15 ม.ค. 2023 เวลา 23:00 • หนังสือ

90​ ความรู้​ หนังสือเรื่อง​ "คิดแบบ​อัจฉริยะ" (ทันตแพทย์​สม​ สุ​จ​ี​รา)​

EP28:90​ ความรู้​ หนังสือเรื่อง​ "คิดแบบ​อัจฉริยะ" (ทันตแพทย์​สม​ สุ​จ​ี​รา)​
1
ชีวิตจะประสบความสำเร็จ
ถ้าเข้าใจระบบการคิด
และพัฒนาตนเองให้เหนือกว่า
ด้วยเทคนิคการคิดทั้ง 9 แบบ
ทันตแพทย์สม สุจีรา
1
📌(1.คิดนอกกรอบ)
☑️ 1.สัตว์ไม่มีความสามารถในการคิดนอกกรอบ​ มนุษย์เท่านั้นที่มีความสามารถนี้​ แต่ว่ามีไม่เท่ากัน​ มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่กล้าคิดต่าง​ และคนส่วนนี้​ คือ​ คนที่ประสบความสำเร็จ
1
☑️​ 2.นายแพทย์เอ็ดเวิร์ด​ เดอ​ โบโน​ เป็นผู้ที่เริ่มการคิดนอกกรอบบอกว่า​ "มีไม่กี่ครั้งที่การคิดนอกกรอบจะสำเร็จ" ดังนั้น จงคิดไว้หลายๆ ทาง ถ้ามีเพียงครั้งเดียวที่สำเร็จ ผลของมันก็คุ้มค่าที่สุด
☑️​ 3.ถ้าย้อนกลับไป 10 ปี​ ที่ผ่านมา​ จะพบว่าการที่คุณเป็นอย่างทุกวันนี้​ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ​ และถ้าขณะนั้นความคิดของคุณเปลี่ยนไปเพียงนิด​ ทุกวันนี้ก็จะมีชีวิตที่ต่างออกไปมาก
☑️​ 4.ถ้าการคิดนอกกรอบของเราสามารถจดลิขสิทธิ์ได้​ ควรไปจดลิขสิทธิ์ให้เรียบร้อย​ ก่อนประกาศต่อสาธารณชน​ เพราะการลอกเลียนแบบ​ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
☑️​ 5.ถ้าคุณต้องการโดดเด่นเป็นที่จดจำได้อย่างรวดเร็ว​ ต้องพยายามคิดนอกกรอบ​ แม้ว่าบางครั้ง​ การคิดแบบนั้นจะมีโอกาสล้มเหลวสูงกว่าปกติก็ตาม
☑️​ 6.การคิดนอกกรอบต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน​ และทำอย่างไรก็ได้​ เพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น
☑️​ 7.การคิดนอกกรอบเป็นเรื่องสำคัญมาก​ เพราะการคิดในกรอบช่วยพัฒนาไอคิว​ แต่การคิดนอกกรอบช่วยพัฒนาไอเดีย
📌(2.คิดเป็นภาพ)
☑️​ 8.สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ​ คือ​ การรู้จักสร้างมโนภาพ​ เพราะเหตุการณ์ในอนาคตจะเกิดขึ้นตามภาพในใจ
1
☑️​ 9.มนุษย์มีความฉลาดมากกว่าลิงชิมแปนซีและกอริลลา เพราะความสามารถในการคิดจินตนาการเป็นภาพ
☑️​ 10.มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียว​ ที่สามารถเปลี่ยนโปรแกรมได้ตามใจปรารถนา​ เพียงแค่ใช้มโนภาพ
☑️​ 11.สิ่งที่ทำให้ในหมู่มนุษย์ด้วยกันฉลาดต่างกัน​ ก็คือ​ มีความสามารถในการสร้างภาพในใจได้ไม่เท่ากัน​ คนที่รู้จักจินตนาการ​ เวลาวางแผนจะมีภาพเกิดขึ้นในใจเสมอ
☑️​ 12.ถ้อยคำมีหลายภาษา​ แต่ภาพมีเพียงภาษาเดียว​ เป็นภาษาสากลที่จิตใต้สำนึกเข้าใจ​ ทำให้พลังจิตสามารถผุดขึ้นมาช่วยได้
☑️​ 13.การคิดเป็นภาพจะทำให้มองเห็นแบบองค์รวม​ เห็น​ความสัมพันธ์เชื่อมโยง​ เช่นเดียวกับการดูแผนที่​ ที่สามารถเข้าใจได้เร็วกว่าการอ่านข้อมูล
