Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
จิตวิทยาแมวส้ม
•
ติดตาม
16 ม.ค. 2023 เวลา 01:30 • ประวัติศาสตร์
การทดลองทางจิตวิทยาสุดสยองที่ทำกับมนุษย์
🔸 หากพูดถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ คุณผู้อ่านอาจจะนึกถึงนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องทำการทดลองในแลปที่เต็มไปด้วยขวดสารเคมีที่พร้อมจะระเบิดแบบในการ์ตูน แต่ที่จริงแล้วการทดลองทางวิทยาศาสตร์มีหลากหลายลักษณะ และหนึ่งในนั้นคือการทดลองกับมนุษย์ การทดลองทางจิตวิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็มีการทดลองกับมนุษย์ด้วยเช่นกันนะ ในบทความนี้แมวส้มจะมาเล่าเรื่องการทดลองทางจิตวิทยาที่น่าสยดสยองที่เกิดขึ้นจริงกันครับ
🔸🔸🔸 1. การทดลองคุกจำลองแสตนฟอร์ด (Stanford Prison Experiment)
🔸 การทดลองครั้งนี้ทำการทดลองในปี ค.ศ. 1971 นำทีมวิจัยโดย ฟิลลิป ซิมบาร์โด (Philip George Zimbardo) และคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
🔸 ดำเนินการทดลองโดยให้นักศึกษาที่เป็นอาสาสมัครจำนวน 24 คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ ทำการสุ่มให้สมบทบาทเป็นนักโทษจำนวน 9 คน และเป็นผู้คุมกะละ 3 คน โดยแบ่งออกเป็น 3 กะ (มีตัวสำรองบทบาทละ 3 คน) มีการให้ค่าตอบแทนเป็นรายวัน แต่มีกฎอยู่โดยว่าห้ามใช้ความรุนแรงใด ๆ ทั้งสิ้น หากใช้ความรุนแรงจะถูกตัดออกจากการทดลองทันที ผู้ที่ออกจากการทดลองกลางคันจะไม่ได้รับเงินตอบแทน
🔸 นักศึกษาที่เป็นผู้คุมจะใส่ชุดยูนิฟอร์มพร้อมอุปกรณ์ครบชุด ส่วนนักศึกษาที่เป็นนักโทษก็ต้องใส่ชุดแบบเดียวกับนักโทษจริง ๆ ในการทดลองทีมวิจัยจะกำหนดเงื่อนไขสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้ฝ่ายปกครองได้ใช้อำนาจของตนเอง ส่วนฝ่ายนักโทษต้องปฏิบัติตาม
🔸 การทดลองในช่วงแรก ๆ แต่ละฝ่ายต่างทำตามบทบาทได้อย่างดี ไม่มีการทำร้ายกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่วัน ผู้คุมก็เริ่มกลั่นแกล้งนักโทษต่าง ๆ นา ๆ และการกลั่นแกล้งก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นทารุนกรรม นักโทษเองก็เริ่มสับสนว่าตนเองมาร่วมการทดลองหรือเป็นนักโทษจริง ๆ
1
🔸 จากเดิมที่วางแผนการทดลองไว้ 2 สัปดาห์ ก็ต้องยุติลงก่อนกำหนดหลังจากทดลองไปได้ 6 วันเพียงเท่านั้นเพื่อป้องกันปัญหาลุกลามบานปลาย
🔸 การทดลองนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของอาสาสมัครทั้งฝ่ายที่เป็นนักโทษที่โดนทารุณกรรม และฝ่ายผู้คุมที่รับไม่ได้กับสิ่งที่ตนเองกระทำลงไป
🔸🔸🔸 2. การทดลองมิลแกรม (Milgram Experiment)
🔸 การทดลองครั้งนี้ทำการทดลองในปี ค.ศ. 1961 นำทีมวิจัยโดย สแตนลี่ มิลแกรม (Stanley Milgram) จากมหาวิทยาลัยเยล
