Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนทางชีวิต
•
ติดตาม
12 ม.ค. 2023 เวลา 08:58 • นิยาย เรื่องสั้น
ชายคนนั้น
“พี่กล้ายืนยัน ผีไม่มีจริงหรอก” พี่ต้องตอบเสียงหนักแน่น เมื่อผมถามว่าผีมีจริงไหม
“ทำไมจะไม่มีหล่ะพี่ ผมยังเคยเล่นผีถ้วยแก้วกับที่บ้าน วิญญาณคุณป้าให้เลขสามตัวบน ไปซื้อถูกตรงตัวเลยครับ ตอนนั้นพี่สาวและน้าผมได้มาตั้งหลายแสนนะครับ” ผมพยายามหาเหตุผลมาค้านพี่ต้อง
“มีใครเคยเห็นผีบ้างไหมหล่ะ?” พี่ต้องพูดเสียงยานคาง “แล้วไอ้ผีถ้วยแก้วที่ว่า ก็แค่เอาถ้วยมาคว่ำลงบนกระดาษแล้วเดินไปตามตัวหนังสือ ใครเคยเห็นวิญญาณที่อยู่ในถ้วยบ้างมั๊ย? หน้าตามันเป็นยังไง? บางทีคนเล่นอาจรวมหัวกันเอานิ้วแตะก้นถ้วยแล้วช่วยกันดันให้มันเคลื่อนไป”
“โธ่พี่! ผมไม่เคยเห็นวิญยง..วิญญาณผีสางอะไรหรอกครับ แต่ไอ้เรื่องใบ้หวยสามตัวตรงเป๊ะนี่จะอธิบายยังไง?” ผมถามออกไป คิดว่าคงต้อนให้พี่ต้องจนมุมได้
“ไม่เห็นยาก” พี่ต้องโบกมือ “มันก็แค่เรื่องบังเอิญ หรือไม่ก็....ขอโทษนะอย่าว่ากัน นัทอาจได้เลขมาจากที่อื่นแล้วรวมหัวกันหลอกคนที่ดูอยู่ มันก็เท่านั้นเอง”
“พี่ต้อง!” ผมขึ้นเสียง “หาว่าผมหลอกลวงหรือ?”
“เปล่า พี่ก็แค่สันนิษฐาน” พี่ต้องพูดหน้าตายไม่ยี่หระว่าผมจะรู้สึกอย่างไร ก่อนยกเบียร์กระป๋องขึ้นซดอึกใหญ่
ผมโกรธจนหน้าแดง คิดหาทางตอบโต้พี่ต้อง แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงของพี่ เต๋อดังมาเหมือนอาญาสิทธิ์จนต้องหุบปากไว้
“ไม่เอาน่า! พอ...พอแล้ว...ทั้งไอ้ต้อง ไอ้นัท ต่อความยาวสาวความยืดอยู่นั่นแหละ” พี่เต๋อที่นั่งเบาะหน้าข้างพี่นก พูดปรามเสียงเข้ม ก่อนพูดต่อว่า “ไอ้ต้อง มึงซัดเบียร์ไปสามกระป๋องตั้งแต่ออกจากกรุงเทพ คงเมาแล้วมั้ง มึงอย่าไปว่าน้องมันอย่างนั่นซิ เรามาเที่ยวกันให้สนุกนะโว้ย ขอร้องเถอะ! อย่ามาแขวะกันเอง”
พี่เต๋อพูดจบ ภายในรถเงียบกริบ เพราะพี่เต๋อเป็นประธานชมรมเชียร์ พี่ใหญ่ของพวกเรา แกเรียนมาหกปีแล้วแต่ยังไม่จบเพราะเอาแต่ทำกิจกรรมเชียร์ที่แกรักมาตั้งแต่ปีหนึ่ง พี่เต๋อเป็นคนใจดีรักเพื่อนพ้องพี่น้องทุกคน แต่ถึงคราวเป็นการเป็นงาน แกจะเป็นคนเฉียบขาดพูดคำไหนคำนั้น ซึ่งพี่นกกับพี่ต้องที่อยู่ปีสี่และผมที่เป็นน้องปีสาม ต่างก็เป็นสมาชิกชมรมเชียร์มาตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย พวกเราจึงรู้จักนิสัยใจคอพี่เต๋อดีและให้ความเคารพยำเกรงมาก
การมาเที่ยวครั้งนี้ เป็นไอเดียของพี่นกที่เพิ่งออกรถเก๋งป้ายแดงมาหมาดๆ ได้ไม่ถึงเดือน ถึงยังขับรถไม่คล่อง แต่ด้วยความที่พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวตามประสาพี่น้องมาร่วมสองปีเพราะโควิด พี่นกจึงเอ่ยปากชวนพวกเราไปเที่ยวด้วยกัน “ไปต่างจังหวัดกันนะ เอารถผมไป จะได้ลองรถใหม่ในตัว”
ส่วนพี่เต๋อ เสนอให้ไปพักที่บ้านสวนของแกที่อยู่ไม่ไกลตัวอำเภอบ้านโป่งมากนัก “ไปบ้านพี่ซิ เดินทางไม่ไกล กินเหล้าดูฟุตบอล ค้างกันสักคืนหนึ่งแล้วรุ่งขึ้นค่อยกลับ”
ด้านพี่ต้องไม่ต้องพูดถึง เป็นขาเมาประจำชมรมอยู่แล้ว พอได้ยินว่าจะไปกินเหล้า มีหรือจะปฏิเสธ
ส่วนผมเป็นน้องเล็กในกลุ่ม ชอบติดสอยห้อยตามพี่ๆ อยู่แล้ว อาสาจัดหาเหล้า โซดา น้ำแข็งและกับแกล้ม ที่ตอนนี้พวกมันวางอัดกันครบครันอยู่ในกระโปรงท้ายรถ
“ถึงไหนแล้วครับพี่นก?” ผมถามขึ้น
“ใกล้ถึงบ้านโป่งแล้ว เลยบ้านโป่งไปเลี้ยวซ้ายอีกเดี๋ยวเดียวก็ถึง” พี่นกตอบ
จู่ๆ ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา ถึงแม้ตกไม่หนักนักแต่ก็ไม่ถือว่าเบา ไม่นานพื้นถนนก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน บางช่วงเริ่มมีน้ำขังให้เห็นประปราย พี่นกซึ่งเป็นมือใหม่เลยออกอาการเกร็ง ตาจ้องเขม็งฝ่าเม็ดฝนที่ตกลงมา มือสองข้างกำพวงมาลัยแน่นเสียจนไม่รู้ว่ารถเบนออกไปทางด้านขวา เสียงแตรรถด้านหลังดังขึ้น พี่นกรีบหักพวงมาลัยดึงรถที่เบนออกไปกลับเข้ามาอยู่ในช่องทางด้านซ้าย
“ระวังหน่อยโว้ยนก อย่าขับกินเลนชาวบ้านซิวะ” พี่ต้องร้องออกมา
“ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ ซิ ฝนตกกูมองไม่เห็นเส้นแบ่งถนน ก็มีแฉลบไปข้างๆ นิดหน่อย มันจะบีบแตรทำไมวะ”
