สรุปดีล บางจาก ซื้อกิจการ ESSO 20,000 ล้านบาท
ข่าวใหญ่เช้านี้ คือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัติการเข้าซื้อกิจการ ESSO ประเทศไทย สัดส่วน 65.99% ซึ่งคิดเป็น มูลค่าเบื้องต้นราว 20,000 ล้านบาท
โดยราคากิจการที่ซื้อจะเป็นราคาที่ตั้งต้นด้วย 55,000 ล้านบาท
ก่อนปรับปรุงรายการทางการเงินต่าง ๆ เช่น หนี้สิน เงินทุนหมุนเวียน (ซึ่งยังเปลี่ยนแปลงได้) อีกราว 25,000 ล้านบาท
ทำให้เหลือเป็นราคากิจการเบื้องต้นราว 30,000 ล้านบาท
ซึ่งบางจากซื้อ 65.99% ก็จะคิดเป็นเงินที่ต้องจ่ายประมาณ 20,000 ล้านบาท (อาจต้องจ่ายมากกว่านี้ เพราะต้องทำ Tender Offer กับผู้ถือหุ้น ESSO ที่เหลือด้วย)
โดยตอนนี้บางจากยังไม่เซ็นสัญญาซื้อ ดังนั้นราคาซื้อก็อาจขึ้นหรือลงได้ หากผลประกอบการของบริษัท ESSO เปลี่ยนแปลงไป ก่อนวันที่เซ็นสัญญาซื้อ เช่น หนี้สินเพิ่ม ก็อาจทำให้ราคาซื้อลดลง
โดยจากข้อมูลที่บางจากทำให้เป็นตัวอย่าง
- ราคาซื้อกิจการ ESSO ของเดือนมิถุนายน ปี 2565 จะคำนวณได้เป็น 9.63 บาทต่อหุ้น
- ราคาซื้อกิจการ ESSO ของเดือนกันยายน ปี 2565 จะคำนวณได้เป็น 8.84 บาทต่อหุ้น
โดยราคาทั้งคู่นั้น ต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายกันในตลาดเมื่อวานที่ 11.01 บาทต่อหุ้น
นั่นจึงทำให้หลังจากตลาดหุ้นไทยเปิดมาเช้านี้ ราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัท เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่น่าสนใจ
- หุ้น BCP (บางจาก) บวกขึ้นเป็น 34.25 บาท คิดเป็น +7.9%
- หุ้น ESSO ร่วงลงเป็น 9.50 บาท คิดเป็น -14.41%
เพราะพูดง่าย ๆ คือ บางจาก จะได้ของถูกกว่าราคาตลาด ส่วน ESSO จะต้องขายกิจการในมูลค่าน้อยกว่าราคาตลาด
ทีนี้ เรามาดูกันว่า พอ ESSO เข้ามารวมกับบางจากแล้ว จะใหญ่ขนาดไหน ?
เริ่มจากจำนวนสาขาของสถานีบริการน้ำมัน
เมื่อรวมกัน บางจาก กับ ESSO จะมี 2,100 สาขา และจะเป็นผู้เล่นสำคัญเทียบเท่ารายใหญ่ในตลาดทันที
หากเทียบกับผู้เล่นในตลาดสถานีบริการน้ำมันรายอื่น ๆ OR มี 2,473 สาขา และ PTG มี 2,212 สาขา
นอกจากนั้น ผลประกอบการของ บางจาก ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากเดิมที่ บางจาก มีรายได้ 199,417 ล้านบาท รวมกับ ESSO ที่มีรายได้ 172,907 ล้านบาท
รวมกันจะสร้างรายได้ราว 400,000 ล้านบาท โดยผู้เล่นใหญ่สุดในตลาดอย่าง OR มีรายได้อยู่ 515,280 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บางจาก และ ESSO ยังมีรายได้จากธุรกิจโรงกลั่นรวมอยู่ด้วย โดยหลังเข้าซื้อกิจการ บางจากจะมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น เป็น 297,000 บาร์เรลต่อวัน
ซึ่ง OR นั้นไม่มีรายได้จากธุรกิจโรงกลั่น แต่จะไปอยู่บริษัทอื่นในเครือของ ปตท. แทน
ในขณะเดียวกัน อีกเรื่องที่ บางจาก จะมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้นมาทันทีก็คือ กลุ่มธุรกิจ Non-Oil
ชัดที่สุด ก็จะเป็นการขยายสาขาธุรกิจร้านกาแฟ
โดยเชนร้านกาแฟของ บางจาก ก็คือ อินทนิล
ล่าสุด มีจำนวนสาขาทั้งหมดทะลุ 1,000 สาขา
การที่ บางจาก ได้สาขา ESSO เพิ่มมาอีก 730 สาขา หมายความว่า บางจากสามารถขยายสาขาร้านกาแฟอินทนิล ไปได้อีกมากทันที
จากข้อมูลปี 2563 ยอดขายต่อสาขาของอินทนิลอยู่ที่ประมาณ 1.85 ล้านบาทต่อสาขา
ถ้าเราลองคิดเล่น ๆ ว่า บางจาก นำร้านอินทนิล
ไปเปิดเพิ่ม ตามสาขาของ ESSO ทั้งหมด
นั่นเท่ากับว่า บางจาก จะมีรายได้เพิ่มจากสาขาของอินทนิลที่เพิ่มขึ้น อีกประมาณปีละ 1,350 ล้านบาทเลยทีเดียว
การที่ บางจาก ได้ ESSO มาอยู่ในมือ ก็จะทำให้อินทนิล มีความสามารถในการแข่งขันในเรื่องธุรกิจร้านกาแฟเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
โดย Café Amazon เชนร้านกาแฟของ OR มีจำนวนสาขาทั้งหมดอยู่ที่ 4,501 สาขา
สรุปแล้ว ดีล บางจาก เข้าซื้อกิจการ ESSO ก็น่าจะเป็นดีลใหญ่ประจำปีนี้ และสิ่งที่เราน่าจะได้เห็นต่อจากนี้ก็คือ
- ปั๊ม ESSO จะเปลี่ยนเป็น ปั๊มบางจากทั้งหมด จากเงื่อนไขของการซื้อขาย ESSO จะให้ใช้แบรนด์เดิมได้อีกแค่ 2 ปี
- ร้านกาแฟอินทนิล น่าจะเข้าไป อยู่ใน ESSO แบบปูพรมทุกสาขา
- ดังนั้น บางจาก จะขึ้นมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญ ของตลาดสถานีบริการน้ำมัน และโรงกลั่นทันที
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ รู้ไหมว่า ปตท. เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บางจาก มาก่อน
แต่ ปตท. ได้ขายหุ้นบางจากไปทั้งหมดเมื่อปี 2558 ให้กับกองทุนรวมวายุภักษ์ หนึ่ง ในสัดส่วน 15.25% และสำนักงานประกันสังคมในสัดส่วน 11.96% คิดเป็นมูลค่ารวมกัน 13,490 ล้านบาท
มาวันนี้บางจากซื้อกิจการ ESSO ก็เหมือนกับว่า จากเดิมที่เป็นน้องรัก ได้ขึ้นมาท้าชนกับพี่ใหญ่อย่าง ปตท.
ซึ่งถ้าดีลนี้สำเร็จ ก็น่าจะเป็น Case Study ที่น่าสนใจ ของวงการตลาดทุน และธุรกิจพลังงาน ของประเทศไทย..
- 350
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