🔸 ดำเนินการทดลองโดยให้อาสาสมัครเพศชายจำนวน 40 คน รับบทบาทเป็นครู คอยกดสวิตช์ไฟฟ้าใส่ผู้ที่รับบทบาทเป็นนักเรียนที่ตอบคำถามไม่ได้ โดยผู้รับบทบาทเป็นครูและนักเรียนจะอยู่คนละห้องกันแต่สามารถสื่อสารกันได้ โดยการกดใช้ไฟฟ้าแต่ละครั้งแรงดันไฟจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จากการช็อตครั้งแรก ๆ ที่เพียงแค่ทำให้รู้สึกคัน ๆ จนแรงดันไฟสูงจนอันตรายถึงชีวิต
🔸 อาสาสมัครที่เข้าร่วมการทดลองจะถูกหลอกว่าการทดลองนี้คือการทดลองเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ และอาสาสมัครยังไม่รู้อีกว่าผู้ที่รับบทบาทเป็นนักเรียนแท้จริงแล้วเป็นเพียงนักแสดง และสวิชไฟนั้นไม่ได้มีการช็อตไฟฟ้าจริง ๆ
🔸 ผลการทดลองพบว่าไม่มีครูคนใดเลยที่ขัดคำสั่ง ทุกคนยอมกดปุ่มช็อตไฟฟ้าจนถึงระดับแรงดันไฟฟ้า 300 โวลต์ ที่เป็นระดับที่อันตรายถึงชีวิตได้ และมีครูถึงร้อยละ 65 ที่ยอมกดปุ่มตามที่ผู้ควบคุมการทดลองสั่งจนถึงแรงดันไฟระดับสูงสุด ที่ 450 โวลต์ ถึงแม้จะมีเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดจากนักแสดงที่รับบทเป็นนักเรียนอีกห้อง
🔸 การทดลองนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเนื่องจะอาสาสมัครที่รับบทบาทเป็นครูได้รับผลกระทบทางจิตใจจากการกระทำของตนเอง
🔸🔸🔸 3. การศึกษาสัตว์ประหลาด (The Monster Study)
🔸 การทดลองนี้เกิดขึ้นในปี 1939 โดย แมรี่ ทิวดอร์ (Mary Tudor) และกำกับการดูแลโดย เวนเดล จอห์นสัน (Wendell Johnson) จากมหาวิทยาลัยไอโอวา
🔸 ดำเนินการทดลองโดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กกำพร้า 22 คน ประกอบไปด้วยเด็กที่พูดได้ปกติ 12 คน และเด็กที่พูดติดอ่าง 10 คน ซึ่งผ่านการวัดไอคิวและสังเกตมือข้างที่ถนัด เพื่อควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนของการทดลอง แล้วทำการแบ่งกลุ่มเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะมีทั้งเด็กที่พูดติดอ่างและเด็กที่พูดปกติ
🔸 เด็กกลุ่มแรกจะถูกนักวิจัยพูดคุยด้วยคำพูดในแง่บวก ได้รับการชื่นชมและคำให้กำลังใจเป็นประจำ เช่น เธอเก่งมาก เธอจะพูดได้ดีกว่านี้อีก ส่วนเด็กกลุ่มที่ 2 ถูกนักวิจัยพูดด้วยคำพูดในแง่ลบ ถูกตำหนิ ดูถูก ถากถางเป็นประจำ เช่น ถ้าพูดติดอ่างอย่างนี้เงียบ ๆ ไปเลยดีกว่า
🔸 ผลการทดลองพบว่าเด็กในกลุ่มที่ 2 ที่ถูกพูดด้วยคำพูดในแง่ลบมีปัญหาในการพูดมากขึ้น มีปัญหาสุขภาพจิต ผลการเรียนแย่ลง และมีปัญหาในการเข้าสังคม
🔸 การทดลองนี้ถูกปกปิดเป็นความลับ ไม่เคยถูกตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะก่อน จนกระทั้งถูกเปิดเผยเมื่อปี 2001 จากนักข่าวของหนังสือพิมพ์ ซาน โฮเซ่ เมอร์คิวรี่ นิวส์ ที่ไปเจอกับผลงานวิจัยนี้เข้าในมุมมืดขอหอสมุดไอโอวา
🔸🔸🔸 4. การทดลองกับหนูน้อยอัลเบิร์ต (Little Albert experiment)
🔸 การทดลองครั้งนี้ทำการทดลองในปี ค.ศ. 1920 โดย จอห์น โบรดัส วัตสัน (John Broadus Watson) จากมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ นักจิตวิทยาที่ถูกขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม
🔸 ทำการทดลองโดยวางเงื่อนไขให้หนูน้อยอัลเบิร์ต วัย 9 เดือน กลัวหนูขาวด้วยทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning Theory) ของ อีวาน เปโตรวิช พาฟลอฟ (Ivan Petrovich Pavlov)
🔸 วัตสัน ได้ทำการทดลองโดยให้หนูน้อยอัลเบิร์ตสัมผัสกับ กระต่ายขาว ลิง สุนัข และสิ่งของต่างๆ พบว่าหนูน้อยอัลเบิร์ตไม่ได้กลัวสิ่งต่างๆที่นำมาทดลองเลย หลังจากนั้นเมื่อหนูน้อยอัลเบิร์ตสัมผัสกับหนูขาว วัตสัน จะทำเสียงดังทันทีเพื่อให้หนูน้อยอัลเบิร์ตตกใจกลัว
🔸 เมื่อทำซ้ำเช่นนั้นหลาย ๆ ครั้ง ก็พบว่า เมื่อหนูน้อยอัลเบิร์ตเห็นหนูขาวก็รู้สึกกลัวในทันที เพราะเกิดการเข้าคู่สิ่งเร้าระหว่างหนูขาวและความกลัวไปเสียแล้ว
🔸 ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเวลาผ่านไปหนูน้อยอัลเบิร์ตก็เกิดความเชื่อมโยงขยายความกลัวที่มีต่อหนูขาวไปสู่สิ่งอื่นที่มีลักษณะขนปุยคล้ายกับหนูขาว สุดท้ายหนูน้อยอัลเบิร์ตก็กลัวทั้งกระต่าย สัตว์ต่างๆที่มีขนสีขาว หรือแม้แต่หนวดซานตาคลอส
🔸 ชะตากรรมของหนูน้อยอัลเบิร์ตหลังจากนั้นไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด สมาคมจิตวิทยาอเมริกา (American Psychological Association หรือ APA) เชื่อว่าหนูน้อยอัลเบิร์ต แท้จริงแล้วอาจชื่อว่า ดัคลาส เมอร์ริทท์ (Douglas Merritte) ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วจากภาวะน้ำคั่งในโพรงสมองในวัยเพียงแค่ 6 ขวบ
🔸🔸🔸 5. การทดลองฝาแฝดที่ไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ
🔸 การทดลองครั้งนี้ทำการทดลองในช่วงปี ค.ศ. 1961-1980 นำทีมโดย ปีเตอร์ นิวเบาเออร์ (Peter Bela Neubauer) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ได้ทำการทดลองกับแฝดแท้อย่างน้อย 8 คู่ และแฝด 3 ที่เป็นแฝดแท้เช่นกันอีก 1 คู่
David Kellman, Bobby Shafran and Eddy Galland
🔸 ดำเนินการทดลองโดยให้เด็กฝาแฝดในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าถูกรับไปเลี้ยงดูด้วยครอบครัวที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เช่น กรณีของแฝดแท้ 3 คน โรเบิร์ต แชฟราน (Robert Shafran) เอ็ดดี้ แกลแลน (Edward Galland) และ เดวิด เคลล์แมน (David Kellman) ที่ถูกจัดสรรให้ถูกเลี้ยงดูโดยครอบครัวที่มีฐานะแตกต่างกัน ได้แก่ครอบครัวหมอที่มีฐานะดี ครอบครัวที่พ่อเป็นครูที่มีฐานะปานกลาง และครอบครัวที่มีกิจการร้านขายของชำที่มีฐานะไม่ดีนัก