“ให้กูขับให้ไหม มึงนะมือใหม่ ขับกลางค่ำกลางคืน ฝนตกอย่างนี้ด้วย มันอันตราย” พี่ต้องพูดด้วยเสียงจริงจัง
“ไอ้เวร! มึงนะ...เมาแล้ว ให้มึงขับจะพาลพาพวกเราไปเป็นผีกันหมด” พี่นกกระเซ้าเอาคืนพี่ต้องแรงๆ
“เออ...ตามใจ รถมึงนี่หว่า -ว่าแต่พูดถึงผี ตะกี้กูยังเล่าไม่จบ” พี่ต้องพูดเสียงยานคางอย่างเคย “ตอนปีสองกูอยู่หอพักมหาลัย เคยเจอเรื่องแปลก พวกมึงอยากฟังไหม?” พี่ต้องพูดพลางมองไปทางพี่เต๋อที่หน้ารถ
พี่เต๋อเหมือนรู้ แกเอี้ยวหันหน้ามาทางเบาะหลัง “เออ... มึงอยากเล่าก็เล่าไปเถอะ แต่อย่าแขวะชวนทะเลาะเหมือนเมื่อกี้เป็นพอ”
“ได้ครับพี่เต๋อ” พี่ต้องรับคำ ทำท่าวันทยหัตถ์แบบทหารแล้วยกเบียร์ขึ้นจิบเป็นพิธี ก่อนเล่าว่า “ตอนปีสอง กูอยู่หอพักมหา’ลัย ตรงนั้นแต่เดิมเคยเป็นวังเก่าพวกมึงคงรู้ดี คืนนั้นฝนตกอย่างกับตอนนี้เลย กูอยู่ในห้องกำลังนอนบนเตียงเคลิ้มๆ จู่ๆ ตู้เสื้อผ้าไม้ชิงชันเก่าคร่ำคร่าที่อยู่ปลายเตียงฝาตู้ก็เปิดออก”
“เปิดได้ยังไงวะ ฝาตู้คงหลวมละมั้ง ไอ้ต้อง” พี่นกออกความเห็น ส่วนพี่เต๋อหัวเราะหึๆ
“ไอ้นก มันไม่ได้เปิดน้อยๆ หรือค่อยๆ เปิดออกนะซิ แต่ฝาตู้มันเปิดอ้าออกอย่างเร็ว ดังปัง! ถ้านึกไม่ออก ก็เหมือนกับที่เราคว่ำฝ่ามือซ้ายขวาติดกัน แล้วลองพลิกฝ่ามือทั้งสองข้างให้หงายขึ้นพร้อมกันทันที ยังไงยังงั้นเลย”
“แล้วมึงทำไงวะ?” พี่นกถามต่อทันที
“จะทำไงได้หล่ะ กูก็ลุกขึ้นไปปิดฝาตู้นะซิ ก่อนปิดกูลองขยับดูว่าบานพับมันหลวมหรือเปล่า แต่ก็ปกติไม่มีอะไรหลวม”
“แล้วเป็นไงต่อพี่?” ผมยิงคำถามคล้ายกับพี่นกบ้าง
“พี่ก็ล้มตัวนอน จ้องเขม็งไปที่ตู้แล้วชี้นิ้ว พูดว่า ‘ถ้ามึงแน่จริงเปิดอีกทีสิวะ’ ” พี่ต้องทำท่าชี้นิ้วประกอบให้เห็นภาพ
“ลีลามากนักนะ เร็ว! แล้วมันเปิดอีกหรือเปล่าวะ?” พี่นกเร่งเร้า พลางเหลือบมองพี่ต้องผ่านกระจกมองหลัง
“ฮ่า..ฮ่า...” พี่ต้องหัวเราะอย่างกับในหนังจีน “แน่นอน ฝาตู้เปิดออกอีกที คราวนี้..เปิดแรงกว่าเก่าดังปัง! สนั่นห้อง”
“เฮ้ย!” พี่เต๋ออุทาน “มันเปิดแรงขนาดนั้น เอ็งกลัววิ่งออกจากห้องเลยซิ...ต้อง?”
“เปล่าเลย พี่ทายผิดถนัด ผมเฉยๆ เพราะไม่เชื่อว่าผีมีจริง ถึงฝาตู้จะเปิดออกแต่ก็ไม่มีผีหน้าเน่าเฟะโผล่ออกมาจากตู้ให้เห็น ผมลุกไปปิดฝาตู้อีกครั้ง ปิดไฟ แล้วพูดขึ้นว่า ‘สงสัยยุงบินมาชนฝาตู้มั้ง...’ จากนั้นทุกอย่างสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเลยล้มตัวนอนและหลับสนิทจนถึงเช้า” พี่ต้องพูดเอามือกอดอก ทำท่าทางว่าภูมิใจเสียเหลือเกิน
“ถ้าเป็นผมคงวิ่งออกนอกห้องไปแล้ว พี่ใจเด็ดจริงๆ” ผมเอ่ยปากชมพี่ต้อง
“นั่นสิ เก่งฉิบหาย มึงนี่ไม่กลัวอะไรจริงๆ แต่กับน้องอ้อย ทำไมไม่เห็นเป็นแบบนี้บ้างวะ” พี่นกทำทีเป็นชมแต่ตบท้ายด้วยการแซวแรงๆ
เพราะทุกคนรู้ดีว่าพี่ต้องกลัวน้องอ้อยมากแค่ไหน พวกเราเคยเห็นตอนพี่ต้องนั่งกินเหล้าที่ร้านเจ๊กหลีหลังมหาวิทยาลัย น้องอ้อยมาตามทำหน้าบึ้งตึงเท่านั้น พี่ต้องรีบลุกขึ้นผลุนผลันกลับไปพร้อมน้องอ้อยทันที ตั้งแต่นั้นมา พี่ต้องก็ตกเป็นขี้ปากของพวกเรา ที่มักเอาเรื่องน้องอ้อยมาล้อเลียนแกเป็นประจำ
“อย่าให้เป็นแบบกูบ้างแล้วกัน...ไอ้นก” พี่ต้องพูดพร้อมออกอาการฮึดฮัด พวกเราสามคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน ยกเว้นพี่ต้องที่ทำหน้ามุ่ยทำทีมองไปนอกหน้าต่างรถ
ฝนยังคงตกพรำๆ รถผ่านตัวอำเภอบ้านโป่งแล้วเลี้ยวซ้ายวิ่งเข้ามาตามถนนสองเลน จอแสดงจีพีเอสในรถแสดงระยะทางเหลืออีกสิบกิโลเมตร ก็จะถึงบ้านสวนของพี่เต๋อ สองทุ่มแล้วรถราบนถนนไม่มากนัก พี่นกเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้น จนเห็นตัวเลขดิจิทัลที่หน้าปัทม์แสดงความเร็วหนึ่งร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง
“ไอ้นกมึงจะรีบไปไหนวะ?” พี่ต้องพูด โน้มตัวมาจับที่เบาะคนขับ
“เห็นถนนมันว่าง เซลล์มันบอกว่ารถรุ่นนี้ทรงตัวดี เลยลองเร่งดู แหม..ไม่พามึงไปตายหรอก” พี่นกประชด
“ระวังก็ดี มึงเพิ่งจะขับรถเป็นไม่นาน เดี๋ยวชนตูมตายโหงหมดคันขึ้นมา กูจะไม่เห็นหน้าน้องอ้อยอีก”
“ไอ้ต้อง...ไอ้ปากเสีย!” พี่เต๋อทำเสียงดุ แล้วหันไปทางพี่นก “ไอ้นก! มึงขับช้าลงหน่อยได้ไหม ไม่ต้องรีบ จวนจะถึงอยู่แล้ว”
พี่นกไม่ตอบรีบถอนคันเร่งลดความเร็วรถลงมาเหลือไม่ถึงร้อย แต่ถนนแถวนั้นไม่ค่อยเรียบ ทำให้พวกเราตัวโยนขึ้นลงตามพื้นถนน เสียงล้อสัมผัสกับถนนได้ยินเสียงครืด...ครืด...ดังเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ
ผมได้ยินเสียงน้ำกระจายเมื่อรถวิ่งผ่านแอ่งน้ำ ตามมาด้วยเสียงยางรถที่บดกับกรวดหินที่ขอบทาง รู้สึกว่ารถเแฉลบออกด้านซ้าย พี่นกหมุนพวงมาลัยไปทางขวาอย่างเร็ว ทำให้รถเบี่ยงกลับมาทันที แต่มันไม่หยุดกลับเสียหลักข้ามเส้นแบ่งกลางถนนไปเลนด้านขวา รถสิบล้อที่วิ่งสวนมาระยะกระชั้นกระพริบไฟสูงถี่ๆ พร้อมกับบีบแตรลมเตือนดังสนั่น
“ไอ้นก ระวัง!” พี่เต๋อตกใจตะโกนออกมา
พี่นกตกใจรีบหมุนพวงมาลัยไปทางซ้ายอย่างเร็ว เสียงยางที่บดบี้กับถนนเสียงดังครืดๆ ผมรู้สึกว่ารถหมุนเป็นลูกข่าง ไม่รู้ทิศ ได้ยินเสียงตัวรถครูดไปกับพื้น ก่อนที่จะได้ยินเสียงซ่า คล้ายๆ กับใครเอาของร้อนไปจุ่มในน้ำเย็น สักพักมีน้ำทะลักเข้ามาท่วมในห้องโดยสาร ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย
ผมได้ยินแต่เสียงฟองอากาศรอบตัวดัง บุ๋ม...บุ๋ม... และเสียงถีบน้ำอย่างแรงของใครบางคนข้างตัวจนรู้สึกได้ มันเหมือนอยู่ในนรก ผมเห็นภาพของแม่ชัดเจนขึ้นมาในสมองพลันนึกไปถึงความตาย ผมพยายามกลั้นหายใจไว้ จนได้ยินเสียงเรียก
“ทางนี้! ทางนี้ ส่งมือมา”
ผมยื่นมือออกไปทางเสียงนั้น มีมือใครคนหนึ่งดึงมือผม ผมถีบตัวตามขึ้นไป พบว่าตัวเองออกมานอกตัวรถได้แล้ว พี่ต้องนั่นเองเป็นคนดึงผมออกมาผ่านช่องหน้าต่างประตูหลังที่ยังเห็นร่องรอยเศษกระจกติดอยู่ ผมรีบหันกลับไปเรียก
“ทางนี้พี่เต๋อ พี่นก ส่งมือมาทางนี้” ผมส่งเสียงพร้อมกับยื่นมือลงไปคว้ามือ พี่เต๋อดึงขึ้นมา ส่วนพี่นกจับมืออีกข้างของพี่เต๋อตามออกมาติดๆ
พวกเราออกมานั่งสั่นอยู่บนด้านข้างของรถที่ตะแคงปริ่มอยู่เหนือน้ำ อาการของทุกคนเห็นได้ชัดว่ายังมึนงงกับเหตุการณ์ ชาวบ้านหลายคนเริ่มออกมามุงดู
สักพักพวกเราค่อยๆ ลุยน้ำที่สูงประมาณคอไปขึ้นฝั่งคลอง คุณป้าคนหนึ่งแกเอาผ้าห่มมาให้เราคลุมตัวไว้ ผมมองไปรอบตัว เห็นพี่ต้องท่าทางอ่อนล้ากว่าใครเพื่อน แกหันไปทางพี่นก
“ไอ้นก ขอบใจมึงนะ ไม่ได้มึงพวกเราแย่แน่” พี่ต้องพูดเบาๆ
“ขอบใจอะไรวะ กูไม่เข้าใจ”
“ก็ที่มึงเรียกกูไง ให้มาทางนี้ กูเลยเจอทางออก น้ำในคลองไม่ลึกก็จริง แต่รถมันเอียงห้องโดยสารจมน้ำคลองเกือบมิด มองอะไรไม่เห็น ถ้าหาทางออกไม่เจอ ไม่นานพวกเราอาจจมน้ำตาย”
“แต่กูไม่ได้เรียกมึง กูออกมาได้เพราะพี่เต๋อ ดึงมือกู ออกมาก็เห็นมึงกับไอ้นัทอยู่ข้างบนแล้ว”
“นั่นสิ! ตอนพี่ต้องดึงมือผมออกมา ผมเห็นพี่อยู่คนเดียวนะ” ผมพูดขึ้นบ้าง
“มึงหูแว่วหรือเปล่า?” พี่นกถาม เอามือจับไหล่พี่ต้อง
“สาบาน กูได้ยินจริงๆ เสียงใหญ่เหมือนเสียงมึง บอกว่ามาทางนี้ มาทางนี้ พูดซ้ำตั้งสองครั้ง”
คุณป้าที่เอาผ้าห่มมาให้ แกยืนฟังอยู่ คงอยากจะเล่าอะไรให้พวกเราฟัง แกหันไปทางพี่ต้อง
“คุณคะ เมื่อห้าวันก่อน คลองตรงที่พวกคุณตกลงไป น้ำลึกกว่านี้มาก วันนั้นมีรถกระบะคันหนึ่งตกลงไป ป้าออกมาดู เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยดำน้ำลงไปคว้าตัวชายคนหนึ่งขึ้นมา เขาพยายามผายปอดและปั๊มหัวใจอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายชายคนนั้นไม่รอด ทางเทศบาลคงกลัวว่าจะมีรถตกลงไปอีก สองวันที่แล้วจึงเอาเครื่องสูบน้ำมาสูบ น้ำในคลองเลยลดลงไปมากโข พวกคุณโชคดีมาก ถ้าตกลงไปตอนที่เขายังไม่สูบน้ำออก ขอโทษเถอะ ป้าว่าคงมีพวกคุณตายในน้ำนั้นเชียว” ป้าเล่าจบ เห็นแกทำท่าลังเลครู่หนึ่ง
“เออแน่ะ! เสียงผู้ชายที่มาเรียกว่ามาทางนี้ที่คุณได้ยิน ป้าว่าน่าจะเป็นชายคนที่ตายนั่นแหละ”
ประโยคสุดท้ายของป้า ทำเอาผมตัวเย็นขนลุกซู่ มองไปข้างๆ เห็นพี่ต้องจ้องมองไปที่รถที่ตะแคงในน้ำเหมือนกำลังคิดอะไรในใจ ส่วนพี่เต๋อสีหน้าเรียบเฉย แกหันไปทางป้า
“ขอบคุณครับป้าที่เล่าให้ฟัง ขอบคุณสำหรับผ้าห่มด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก ช่วยอะไรได้ ป้าก็เต็มใจช่วย” ป้าผู้อารีตอบและยิ้มให้
พวกเราร่ำลาคุณป้าเมื่อรถกระบะจากบ้านสวนของพี่เต๋อมาถึง เรานั่งท้ายกระบะได้สักสิบนาทีก็มาถึงที่บ้าน แต่ละคนทั้งหิว ทั้งเหนื่อยอ่อน ก่อนลงจากรถ พี่เต๋อ มองดูพวกเราด้วยความเป็นห่วง แล้วมาหยุดที่พี่ต้อง
“ต้อง...ตอนพี่ดึงไอ้นกออกมาได้แล้ว พี่มองไปที่เอ็ง มีผู้ชายคนหนึ่ง เห็นหน้าไม่ชัดยืนอยู่ข้างหลัง ทีแรกนึกว่าเป็นไอ้นัท แต่เหลียวกลับมาเห็นไอ้นัทนั่งอยู่อีกทาง พี่มองกลับไปอีกที ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นแล้ว พี่ว่าคงเป็นผู้ชายคนที่ป้าเล่าถึงกระมัง”
พี่เต๋อพูดด้วยเสียงจริงจัง “พวกเรากลับไปถึงกรุงเทพแล้ว ไปทำบุญให้เขากัน ใครจะไปกับพี่บ้าง?”
ผมและพี่นกยกมือ ส่วนพี่เต๋อพูดเบาๆ ว่า “ผมไปด้วย”
พวกเรารีบเข้าบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่พี่เต๋อเอามาให้ พอกินข้าวเสร็จต่างเหนื่อยอ่อนแยกย้ายกันเข้านอน ผมพยายามข่มตานอนแต่กลับนอนไม่หลับ นึกถึงพี่ต้องที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริง ผมว่าเหตุการณ์ในวันนี้พี่ต้องคงเชื่อแล้ว เพราะที่เรารอดมาได้ ก็ด้วยชายที่ตายในคลองเมื่อห้าวันก่อน เป็นคนช่วยไว้แท้ๆ
สวัสดีครับ ผมหายหน้าไปหลายเดือน เพื่อเขียนนิยาย ทีแรกคิดว่าคงเสียเวลาเปล่า น่าจะเขียนไม่จบ แต่ความพยายามเฮือกสุดท้าย ทำให้เขียนจบจนได้ ท่านใดสนใจ สามารถเข้าไปช่วยอุดหนุนที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้ได้นะครับ
http://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNzQyMzU2MiI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjIyNDYyMSI7fQ
เรื่องสั้น
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย