีวิตด้วยการถูกล้อมกรอบรุมกินโต๊ะโดยฝูงหมาป่าไฮยีน่า”
แล้วถึงเวลาที่พี่เขาตาย พี่เขาก็ทำอย่างที่ว่าไว้จริงๆ คือ ห้ามส่งข่าว ใครที่แอบรู้ข่าวก็ห้ามมาเยี่ยม ปิดประตูเลย พวกลูกศิษย์โวยวายด้วยความไม่เข้าใจ แต่ผมเข้าใจ เพราะฉะนั้น หากถือตามนิยามของรุ่นพี่ผมคนนี้ การตายแบบ VSED นี้เป็นการตายแบบพญาราชสีห์เลยเชียว
1 ถามว่าถ้าจะตายแบบ VSED จะไปตายที่ไหนดี
ตอบว่า ก็ในบ้านของท่านนั่นแหละครับดีที่สุด จ้างผู้ดูแลมาหนึ่งคนมาอยู่ด้วยสักพักให้คุ้นกันก่อน อบรมสั่งสอนเธอให้เข้าใจดีว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ อบรมลูกหลานด้วย วิธีพูดก็ใช้วิธีดักคอเลย
คือ ดักคอว่า การพยายามทำอะไรให้ผู้สูงอายุก่อนตายมากเกินไปนั้น ลูกหลานได้สนองอัตตาตัวเองให้เกิดความรู้สึกเป็นปลื้ม หรือเพื่อนบ้านยกย่องว่าตัวเองเป็นลูกหลานกตัญญู แต่ผู้เสียหายคือพ่อแม่ผู้สูงอายุ
แค่เขาไม่ทำอะไรก็ควรเป็นปลื้มว่าได้ทำตามเจตนาเราแล้ว อย่าไประแวงขี้ปากเพื่อนบ้านเลย แต่หากพูดอย่างนี้แล้วท่าทางจะยังไม่ได้ผล ก็ใช้วิธีแช่งว่าลูกหลานคนไหนทำแบบนี้กับตัวฉันเอง ขอให้ลูกหลานคนนั้นฉิบหายตายโหง ซึ่งมีคนเล่าให้ผมฟังว่าเพื่อนเขาคนหนึ่งใช้วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด เพราะพอเขาเกิดสโตร็คครั้งสุดท้ายไม่มีลูกคนไหนกล้าพาไปโรงพยาบาลเลย กลัวฉิบหายตายโหง..หิหิ
2 ถามว่าในเมืองไทยมีที่ให้ตายแบบ Hospice ไหม
ตอบว่าแบบที่ทำกันชัดเจนโต้งๆ ยังไม่มีครับ เพราะเมืองไทยเราถึงจะเป็นเมืองพุทธ แต่เราไม่ยอมรับการตายกันอย่างออกหน้าออกตาดอก ถ้าอยู่ในโรงพยาบาลหมอก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้ด้วยคอนเซ็พท์ไม่ให้ใครมาว่าเอาว่าดูแลน้อยเกินไป
ถ้าอยู่ที่บ้านลูกหลานก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้ด้วยคอนเซ็พท์เดียวกัน รวมไปถึงการเอาช้อนง้างปากเมื่อผู้สูงวันเม้มปากไม่ยอมรับอาหาร (ผมเคยเห็นมากับตาสมัยเป็นหมอบ้านนอก)
แม้ใน nursing home ที่คนตั้งใจจะไปตายด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้ดังหวังดอก พออาการแย่เขาก็ต้องเรียกรถหวอนำส่งห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลให้มีพิธีกรรมปั๊มหัวใจกันพอเป็นสังเขป ไม่งั้นญาติจะไม่พอใจและกล่าวหาว่าดูแลไม่ถึงกึ๋น
แต่ในอนาคตมันต้องมีที่ที่คุณถามหา เพราะที่ไหนมีลูกค้า ที่นั่นจะมีคนขาย อย่างน้อยก็มีอยู่ที่หนึ่งกำลังสร้างอยู่ ผมรู้เพราะผมเป็นที่ปรึกษาให้เขาเอง เขาสร้างเป็นหมู่บ้านผู้สูงอายุที่มีคอนเซ็พท์ว่า “Age in place” แปลว่า “แก่ที่นั่น ตายที่นั่น”
การจะตายแบบไหนก็เลือกได้เอาแบบที่ชอบ ที่ชอบ แล้วสถานที่แบบนี้ไม่ใช่ว่ามันจะสลดหดหู่นะ ผมเอารูปบรรยากาศของจริง (เขาสร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่เปิด) มาให้ดูสองสามรูป คือมันเป็นสถานที่แบบมีชีวิตชีวา ใครมาอยู่ที่แก่ก็แก่กันไปสรวลเสเฮฮากันไป ที่ตายก็ตายกันไป แบบเป็นธรรมดาของชีวิตประจำวัน ไม่ต้องมีพิธีกรรมหรือเล่นลิเกส่งท้ายใดๆทั้งสิ้น
.
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
โฆษณา