☑️​ 14.ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตในทุกสาขาอาชีพ​ ล้วนมีพรสวรรค์ในการคิดเป็นภาพ​ แต่เนื่องจากการเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ​ ทำให้ไม่มีใครออกมาอธิบายเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของพวกเขา
☑️​ 15.ภาพเป้าหมายของชีวิต​ ถ้าชัดเจนต่างกันเพียงนิด​ ก็จะทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล​ ถ้าไม่รู้จักทำภาพให้ชัด​ อนาคตก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ
☑️​ 16.งานวิจัยพบว่า​ ภาพในจินตนาการกับภาพประสบการณ์จริง​ ส่งผลต่อสมองเท่ากัน​ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกและความชัดเจน​ ดังนั้น​ การฝึกจินตนาการจนภาพใกล้เคียงเหตุการณ์จริง​ จะให้ผลเท่ากัน
☑️​ 17ภาพที่เกิดขึ้นจากจินตนาการขณะหลับตา​ สมองส่วนจิตใต้สำนึกจะเข้ามารับรู้และบันทึกไว้​ ดังนั้น​ ขณะเรียนรู้สิ่งใดก็ตาม​ เมื่อถึงจุดสำคัญ​ ต้องหลับตาจินตนาการช่วยด้วยทุกครั้ง
☑️​ 18.เคล็ดลับการสร้างภาพในใจ​ คือ​ ภาพในจินตนาการที่เคลื่อนไหว​ สามารถเข้าไปในจิตใต้สำนึก​ ได้ง่ายกว่าภาพนิ่ง​ ดังนั้น​ การจินตนาการภาพควรเป็นภาพเคลื่อนไหวเสมอ
☑️​ 19.สติเป็นองค์ประกอบตัวหนึ่งของจิต​ ซึ่งมีในมนุษย์เท่านั้น​ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ​ ไม่มีสติสัมปชัญญะ
☑️​ 20.สมองส่วนที่ทำให้มีสมาธิ
กับสมองส่วนที่ทำให้เกิดสติ​ เป็นคนละส่วนกัน
☑️​ 21.ภาวะของการมีสมาธิเกิดจากการทำงานของสมองส่วนกลาง​ แต่การเกิดสติเป็นการทำงานของสมองส่วนหน้า​ และสารเคมีในสมองก็ต่างกัน
☑️​ 22.ความคิดมีความไวสูงกว่าสมาธิ​ สมาธิจึงจับความคิดไม่ทัน​ ต้องใช้สติ​ ถ้ากำลังสติสูงจะสามารถระลึกถึงสิ่งที่คิดทั้งอดีต​ ปัจจุบัน​ และอนาคต
☑️​ 23.สติเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญต่อชัยชนะมากกว่าสมาธิ​ สติทำให้เกิดปัญญา​ กำลังอย่างเดียวจึงยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้
📌(3.คิดเชื่อมโยง)
☑️​ 24.การคิดแบบเชื่อมโยงทำให้เกิดปัญญา​ ที่พุทธศาสนาเรียกว่า​
ปฏิสัมภิทา 4 ได้แก่
1.ขยายความได้
2.สรุปความเป็น
3.อธิบายเป็น
4.เชื่อมโยงเป็น
1
☑️​ 25."ขยายความได้" เช่น เพียงยกมาตรากฎหมายขึ้นมาหนึ่งมาตรา​ ก็สามารถอธิบายถึงหลักการ​ และคดีต่างๆ​ ที่สอดคล้องกับมาตรานั้น​ และคิดขยายต่อยอดออกไปได้
☑️​ 26."สรุปความเป็น" เช่น จำเลยให้การวกวนไปมา เมื่อฟังแล้วจับประเด็นได้ ก็รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน
เริ่มต้นอย่างไร
☑️​ 27."อธิบายเป็น" คนที่เก่งแต่พูดไม่เป็น อธิบายไม่เป็น ก็ไม่มีประโยชน์ เปรียบเสมือนทนายที่ขยายความเก่ง แต่พูดให้ศาลเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่เกิดผล
☑️​ 28."เชื่อมโยงเป็น" คือ สามารถสังเคราะห์ความรู้ที่มี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ หรือสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้
☑️​ 29.การคิดแบบเชื่อมโยง​ ทำให้เห็นความสัมพันธ์เป็นลูกโซ่​ วิธีคิดนี้สามารถฝึกพัฒนาขึ้นได้​ ทำให้เห็นองค์รวม​ ทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ
☑️​ 30.การมองแบบองค์รวมจะเห็นการเชื่อมโยง​ เห็นเหตุและปัจจัย​ เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ​ ที่คนอื่นมองไม่เห็น​ ทำให้สามารถคิดและตัดสินใจได้​ ไม่เหมือนหรือก่อนคนอื่น
☑️​ 31.การเปรียบเทียบ เป็นวิธีการสอนที่ใช้กันมาก​ ในหลักสูตรการศึกษาตะวันตก​ เพราะทำให้การเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น​ ในสมัยพุทธกาล​ พระพุทธเจ้าก็ใช้การเปรียบเทียบ​ ในการอธิบายเป็นหลัก
☑️​ 32.สํานวนสุภาษิตต่างๆ​ ก็เป็นการเชื่อมโยงอย่างหนึ่ง​ ซึ่งความหมายของคำ​ เป็นการเปรียบเทียบ​ ที่มีประโยชน์​ ที่ทำให้เห็นความใกล้เคียง
☑️​ 33.คำย่อ​ คือ​ การเชื่อมโยงใจความสำคัญกับตัวอักษรย่อ​ ทำให้สามารถมองเห็นองค์รวมทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว
📌(4.คิดย้อนกลับ)
☑️​ 34.การคิดจากใหญ่ไปหาย่อย​ หรือที่เรียกกันว่า​ คิดแบบ​ "นิรนัย" เป็นการคิดแบบเอาผลลัพธ์​ ข้อสรุป​ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมา​ คิดย้อนกลับไปหาเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ผลนั้น
1
☑️​ 35.ส่วนการคิดแบบ​ "อุปนัย" คือ การคิดจากย่อยไปหาใหญ่ เป็นการวิเคราะห์เหตุย่อยๆ จากการสำรวจ ทดลอง คำนวณ ฯลฯ แล้วนำไปสู่ข้อสรุป หรือองค์ความรู้ใหม่
☑️​ 36.การคิดย้อนกลับจากความสำเร็จเพื่อหาเหตุปัจจัย​ ง่ายกว่าการคิดหาเหตุปัจจัยเพื่อไปสู่ความสำเร็จ
ยิ่งหารายละเอียดของผลลัพธ์ได้มากเท่าไหร่​ ยิ่งดีเท่านั้น
☑️​ 37.คำว่า​ "ทำไม" เป็นคำสำคัญในการคิด เมื่อเกิดคำถาม แรงบันดาลใจในการหาคำตอบก็จะตามมาเอง แรงนี้มีพลังสูงมากและส่งผลต่อการเรียนรู้ทุกชนิด
☑️​ 38.ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า​ "ความฉลาดไม่ใช่ความสามารถในการเก็บข้อมูล แต่คือ การรู้ว่าจะไปหาข้อมูลเหล่านั้นได้ที่ไหน"
☑️​ 39.What Where When Who Why How 6 คำนี้หากเกิดขึ้นกับใคร​ จะเกิดการเรียนรู้ที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง​ นั่นคือ​ เกิดอะไร​ ที่ไหน​ เมื่อไหร่​ ใคร​ ทำไมและอย่างไร
☑️​ 40.หลักอริยสัจ 4 ของพระพุทธเจ้า​ เริ่มจากการดูที่ผล​ คือ​ "ทุกข์" ก่อน แล้ววิเคราะห์หา "สมุทัย" (เหตุแห่งทุกข์)​ และมาดูที่ผล คือ "นิโรธ" (ความดับทุกข์)​ แล้วจึงวิเคราะห์หา "มรรค" (วิธีพ้นทุกข์)​ นั่นเอง
☑️​ 41.การคิดย้อนกลับจากผลมาหาเหตุนั้น​ เมื่อพบสาเหตุแล้ว​ ก็ยังต้องทดลองอีกครั้ง​ จากเหตุนั้นไปหาผล​ เพื่อยืนยันความถูกต้อง
📌(5.คิดสร้างสรรค์)
☑️​ 42.สิ่งที่จะทำให้คนแตกต่างกันนั้นแต่นี้ไป​ คือ​ ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล​ และนำไปประยุกต์ใช้​ ซึ่งต้องมีพื้นฐานมาจากความเข้าใจ​ จินตนาการ​ และความคิดสร้างสรรค์
1
☑️​ 43.จินตนาการเป็นต้นกำเนิดของความคิดสร้างสรรค์​ ขณะจินตนาการ​ สมองจะสร้างโครงข่ายใยประสาทในเรื่องนั้นมากกว่าปกติหลายเท่า
☑️​ 44.การที่จะทำอะไรใหม่ๆ​ ได้​ ต้องศึกษาฝึกฝนทำสิ่งเก่าๆ​ ให้ได้ดีเสียก่อน​ จึงจะสามารถเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ​ เพื่อต่อยอดเป็นสิ่งใหม่ได้
☑️​ 45.การเรียนรู้ความคิดของคนอื่น​ แล้วนำมาสร้างสรรค์ต่อ​ เป็นวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ​ การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลก​ ก็ล้วนมาจากการต่อยอดทั้งสิ้น
☑️​ 46.ถ้าลูกศิษย์ไม่รู้จักคิดต่อยอดจากความรู้ที่ได้รับ​ โลกก็จะไม่มีการพัฒนา​ คนที่ขยันทำแต่ไม่ขยันคิด
ยากที่จะประสบความสำเร็จ
☑️​ 47.ไอคิวเกิดจากสมองซีกซ้าย​ ส่วนไอเดียเกิดจากสมองซีกขวา​ เมื่อมีไอเดียแล้วต้องรีบลงมือทำ​ เพื่อให้ภาพในจินตนาการออกมาเป็นรูปประธรรม
☑️​ 48.ถ้าหากปล่อยให้ไอเดียอยู่แต่ในสมอง​ มันจะหยุดอยู่แค่นั้น​ จินตนาการที่ขาดการลงมือทำ​ คือ​ ความฟุ้งซ่าน
☑️​ 49.ไอคิวมีผลกับความสำเร็จของชีวิตเพียง 25% เท่านั้นและไอคิวของคนเราส่วนใหญ่แล้ว​ พัฒนาเพิ่มไม่ได้​ แต่ไอเดียสามารถพัฒนาได้ตลอดชีวิต
☑️​ 50.การคิดบวกจะทำให้มองเห็นศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่​ มองเห็นโอกาสมากมาย​ และมีทางเลือกให้ทำได้มากกว่าหนึ่ง เพราะเห็นความเป็นไปได้ในทุกๆ​ ทางนั่นเอง
☑️​ 51.คนคิดบวกมองเห็นโอกาสในอุปสรรค​ แต่คนคิดลบมองเห็นอุปสรรคแม้จะมีโอกาส
📌(6.คิดล่วงหน้า)
☑️​ 52.การเคารพสิทธิในการมาก่อนอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์​ จนกลายมาเป็นกฎหมาย​ คนที่มาก่อนจะได้เปรียบทุกเรื่อง​ ดังนั้น​ คนที่คาดหมายอนาคตได้ก่อนย่อมได้เปรียบมาก
1
☑️​ 53.การคิดล่วงหน้าถึงอนาคต​ สามารถทำให้ร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว​ โดยที่ไม่ต้องไปแย่งกับใคร​ เพราะขณะที่เราต้องการ​ คนอื่นยังไม่ต้องการ​ จึงควรฝึกไว้โดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆ
☑️​ 54.คนรวยไม่ใช่เพราะโชคดี​ แต่เพราะมองได้ไกลกว่าคนอื่น​ และฉวยจังหวะนั้นมาเป็นของตัวเอง​ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จบอกตรงกันว่า​ การมองเห็นโอกาสก่อนคนอื่น​ คือ​ จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด
☑️​ 55."ทฤษฎีไร้ระเบียบ" บอกไว้ว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติที่เราคิดว่ามันยุ่งเหยิง ไม่มีระเบียบ แท้จริงแล้วมันแฝงไปด้วยความเป็นระเบียบ ถ้าเราเข้าถึงความเป็นระเบียบนั้นได้ เราก็จะคาดการณ์อนาคตได้
1
☑️​ 56.ปัจจุบันโลกเข้าสู่มิติที่สี่ หลังจากที่ไอสไตน์ค้นพบความลับของแสง​ เราสื่อสารกันด้วยความเร็วแสง​ ค้นหาข้อมูลด้วยความเร็วแสง​ ดังนั้น​ คนที่คิดช้าย่อมเสียเปรียบ
☑️​ 57.อีกไม่เกิน 10 ปี​ ข้างหน้านี้​ คอมพิวเตอร์จะช่วยคาดหมายอนาคตได้มาก​ แม้แต่เรื่องความรู้สึก​ และคาดหมายสิ่งที่คุณต้องการในอนาคตได้
1
☑️​ 58.ความน่าจะเป็น​ คือ​ ค่าที่ใช้ประเมินสถานการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น​ โดยพิจารณาว่า​ เมื่อถึงเวลาเกิดเหตุการณ์แล้วจะเกิดในลักษณะใด​ มีโอกาสที่จะเกิดมากน้อยเพียงใด
☑️​ 59.วิสัยทัศน์​ คือ​ การเห็นภาพแห่งความสำเร็จในอนาคตชัดเจน​ ส่วนทัศนคติ​ คือ​ ความรู้สึกระหว่างที่ดำเนินการเพื่อไปสู่ความสำเร็จ​ ผู้นำที่เก่งต้องมีวิสัยทัศน์ชัดเจนและมีทัศนคติที่ดี
☑️​ 60.ในกรณีที่ภาพแห่งความสำเร็จยังไม่ชัดเจนเท่าใดนัก​ ก็ต้องรู้จักวางเป้าหมาย​ เพราะจะทำให้การวางแผนเป็นไปในกรอบที่ถูกต้อง​ ไม่ออกนอกเส้นทาง
☑️​ 61.เราควรกำหนดเป้าหมายแห่งความสำเร็จเป็นขั้นๆ​ ภาพแห่งความสำเร็จจะชัดขึ้นเรื่อยๆ​ ในแต่ละขั้นที่ผ่านไป
☑️​ 62.จิตใต้สำนึกนี้ลึกลับและซับซ้อน​ มีพลังซ่อนอยู่มากมาย​ จิตใต้สำนึกเปรียบเสมือนเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์​ ที่มีศักยภาพในการประมวลผล​ สูงกว่าจิตสำนึกเป็นหมื่นเป็นล้านเท่า
☑️ 63.จึงเป็นไปได้ที่จิตใต้สำนึก​ อาจจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า​ จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่​ แล้วนำมาประมวลผล​ แสดงออกมาในรูปของความฝัน
📌(7.คิดวิเคราะห์)
☑️​ 64.ในการคิดวิเคราะห์ต้องแยกเหตุและผลให้ชัดเจน​ มิฉะนั้นจะหาข้อสรุปไม่ได้​ ต้องแยกให้ออกว่า​ สิ่งใดเป็นเหตุ​ สิ่งใดเป็นผล​ การวิเคราะห์เหตุและผลผิด​ จะทำให้แก้ปัญหาไม่ตรงจุด
1
☑️​ 65.การประชุมเป็นการระดมพลังสมองและช่วยเสริมความคิดซึ่งกันและกัน​ เพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยย่อย​ ที่เป็นองค์ประกอบไปสู่ความสำเร็จ
☑️​ 66.ความสงสัยจะทำให้เกิดการคิดวิเคราะห์ตามมา​ จงพยายามเป็นคนช่างคิด​ ช่างสงสัย​ อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ​ และหมั่นตั้งคำถามอยู่เสมอ​ ทั้งนี้​ต้องสงสัยในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญด้วย
☑️​ 67.ผู้ที่มีปัญญาจะสามารถแยกความแตกต่างของธรรมชาติ 2 อย่างออกจากกันได้​ คือ​ เห็นรูปธรรมเป็นลักษณะธรรมชาติอย่างหนึ่ง​ และเห็นนามธรรมเป็นธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง
☑️​ 68.วิธีคิดแบบอัจฉริยะต้องมองไปที่นามธรรม​ เพราะรูปธรรมใครๆ​ ก็มองเห็นได้​ เช่น​ ใน​ภาพวาดของปีกัสโซ0มีราคานับพันล้านบาท​ เพราะมีนามธรรมซ่อนอยู่ในนั้นมากมาย
☑️​ 69.ความสุขที่ได้จากรูปธรรม​ เช่น​ รูป​ รส​ กลิ่น​ เสียง​ สัมผัส​ คือ​ เป็นความสุขแบบหยาบๆ​ ความสุขจากนามธรรม​ เป็นความสุขที่ละเอียดกว่ากัน​ เช่น​ ความรัก​ ความสงบ​ ความอบอุ่นใจ
📌(8.คิดด้วยสติ)
☑️​ 70.การมีสติ​ การรู้ตัว​ เป็นสิ่งสำคัญมากต่อประสิทธิภาพในการคิด​ เพราะสภาวะนี้ทำให้สารเคมีในสมองหลั่งออกมามาก​ และช่วยทำให้แขนงใยประสาทเจริญเติบโต
1
☑️​ 71.โดพามีน​ คือ​ สารที่กระตุ้นให้เกิดการแตกแขนงของร่างแหใยประสาท​ และเป็นสารเคมีที่ทำให้เฉลียวฉลาด​ สมองตื่นตัว​ มีพลัง​ กระฉับกระเฉง​ ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ
☑️​ 72.สติ​ คือ​ ความรู้ตัว​ หรือความรู้สึกตัว​ ส่วนสัมปชัญญะ​ คือ​ ความระลึกได้​ แต่สมาธิ​ คือ​ การมีใจจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง​ หรืออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
☑️​ 73.พลังสมาธิจะช่วยควบคุมทิศทางของความคิด​ ปกติความคิดของคนเรา​ จะกระจัดกระจายไม่มีระเบียบ
☑️ 74.สมาธิช่วยให้เกิดความสุขแต่ไม่เกิดปัญญา​ สมาธิทำให้เอนดอร์ฟินหลั่ง​ ซึ่งสารตัวนี้ช่วยลดอาการเจ็บปวด​ และช่วยให้เยื่อหุ้มสมองหนาขึ้น
☑️​ 75.การฝึกสติสามารถปฏิบัติในระหว่างวันได้​ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน​ ระหว่างยืน​ เดิน​ นั่ง​ นอน​
ก็สามารถฝึกสติได้​ การเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของร่างกายก็เป็นการฝึกสติ
☑️​ 76.การใช้สติเฝ้าดูลมหายใจ​ ก็คือ​ การฝึกใช้สมองส่วนนอกควบคุมสมองส่วนอารมณ์ และสัญชาตญาณนั่นเอง
📌(9.โยนิโสมนสิการ)
☑️​ 77.การคิดแบบโยนิโสมนสิการเป็นวิธีคิดที่มีลักษณะ 2 แบบ​ คือ
1.การคิดจากเหตุไปหาผล​ และ
2.การคิดจากผลไปหาเหตุ
ในอริยสัจ 4
1
☑️​ 78."การคิดแบบความสัมพันธ์ต่อเนื่อง" คือ การมองเห็นความสัมพันธ์ ทำให้เข้าใจองค์ประกอบของเหตุทั้งหมด อันส่งผลให้เกิดในลักษณะต่อเนื่องเป็นทอดๆ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
☑️​ 79."คิดเฉพาะหัวใจหลัก" คือ การคิดที่หัวใจหลัก ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงกว่า เมื่อพบต้นเหตุแล้วให้ขยายและวิเคราะห์อย่างละเอียด บางครั้งต้นเหตุนั้นอาจทำให้เกิดเหตุการณ์อื่นที่คล้ายกันได้
☑️​ 80."มองว่าอะไรเป็นไปได้ หรืออะไรเป็นไปไม่ได้" คือ การคิดแบบความน่าจะเป็นตามหลักคณิตศาสตร์ ด้วยการคำนวณ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นวิธีคิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
☑️​ 81."คิดแบบปัจจุบัน" เมื่อไหร่รู้ว่าปัจจุบัน คือ ของจริง ส่วนอดีตและอนาคตเป็นภาพลวงตา เมื่อนั้นพลังสติทั้งหมด จะมุ่งขยายปัจจุบันขณะจนเกิดปัญญา
☑️​ 82.คนที่มีทักษะในการคิดจากผลไปหาเหตุ​ จะมองว่า​ปัญหา​ คือ​ ความท้าทายและสนุกกับการแก้ปัญหานั้น
☑️​ 83.ถ้าพื้นไม่มีแรงเสียดทานเลย​ เราจะเคลื่อนที่ไม่ได้​ ความก้าวหน้าก็คือ​ การรู้จักนำแรงเสียดทานนั้น​ มาส่งให้เราเปลี่ยนทิศทาง​ การเคลื่อนที่ไปในทางที่ดีขึ้น
☑️​ 84.การถูกวิจารณ์เป็นเรื่องที่ดี​ และต้องแยกให้ออกระหว่าง​ คำวิจารณ์กับคำนินทา​ โดยไม่ต้องสนใจเรื่องไร้สาระ​ แต่เมื่อใดที่มีคำวิจารณ์ที่มีประโยชน์​ สิ่งนั้นทำให้เราเห็นปัญหาของตัวเองชัดขึ้น
☑️​ 85."การคิดถึงสิ่งที่มายับยั้งตัดรอน" สิ่งที่มีมายับยั้งตัดรอนความสำเร็จมีมากมาย​ ทั้งสุรา​ ยาเสพติด​ ความโลภ​ ความโกรธ​ ฯลฯ​ ถ้าเรารู้จักหลีกเลี่ยง​ ย่อมเป็นหนทางที่เจริญกว่าแน่นอน
☑️​ 86.ในทางพระพุทธศาสนา​ เบญจศีลหรือศีล 5 คือ​ การปิดทางไปสู่นรก​ ส่วนเบญจธรรมซึ่งเป็นธรรมคู่ขนานของเบญจศีล​ คือ​ ทางไปสู่สวรรค์
☑️​ 87.ในการวางแผน​ แก้ปัญหา​ หรือตัดสินใจทำอะไร​ ถ้ายังมองเห็นองค์รวมไม่ชัดอย่าเพิ่งลงมือ​ เพราะการแก้ไขเฉพาะจุดเหมือนยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง​ และทำให้ปัญหายุ่งยากขึ้นไปอีก
☑️​ 88."การคิดแบบรู้เท่าทัน" เมื่อหยั่งเห็นผลลัพธ์ย่อมรู้เท่าทัน​ เมื่อรู้เท่าทันสิ่งใด​ ให้คิดย้อนกลับเพื่อมาป้องกันปัญหา​ และสามารถแก้ไขได้ง่ายยิ่งขึ้น
☑️​ 89.คำถามว่า​ "ทำไม" จะช่วยให้เกิดการคิดแบบรู้เท่าทัน เช่น ถามตัวเองว่า "ทำไมเราถึงใจร้อน" แสดงว่าเริ่มตระหนักในผลนั้นแล้ว จึงรู้เท่าทันความใจร้อน
☑️​ 90.หลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้า​ คือ​ การรวบรวมวิธีคิดแบบรู้เท่าทันแบบรอบด้าน​ ว่าอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ​ โดยเฉพาะในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร​ ใครเชื่อง่ายก็มีโอกาสถูกหลอกลวงสูง
1
-หนังสือ​เรื่อง​ : คิดแบบ​อัจฉริยะ
-ผู้เขียน​ : ทันตแพทย์​สม​ สุ​จ​ี​รา
-จำนวน​ 174 หน้า
-ราคา​ 195 บาท
-แยก​สี​และ​พิมพ์​ที่​ : สายธุรกิจ​โรงพิมพ์​ บริษัท​อมรินทร์​พริ้นติ้ง​แอนด์​พับลิชชิ่ง​ จำกัด​ (มหาชน)
-จัดจำหน่าย​โดย​ : บริษัท​อมรินทร์​บุ๊ค​เซ็นเตอร์​ จำกัด​
-สรุป​โดย​ : Inspiration​ Channel
-สามารถ​ฟัง​คลิป​เสียง​ได้ที่​ 🗣️
🙏ขอบคุณ​มาก​ครับ​
โฆษณา