โดยมีการควบคุมตัวแปรแทรกซ้อน ให้ เด็กแต่ละคนมีพี่สาวที่อายุมากกว่า 2 ปี ถูกรับเลี้ยงดูจากครอบครัวดังกล่าวไปก่อนหน้า อีก 1 คน
🔸 เด็ก ๆ ที่ถูกทดลองจะถูกติดตามผลเป็นระยะ โดยทีมวิจัยจะคอยมาสัมภาษณ์ สังเกตการณ์ และให้ทำแบบวัดทางจิตวิทยาต่าง ๆ
🔸 ครอบครัวที่รับเด็กแฝดมา อุปถัมภ์ จะถูกปิดบังเกี่ยวกับการทดลองในครั้งนี้ สถานสงเคราะห์หลุยส์ไวส์เซอร์วิสเซสหลอกให้พ่อแม่บุญธรรมเชื่อว่าการติดตามผลของทีมวิจัยคือการติดตามผลตามปกติของเด็กที่ถูกรับไปเลี้ยงจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และถูกปิดบังไม่ให้ทราบว่าเด็กที่รับไปเลี้ยงมีพี่น้องฝาแฝดอยู่ เพื่อให้รับไปเลี้ยงเพียงคนเดียว
🔸 การทดลองครั้งนี้ไม่เคยถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ จนกระทั่งเรื่องแดงขึ้นเพราะโรเบิร์ต และเอ็ดเวิร์ด มาพบกันโดยบังเอิญจากการเข้าเรียนวิทยาลัยเดียวกัน เมื่อเป็นข่าวโด่งดังลงหนังสือพิมพ์ จึงได้พบกับเดวิด อีกคน จนทราบว่าตนเองมีแฝดสามในปี ค.ศ. 1980 และต่อมา ลอว์เรนซ์ ไรต์ (Lowrence Wright) ได้ไปค้นพบบทความเกี่ยวกับการทดลองนี้โดยบังเอิญ จึงเขียนบทความลงนิตยสาร เดอะนิวยอร์กเกอร์
🔸 แฝดทั้ง 3 คนมีปัญหาทางจิตตั้งแต่เด็ก มีประวัติการเข้ารักษาอาการป่วยที่แผนกจิตเวชในช่วงวัยใกล้เคียงกัน เมื่อโตขึ้นมาทั้ง 3 คนมาอยู่ด้วยกัน ปลูกบ้านใกล้ ๆ กัน ทำธุรกิจร่วมกัน แต่ด้วยความที่ไม่ได้โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กทำให้ไม่รู้วิธีการแก้ไขความขัดแย้งต่อกัน จนทั้ง 3 คนเริ่มน้อยใจกัน แยกตัวออกจากกัน จนในปี ค.ศ. 1995 เอ็ดดี้ ได้จบชีวิตตัวเองลงหลังจากป่วยด้วยโรคไบโพลาร์
🔸 🔸 🔸 🔸 🔸 🔸 🔸 🔸 🔸 🔸 🔸 🔸
🔸 การทดลองที่แมวส้มได้เล่าไปนั้นช่างดูโหดร้ายและไร้คุณธรรมสำหรับโลกยุคปัจจุบัน แต่ก็โชคดีที่การทดลองเช่นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากแล้ว การทดลองกับมนุษย์ในปัจจุบันต้องเป็นไปตามหลักการนูเรมเบิร์ก (Nuremberg Code) และ ปฏิญญาเฮลซิงกิ (Declaration of Helsinki) ที่กำหนดว่าก่อนจะทำการทดลองต้องผ่านคณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมเพื่อการวิจัยในมนุษย์ก่อนที่จะทำการทดลองต่าง ๆ ได้
🔸 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลการทดลองในข้างต้นทำให้เราได้ทราบถึงธรรมชาติของมนุษย์ได้มากขึ้น สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้มากมาย แต่มันก็เป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่มนุษย์ไม่ควรลืม เพื่อไม่ให้ความโหดร้ายเหล่านี้กลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง
ข่าวรอบโลก
จิตวิทยา
ประวัติศาสตร์
2 บันทึก
6
2
2
6
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย