9 ม.ค. 2023 เวลา 15:05 • ประวัติศาสตร์
ความเชื่อ ความหมาย และสัญญาณเตือนที่ซ่อนอยู่ใน เลข 23
เลข 23 ไม่ใช่เพียงตัวเลขบอกจำนวนหรือลำดับทางคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่โลกนี้ยังมีศาสตร์เกี่ยวกับตัวเลขและความเชื่อเกี่ยวกับตัวเลขอีกมากมาย การให้ความหมายต่อตัวเลขนี้มีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลมาตั้งแต่โบราณ โดยเชื่อว่าทุกตัวเลขมีบอกความหมายและสามารถสื่อถึงสรรพสิ่งบนโลกนี้ได้หมด รวมทั้งเลข 23 ด้วย
มีการอ้างอิงถึงข้อเขียนของบาทหลวงระดับศาสนาจารย์ Archbishop Ussher ในสมัยศตวรรษที่ 17 ระบุว่า โลกถูกสร้างขึ้นในวันที่ 23 ตุลาคม ย้อนไป 4004 ปีก่อนคริสตกาลและเลข 23 ก็ยังปรากฏอยู่ในความเชื่อวันสิ้นโลกของปฏิทินชาวมายันที่เคยทำนายไว้ว่า วันที่ 23 เดือน 12 ค.ศ.2012 คือวันสิ้นโลก
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อด้านลบว่าตัวเลขหรือลำดับ 23 เป็นตำแหน่งที่เชื่อมโยงกับสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ อาทิ เลข 23 เมื่อแยกกันเป็นเลขเดี่ยวและนำมาหารกันจะได้จำนวน 0.666 (จุดทศนิยม 666) โยงกับความเชื่อเรื่องตัวเลข 666 สัญลักษณ์ของซาตาน เพราะเลข 666 ได้ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่
ทั้งเป็นเลขของปีศาจ สัตว์ร้าย (number of the beast) ซึ่งมีผู้ตีความไปหลายทางบ้างว่าเป็นเลขประจำตัวที่ถอดจากตัวอักษรในชื่อของผู้ต่อต้านพระเจ้า บ้างว่าเลขนี้จะอยู่บนมือขวาและหน้าผากของผู้ต่อต้านพระเจ้า ยังมีอีกความเชื่อที่ว่า เลข 23 เป็นลางบอกเหตุ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเลวร้ายและหายนะที่เรียกว่า 23 enigma ซึ่งความเชื่อนี้ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมในอเมริกาช่วงยุค 60-70 เลยทีเดียว
Sarakadee Lite ชวนมาตามหาความหมายและความเชื่อเกี่ยวกับเลข 23 ทั้งด้านบวก ด้านลบ โชคลาง ไปจนถึงการกำเนิดโลกและสัญญาณเตือนภัยที่อาจอยู่นอกกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้
โครโมโซม 23 คู่ ความสอดคล้องของวิทยาศาสตร์และคำภีร์ไบเบิล
ใน ค.ศ.1882 วอลเทอร์เฟลมมิง (Walther Flemming) ได้รับเครดิตเป็นผู้ค้นพบว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์ปกติประกอบด้วยโครโมโซม 23 คู่ หรือ 46 แท่งโดยโครโมโซมแต่ละคู่ของลูกจะได้จากพ่อและแม่ความพิเศษคือ มนุษย์ เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวที่มีโครโมโซม 23 คู่ (ลิงมีโครโมโซมในเซลล์ 24 คู่ หรือกบมีมากถึง 26 คู่)
ความสำคัญของ เลข 23 ตามหลักวิทยาศาสตร์ในแง่ของการก่อกำเนิดมนุษย์นี้สอดคล้องกับความเชื่อในคำภีร์ศาสนาอย่างไม่น่าเชื่อ จากหลักฐานของการบันทึกโดย Josephus นักประวัติศาสตร์ชาวยิวที่มีชีวิตอยู่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ระบุว่าบรรพบุรุษของมนุษยชาติ อดัมและอีฟ มนุษย์คู่แรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นและกำเนิดลูกหลานในเวลาต่อมามีลูกสาวด้วยกัน 23 คน
นั่นจึงทำให้เลข 23 ถูกเชื่อมโยงกับการเกิดของมนุษ์แต่ก็มีบางความเชื่อที่ให้ความหมายกับเลข 23 ในทางตรงข้ามว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย แต่เลข 46 ซึ่งนำ 23 มาคูณ 2 กลับเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นคืนชีพก่อกำเนิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง
Psalm 23 ตัวเลขที่มาพร้อมความหวัง และศรัทธา
“เพลงสดุดี 23” หรือ “Psalm 23” สื่อนัยเลข 23 ในเชิงบวก หมายถึง ความหวัง ความศรัทธา โดย “Psalm 23” เป็นบทที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบทหนึ่งในคำภีร์ไบเบิล เป็นบทร้อยแก้วที่นิยมอ่านในพิธีศพตามธรรมเนียมของคริสเตียนและศาสนายิว เพื่อส่งวิญญาณผู้วายชนม์สู่ดินแดนของพระเจ้า พร้อมทั้งปลอบประโลมผู้อยู่ข้างหลัง
เพลงนี้มีท่วงทำนองและภาษาที่ไพเราะเสนาะหูเพราะมีต้นกำเนิดจากการเป็นบทเพลงที่กษัตริย์เดวิดเขียนขึ้น เพื่อร่ายคลอไปกับการบรรเลงพิณฝรั่ง (ฮาร์ป) ในภายหลัง Psalm 23 มีอิทธิพลต่อวงการวรรณกรรมและบทเพลงในโลกตะวันตกทั้งยังเป็นต้นแบบของนักเขียนกวีแบบร้อยแก้ว หรือกลอนเปล่า
สำหรับเนื้อหาที่น่าสนใจในคำภีร์ไบเบิล ตอน เพลงสดุดี 23 (มีทั้งหมด 150 บท และเพลงสดุดีผู้เลี้ยงแกะ Psalm 23 เป็นบท 23 )ได้กล่าวสดุดีผู้เลี้ยงแกะ ที่เป็นคำพรรณนาสรรเสริญพระเจ้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์และจังหวะของคำก่อเกิดสุนทรียะขณะฟังค่อยๆ เปลี่ยนความสิ้นหวังไปสู่ความหวัง มีการเอ่ยพระนามพระเจ้า สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นของพระองค์ที่จะนำทางมนุษย์สู่สวรรค์ ดินแดนแห่งความอุดมสมบูรณ์อันเป็นนิรันดร์ โดยผู้เอ่ยถ้อยคำนี้คือกษัตริย์ดาวิด แห่งอาณาจักร โซโลมอน (อาณาจักรโบราณของชาวอิสราเอล)
ทั้งนี้คำว่า Psalm มีรากศัพท์จากภาษาฮีบรูว์ หมายถึง บทเพลงที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อขับลำนำคลอกับพิณสายหรือฮาร์ปหรือพิณฝรั่ง เครื่องดนตรีที่เป็นตัวแทนแห่งเสียงไพเราะในแดนสวรรค์ ตัวอย่างถ้อยคำ “เพลงสดุดี 23” จากคำภีร์ไบเบิล ฉบับแปลภาษาไทย
“พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงในทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ.
พระองค์ทรงฟื้นจิตใจของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในวิถีเหล่านั้นแห่งความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”
ท่วงทำนองของถ้อยคำ พรรณนาโวหาร การสร้างความสั่นสะเทือนทางอารมณ์ให้ผู้อ่านหรือผู้รับฟังเข้าสู่ความหวังเช่นนี้ เป็นต้นแบบที่ส่งอิทธิพลต่อการเขียนบทกวีแบบกลอนเปล่า และการเขียนกวีในวรรณคดีภาษาอังกฤษ
บทวิเคราะห์โดย Carol Rumens (ในหนังสือพิมพ์ ดิ อินดิเพนเดนต์เมื่อ ค.ศ.2011 ในวาระครบรอบ 400 ปีของการตีพิมพ์ คำภีร์ไบเบิล ฉบับพระเจ้าเจมส์) ยกให้เนื้อหาในตอน Psalms ในคำภีร์ไบเบิล เป็นต้นแบบของกวีกลอนเปล่าแบบอเมริกัน (freeverse) ที่ส่งทอดมาถึงนักเขียนและกวีชื่อดังยุคศตวรรษที่ 20 อย่าง วอลต์วิตแมนและ เฮอร์มาน เมลวิลล์ (Herman Melville) เป็นต้น
XXIII ตัวเลขโรมัน 23 และความตายของซีซาร์
จูเลียส ซีซาร์ จักรพรรดิโรมันผู้โด่งดังในประวัติศาสตร์เป็นผู้กำหนดให้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันแรกของปีศักราชในปฏิทิน นอกจากนี้ความเชื่อที่เชื่อมโยง จูเลียส ซีซาร์ กับอาถรรพ์หมายเลข 23 ก็มีเช่นกันเมื่อมีการอ้างอิงว่า ตอนที่จูเลียส ซีซาร์ ถูกลอบสังหารจนเสียชีวิตนั้น จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ถูกแทงจากข้างหลัง 23 ครั้ง และทำให้ตัวเลข 23 ที่นิยมเขียนกันในปัจจุบันยังคงเป็นตัวเลขโรมัน XXIII ไม่ใช่ตัวเลขอารบิก
นอกจากความตายของซีซาร์แล้ว เลขโรมัน XXIII นี้ยังเป็นหนึ่งในลายสักที่ได้รับความนิยมมาก อ้างข้อมูลจากสตูดิโอสักลายในอเมริกา www.tattooartfromtheheart.com ระบุว่าตัวเลขโรมัน XXIII ได้รับความนิยมในหมู่คนที่ต้องการสักสื่อความหมายถึง ความเมตตาและความมีน้ำใจ ต้องการช่วยเหลือผู้อื่น และด้วยความที่เลขโรมันชุดนี้มี 5 อักขระ ผู้สักหลายคนมักต้องการเรียงตัวเลขทั้งห้าให้ติดกันโดยไม่มีช่องว่าง
ภาพ : Jewish Museum
เลข 23 และความตายของหญิงร้ายในพระคำภีร์
ในคริสต์ศาสนาเรื่องราวของบุคคลที่ชื่อ เจซเซเบล หรือ เยเซเบล (Jezebel) หญิงงามที่เป็นตัวแทนแห่งจิตวิญญาณความชั่วร้าย เจซเซเบลเป็นเจ้าหญิงแห่งดินแดนไทร์ (เลบานอน ปัจจุบัน) ที่เสกสมรสกับกษัตริย์อาหับ (Ahab) แห่งอิสราเอล ภายหลังเมื่อเธอขึ้นเป็นราชินี เธอได้สถาปนาความเชื่อดั้งเดิมของเธอในการบูชาเทพ Baal เทพเจ้าสายฟ้าผู้บันดาลลมฟ้าอากาศกับเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งขัดต่อความเชื่อนับถือพระเจ้าองค์เดียวสูงสุดในอิสราเอลขณะนั้น
การนับถือเทพเจ้าที่แตกต่างออกไปของเจซเซเบล ทำให้เธอใช้อำนาจกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม จับพระหรือผู้นำพิธีกรรมทางศาสนาที่นับถือพระเยโฮวาห์สังหารไปมากมาย จนเป็นที่มาสงครามระหว่างราชินีเจซเซเบลและบรรดาผู้นำศาสนาของพระเยโฮวาห์
ความเชื่อในศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว ทั้งศาสนายิว อิสลามและคริสเตียน ห้ามการผิดประเวณี การบูชารูปเคารพนับถือเทพหรือเทพีมากมายหลายองค์ ขณะที่ความเชื่อของเยเซเบลสรรเสริญพลังธรรมชาติและการให้กำเนิด พิธีกรรมบางอย่างที่มีทั้งการเซ่นไหว้อาหารต่อเทพเจ้าการชี้นำหรือสอนให้คนเชื่อในเรื่องเพศสัมพันธ์ที่ผิดจากความเชื่อของคริสเตียน โดยตามพระคัมภีร์พฤติกรรมเหล่านั้นถือเป็นบาป
เนื้อหาความเป็นหญิงร้ายของเยเซเบล ถูกเล่าไว้ในคำภีร์โทราของศาสนายิว และต่อเนื่องในคำภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ กลายเป็นที่มาของคำว่า Jezebel Spirit ความหมายที่ส่อนัยถึงความชั่วร้ายผิดศีลธรรม โดยคำภีร์ไบเบิลระบุชื่อของเธอถึง 23 ครั้ง (www.biblestudy.org) และบทที่ทำนายความตายของเธอซึ่งเป็นบทลงโทษของผู้ละเมิดต่อกฎของพระผู้เป็นเจ้า ปรากฏในคำภีร์ไบเบิล ฉบับพระเจ้าเจมส์ ตอน 1 Kings บทที่ 21 บรรทัดที่ 23 (I Kings 21:23) เนื้อความว่า
“…และพระเยโฮวาห์ได้ตรัสถึงเยเซเบลเช่นกัน โดยตรัสว่า พวกสุนัขจะกินเยเซเบลข้างกำแพงแห่งยิสเรเอล…”
ความตายของเยเซเบลทำให้เลข 23 ถูกนำมาเกี่ยวโยงอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งเป็นต้นเรื่องของงานศิลปะ ชื่อภาพ The Death of Jezebel (ความตายของเยเซเบล) โดย กุสตาฟ ดอเร (Gustave Doré) เป็นศิลปะภาพพิมพ์ เหตุการณ์ที่เยเซเบลถูกจับโยนลงจากหน้าต่างหอคอยพระราชวังของเธอเองและถูกสุนัขกัดกินร่างของเธอ ชะตากรรมสุดท้ายของราชินีเยเซเบลตามเนื้อหาในคำภีร์)เป็นผลพวงจากข้อพิพาทสวนองุ่นและสงครามโค่นบัลลังก์
และผลลัพธ์แห่งการกระทำที่บูชารูปเคารพ การมีความเชื่อในแบบลัทธิเพเกินของเธอ นำพาผู้คนสู่การร่วมประเวณีและขัดกับความเชื่อแบบเอกเทวาหรือพระเจ้าสูงสุดองค์เดียว ซึ่งเป็นศาสนาหลักในดินแดนอิสราเอลเวลานั้น
อาถรรพ์ตัวเลข 23 ในปรากฏการณ์ 23 Enigma
ปรากฏการณ์ของความเชื่อในสัญญาณบอกเหตุและอาถรรพ์ตัวเลข 23 ที่เรียกว่า ทเวนตีทรี อินิกมา (23 Enigma) เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ยุคที่สื่อสารมวลชนกระจายเรื่องราวให้เป็นเรื่องใหญ่และดึงความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
คนที่ใช้คำศัพท์ 23 Enigma ยุคแรกๆ คือ วิลเลียม เอส เบอร์โรห์ (William S Burroughs) นักเขียนชาวอเมริกันเจ้าของงานนิยายที่ทรงอิทธิพลอย่าง Naked Lunch ยุค 50-60 หลังจากที่เขาได้สังเกตเห็นอาถรรพ์ที่มาพร้อมกับตัวเลข 23
1
วิลเลียม เบอร์โรห์ หมกมุ่นกับตัวเลข 23 และบันทึกเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นพ้องกับตัวเลข 23 นับตั้งแต่เขาพบเหตุการณ์แรกใน ค.ศ. 1960 ขณะใช้ชีวิตที่เมืองแทนเจียร์ (Tangiers) ประเทศโมร็อกโก เมื่อกัปตันเรือเฟอร์รีข้ามฟากระหว่างสเปนและโมร็อกโกเกิดอุบัติเหตุเรือล่มเสียชีวิตในวันที่กัปตันคลาร์กเพิ่งคุยโม้ว่าเดินเรือมา 23 ปีไม่เคยเจออุบัติเหตุเลย
และต่อมาเบอร์โรห์อ้างว่าเขาได้ยินข่าวทางวิทยุประกาศข่าวเครื่องบินตกและเป็นเที่ยวบินที่ 23 เส้นทางนิวยอร์ก-ไมอามี กัปตันเครื่องบินชื่อกัปตันคลาร์กเช่นกัน (แต่เหตุการณ์เครื่องบินตกเลข 23 ไม่มีเกิดขึ้นจริงใน ค.ศ.1960)
เลข 23 ที่ปรากฏปรากฏกับเขาในเหตุการณ์เลวร้าย 2 เหตุการณ์ติดจุดประกายให้เบอร์โรห์หมกมุ่นกับเลข 23 นับจากนั้นเป็นต้นมา ใน ค.ศ.1961 เบอร์โรห์ตีพิมพ์เรื่องสั้นชื่อเรื่อง 23 Skidoo
เบอร์โรห์ถูกยกให้เป็นบุคคลสาธารณะคนแรกที่จุดกระแสความหมกมุ่นในอาถรรพ์เลข 23 โดยนักเขียนชื่อ บาร์นาบี โรเจอร์สัน ได้เขียนถึงเขาไว้ในหนังสือ Book of Numbers: The Culture of Numbers – from 1,001 Nights to the Seven Wonders of the World ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.2013
ความหมกมุ่นเลข 23 ของเบอร์โรห์ถ่ายทอดไปให้เพื่อนนักเขียนอีกคนที่ชื่อ โรเบิร์ต แอนทอน วิลสัน (Robert Anton Wilson) และ โรเบิร์ต ชีอา (Robert Shea) ผลลัพธ์ก็คือ นิยายคัลต์ไตรภาคชุด Illuminatus! trilogy แห่งยุค 70 นิยายที่ยำรวมความเชื่อจากลัทธิหรือสังคมลับต่างๆ ในยุคอดีต ไม่ว่าจะเป็นศาสนาที่เชื่อความโกลาหล นับถือเทพีเอทริส เทพีแห่งความโกลาหล ทฤษฎีสมคบคิด และกลุ่มลับของปัญญาชนที่เป็นคลื่นใต้น้ำของการปฏิวัติฝรั่งเศส อย่างกลุ่มฟรีเมซอง และอิลลุมิเนติ
และนิยายชุดนี้ก็ฮิตในหมู่แฟนคลับ จุดกระแสความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดแบบกลุ่มลับอิลลุมิเนติขึ้นมาอีกครั้ง และยังถูกสร้างเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ กลายเป็นเรื่องที่คนอเมริกันหมกมุ่นกับองค์กรลับ แผนล้างโลก และสัญญาณต่างๆ ผสมผสานเรื่องเล่ากับการจับหลักฐานมาตีความกันไปในกรอบทฤษฎีที่ตัวเองเชื่อ
คนมีชื่อเสียงอีกคนที่มีอาการหมกมุ่นกับการเห็นสัญญาณจาก เลข 23 คือ จอห์น ฟอร์บส์ แนช นักคณิตศาสตร์ ที่คว้ารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ จาก ทฤษฎีเกม เขาคนนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีมันสมองระดับอัจฉริยะ แต่กลับมีปัญหาสุขภาพจิตป่วยเป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia) มีอาการประสาทหลอนหูแว่วและเห็นภาพซ้ำ และได้รับการวินิจฉัยเกี่ยวกับโรคนี้ตั้งแต่อายุ 29 ขณะที่ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่าง Massachusetts Institute of Technology (MIT)
เลข 23 มีอิทธิพลต่อจอห์น แนช มากจนถึงขั้นหมกมุ่น ผสมกับสภาวะทางจิต ทำให้เขาเริ่มเห็นสัญญาณจากเลข 23 ซ้ำๆ และปักใจเชื่อว่ามันเป็นสัญญาณบอกเหตุกับเขา (ไม่รวมกับที่จอห์น ฟอร์บส์แนช ตีพิมพ์งานเขียนวิชาการทั้งสิ้นรวม 23 ฉบับ) เหตุการณ์แรกที่เขาแสดงอาการคือเขาได้อ้างว่า ภาพถ่ายของพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 (Pope John XXIII) บนปกนิตยสาร Life ฉบับ 7 มิถุนายน 1963 นั่นคือภาพใบหน้าของเขาเอง อาการหมกมุ่นกับอาถรรพ์เลข 23 ของจอห์น
ในวัย 60 จอห์น แนช อาการป่วยของเขาดีขึ้น และได้รับการพิจารณารางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ จากการพัฒนา และชีวประวัติของ จอห์น แนช เป็นต้นเรื่องของภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind
สัญญาณบอกเหตุ 23 Enigma ในยุคนั้นได้กลายเป็นแรงบันดาลใจในภาพยนตร์หลายเรื่องที่เล่าเรื่องคนหมกมุ่นกับ เลข 23 เช่น ภาพยนตร์เยอรมันเรื่อง 23 ออกฉาย ค.ศ. 1998 ต่อมาคือภาพยนตร์ฮอลลีวูดแนวระทึกขวัญเรื่อง Number 23 ออกฉาย ค.ศ. 2007 นำแสดงโดย จิม แครีย์ เล่าเรื่องชายคนหนึ่งที่หมกมุ่นกับอาถรรพ์ตัวเลข 23 หลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือชื่อ หมายเลข 23 รวมทั้งภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง Pi ออกฉาย ค.ศ. 1998 พูดถึงคนที่หมกมุ่นกับการอ่านและพยายามตีความตัวเลข 23 และมีความเชื่อว่าพระเจ้าพยายามส่งสัญญาณผ่านรหัสตัวเลขนี้
ในทางการแพทย์ คนที่มีอาการหมกมุ่นกับตัวเลข รวมถึง อาถรรพ์เลข 23 และ 23 Enigma นี้ เป็นอาการของโรคทางสมองที่เรียกว่า Apophenia ซึ่งสมองจะมองเห็นความเชื่อมโยงของความคิดหรือสิ่งที่อาจจะไม่เชื่อมโยงกันเลยในความเป็นจริง หรือการตีความที่ลำเอียงตามใจตามความเชื่อที่ปักใจไปแล้ว
หรือมาจากข้อสันนิษฐานที่ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงเสมอไป ซึ่งอาการนี้เป็นภาวะที่สมองรับรู้เฉพาะจุด (selective perception) เลือกการมองเห็น และตีความเฉพาะทางไปในทางของความเชื่อใดเชื่อหนึ่ง การมองเห็นหรือสะดุดกับเลขใด (รวมถึงเลข 23) และตีความหมาย ก็เข้าข่ายอาการนี้เช่นกัน
Apophenia เป็นโรคทางประสาทวิทยา มีรากศัพท์จากภาษาละตินApophene โดยนักประสาทวิทยาชื่อ Klaus Konrad ได้ริเริ่มใช้คำนี้ และเป็นคำอธิบายในทางจิตวิทยา สำหรับอาการที่จิตที่เชื่อมโยงข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หาความหมายแบบสุ่มๆ จากเหตุการณ์บังเอิญ
โดยคำนี้นักจิตวิทยาหมายถึงความสามารถของจิตมนุษย์ในการจับภาพความสัมพันธ์ในข้อมูลที่ไม่คาดคิดหรือไม่ได้ตั้งใจ และเพื่อหาส่วนแบ่งของความหมายในการผสมแบบสุ่มและเหตุการณ์ที่บังเอิญ อีกทั้งยังสามารถเรียกว่าความพยายามที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ที่ไม่จริง แต่ความเชื่อและความลี้ลับเหล่านี้ก็ไม่ถูกปฏิเสธโดยนักวิทยาศาสตร์อย่างสิ้นเชิง
เพราะในยุคปัจจุบันได้มีการ ศึกษาลงลึกในสาขา Coincidence studies ที่พยายามหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ ไขปริศนาในเรื่องความบังเอิญที่ดูเหมือนจะมีแบบแผนและอาจจะนำไปสู่กฎเกณฑ์บางอย่างที่ไม่ใช่ความบังเอิญกับเลข 23 นี้
อ้างอิง
The Works of Josephus. Hendrickson Publishers [First AD 93, this ed.1804] Book 1, Chapter 2, verse 3 footnote
โฆษณา