Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Inspiration Channel
•
ติดตาม
15 ม.ค. 2023 เวลา 23:00 • หนังสือ
90 ความรู้ หนังสือเรื่อง "คิดแบบอัจฉริยะ" (ทันตแพทย์สม สุจีรา)
EP28:90 ความรู้ หนังสือเรื่อง "คิดแบบอัจฉริยะ" (ทันตแพทย์สม สุจีรา)
1
ชีวิตจะประสบความสำเร็จ
ถ้าเข้าใจระบบการคิด
และพัฒนาตนเองให้เหนือกว่า
ด้วยเทคนิคการคิดทั้ง 9 แบบ
ทันตแพทย์สม สุจีรา
1
📌(1.คิดนอกกรอบ)
☑️ 1.สัตว์ไม่มีความสามารถในการคิดนอกกรอบ มนุษย์เท่านั้นที่มีความสามารถนี้ แต่ว่ามีไม่เท่ากัน มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่กล้าคิดต่าง และคนส่วนนี้ คือ คนที่ประสบความสำเร็จ
1
☑️ 2.นายแพทย์เอ็ดเวิร์ด เดอ โบโน เป็นผู้ที่เริ่มการคิดนอกกรอบบอกว่า "มีไม่กี่ครั้งที่การคิดนอกกรอบจะสำเร็จ" ดังนั้น จงคิดไว้หลายๆ ทาง ถ้ามีเพียงครั้งเดียวที่สำเร็จ ผลของมันก็คุ้มค่าที่สุด
☑️ 3.ถ้าย้อนกลับไป 10 ปี ที่ผ่านมา จะพบว่าการที่คุณเป็นอย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และถ้าขณะนั้นความคิดของคุณเปลี่ยนไปเพียงนิด ทุกวันนี้ก็จะมีชีวิตที่ต่างออกไปมาก
☑️ 4.ถ้าการคิดนอกกรอบของเราสามารถจดลิขสิทธิ์ได้ ควรไปจดลิขสิทธิ์ให้เรียบร้อย ก่อนประกาศต่อสาธารณชน เพราะการลอกเลียนแบบ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
☑️ 5.ถ้าคุณต้องการโดดเด่นเป็นที่จดจำได้อย่างรวดเร็ว ต้องพยายามคิดนอกกรอบ แม้ว่าบางครั้ง การคิดแบบนั้นจะมีโอกาสล้มเหลวสูงกว่าปกติก็ตาม
☑️ 6.การคิดนอกกรอบต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน และทำอย่างไรก็ได้ เพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น
☑️ 7.การคิดนอกกรอบเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการคิดในกรอบช่วยพัฒนาไอคิว แต่การคิดนอกกรอบช่วยพัฒนาไอเดีย
📌(2.คิดเป็นภาพ)
☑️ 8.สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ คือ การรู้จักสร้างมโนภาพ เพราะเหตุการณ์ในอนาคตจะเกิดขึ้นตามภาพในใจ
1
☑️ 9.มนุษย์มีความฉลาดมากกว่าลิงชิมแปนซีและกอริลลา เพราะความสามารถในการคิดจินตนาการเป็นภาพ
☑️ 10.มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียว ที่สามารถเปลี่ยนโปรแกรมได้ตามใจปรารถนา เพียงแค่ใช้มโนภาพ
☑️ 11.สิ่งที่ทำให้ในหมู่มนุษย์ด้วยกันฉลาดต่างกัน ก็คือ มีความสามารถในการสร้างภาพในใจได้ไม่เท่ากัน คนที่รู้จักจินตนาการ เวลาวางแผนจะมีภาพเกิดขึ้นในใจเสมอ
☑️ 12.ถ้อยคำมีหลายภาษา แต่ภาพมีเพียงภาษาเดียว เป็นภาษาสากลที่จิตใต้สำนึกเข้าใจ ทำให้พลังจิตสามารถผุดขึ้นมาช่วยได้
☑️ 13.การคิดเป็นภาพจะทำให้มองเห็นแบบองค์รวม เห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยง เช่นเดียวกับการดูแผนที่ ที่สามารถเข้าใจได้เร็วกว่าการอ่านข้อมูล
☑️ 14.ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตในทุกสาขาอาชีพ ล้วนมีพรสวรรค์ในการคิดเป็นภาพ แต่เนื่องจากการเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่มีใครออกมาอธิบายเคล็ดลับสู่ความสำเร็จของพวกเขา
☑️ 15.ภาพเป้าหมายของชีวิต ถ้าชัดเจนต่างกันเพียงนิด ก็จะทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ถ้าไม่รู้จักทำภาพให้ชัด อนาคตก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ
☑️ 16.งานวิจัยพบว่า ภาพในจินตนาการกับภาพประสบการณ์จริง ส่งผลต่อสมองเท่ากัน ขึ้นอยู่กับความรู้สึกและความชัดเจน ดังนั้น การฝึกจินตนาการจนภาพใกล้เคียงเหตุการณ์จริง จะให้ผลเท่ากัน
☑️ 17ภาพที่เกิดขึ้นจากจินตนาการขณะหลับตา สมองส่วนจิตใต้สำนึกจะเข้ามารับรู้และบันทึกไว้ ดังนั้น ขณะเรียนรู้สิ่งใดก็ตาม เมื่อถึงจุดสำคัญ ต้องหลับตาจินตนาการช่วยด้วยทุกครั้ง
☑️ 18.เคล็ดลับการสร้างภาพในใจ คือ ภาพในจินตนาการที่เคลื่อนไหว สามารถเข้าไปในจิตใต้สำนึก ได้ง่ายกว่าภาพนิ่ง ดังนั้น การจินตนาการภาพควรเป็นภาพเคลื่อนไหวเสมอ
☑️ 19.สติเป็นองค์ประกอบตัวหนึ่งของจิต ซึ่งมีในมนุษย์เท่านั้น สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่มีสติสัมปชัญญะ
☑️ 20.สมองส่วนที่ทำให้มีสมาธิ
กับสมองส่วนที่ทำให้เกิดสติ เป็นคนละส่วนกัน
☑️ 21.ภาวะของการมีสมาธิเกิดจากการทำงานของสมองส่วนกลาง แต่การเกิดสติเป็นการทำงานของสมองส่วนหน้า และสารเคมีในสมองก็ต่างกัน
☑️ 22.ความคิดมีความไวสูงกว่าสมาธิ สมาธิจึงจับความคิดไม่ทัน ต้องใช้สติ ถ้ากำลังสติสูงจะสามารถระลึกถึงสิ่งที่คิดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
☑️ 23.สติเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญต่อชัยชนะมากกว่าสมาธิ สติทำให้เกิดปัญญา กำลังอย่างเดียวจึงยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้
📌(3.คิดเชื่อมโยง)
☑️ 24.การคิดแบบเชื่อมโยงทำให้เกิดปัญญา ที่พุทธศาสนาเรียกว่า
ปฏิสัมภิทา 4 ได้แก่
1.ขยายความได้
2.สรุปความเป็น
3.อธิบายเป็น
4.เชื่อมโยงเป็น
1
☑️ 25."ขยายความได้" เช่น เพียงยกมาตรากฎหมายขึ้นมาหนึ่งมาตรา ก็สามารถอธิบายถึงหลักการ และคดีต่างๆ ที่สอดคล้องกับมาตรานั้น และคิดขยายต่อยอดออกไปได้
☑️ 26."สรุปความเป็น" เช่น จำเลยให้การวกวนไปมา เมื่อฟังแล้วจับประเด็นได้ ก็รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน
เริ่มต้นอย่างไร
☑️ 27."อธิบายเป็น" คนที่เก่งแต่พูดไม่เป็น อธิบายไม่เป็น ก็ไม่มีประโยชน์ เปรียบเสมือนทนายที่ขยายความเก่ง แต่พูดให้ศาลเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่เกิดผล
☑️ 28."เชื่อมโยงเป็น" คือ สามารถสังเคราะห์ความรู้ที่มี ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ หรือสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้
☑️ 29.การคิดแบบเชื่อมโยง ทำให้เห็นความสัมพันธ์เป็นลูกโซ่ วิธีคิดนี้สามารถฝึกพัฒนาขึ้นได้ ทำให้เห็นองค์รวม ทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ
☑️ 30.การมองแบบองค์รวมจะเห็นการเชื่อมโยง เห็นเหตุและปัจจัย เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ที่คนอื่นมองไม่เห็น ทำให้สามารถคิดและตัดสินใจได้ ไม่เหมือนหรือก่อนคนอื่น
☑️ 31.การเปรียบเทียบ เป็นวิธีการสอนที่ใช้กันมาก ในหลักสูตรการศึกษาตะวันตก เพราะทำให้การเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ใช้การเปรียบเทียบ ในการอธิบายเป็นหลัก
☑️ 32.สํานวนสุภาษิตต่างๆ ก็เป็นการเชื่อมโยงอย่างหนึ่ง ซึ่งความหมายของคำ เป็นการเปรียบเทียบ ที่มีประโยชน์ ที่ทำให้เห็นความใกล้เคียง
☑️ 33.คำย่อ คือ การเชื่อมโยงใจความสำคัญกับตัวอักษรย่อ ทำให้สามารถมองเห็นองค์รวมทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว
📌(4.คิดย้อนกลับ)
☑️ 34.การคิดจากใหญ่ไปหาย่อย หรือที่เรียกกันว่า คิดแบบ "นิรนัย" เป็นการคิดแบบเอาผลลัพธ์ ข้อสรุป หรือสิ่งที่เกิดขึ้นมา คิดย้อนกลับไปหาเหตุปัจจัยที่นำไปสู่ผลนั้น
1
☑️ 35.ส่วนการคิดแบบ "อุปนัย" คือ การคิดจากย่อยไปหาใหญ่ เป็นการวิเคราะห์เหตุย่อยๆ จากการสำรวจ ทดลอง คำนวณ ฯลฯ แล้วนำไปสู่ข้อสรุป หรือองค์ความรู้ใหม่
☑️ 36.การคิดย้อนกลับจากความสำเร็จเพื่อหาเหตุปัจจัย ง่ายกว่าการคิดหาเหตุปัจจัยเพื่อไปสู่ความสำเร็จ
ยิ่งหารายละเอียดของผลลัพธ์ได้มากเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น
☑️ 37.คำว่า "ทำไม" เป็นคำสำคัญในการคิด เมื่อเกิดคำถาม แรงบันดาลใจในการหาคำตอบก็จะตามมาเอง แรงนี้มีพลังสูงมากและส่งผลต่อการเรียนรู้ทุกชนิด
☑️ 38.ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า "ความฉลาดไม่ใช่ความสามารถในการเก็บข้อมูล แต่คือ การรู้ว่าจะไปหาข้อมูลเหล่านั้นได้ที่ไหน"
☑️ 39.What Where When Who Why How 6 คำนี้หากเกิดขึ้นกับใคร จะเกิดการเรียนรู้ที่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง นั่นคือ เกิดอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ใคร ทำไมและอย่างไร
☑️ 40.หลักอริยสัจ 4 ของพระพุทธเจ้า เริ่มจากการดูที่ผล คือ "ทุกข์" ก่อน แล้ววิเคราะห์หา "สมุทัย" (เหตุแห่งทุกข์) และมาดูที่ผล คือ "นิโรธ" (ความดับทุกข์) แล้วจึงวิเคราะห์หา "มรรค" (วิธีพ้นทุกข์) นั่นเอง
☑️ 41.การคิดย้อนกลับจากผลมาหาเหตุนั้น เมื่อพบสาเหตุแล้ว ก็ยังต้องทดลองอีกครั้ง จากเหตุนั้นไปหาผล เพื่อยืนยันความถูกต้อง
📌(5.คิดสร้างสรรค์)
☑️ 42.สิ่งที่จะทำให้คนแตกต่างกันนั้นแต่นี้ไป คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล และนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งต้องมีพื้นฐานมาจากความเข้าใจ จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
1
☑️ 43.จินตนาการเป็นต้นกำเนิดของความคิดสร้างสรรค์ ขณะจินตนาการ สมองจะสร้างโครงข่ายใยประสาทในเรื่องนั้นมากกว่าปกติหลายเท่า
☑️ 44.การที่จะทำอะไรใหม่ๆ ได้ ต้องศึกษาฝึกฝนทำสิ่งเก่าๆ ให้ได้ดีเสียก่อน จึงจะสามารถเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ เพื่อต่อยอดเป็นสิ่งใหม่ได้
☑️ 45.การเรียนรู้ความคิดของคนอื่น แล้วนำมาสร้างสรรค์ต่อ เป็นวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลก ก็ล้วนมาจากการต่อยอดทั้งสิ้น
☑️ 46.ถ้าลูกศิษย์ไม่รู้จักคิดต่อยอดจากความรู้ที่ได้รับ โลกก็จะไม่มีการพัฒนา คนที่ขยันทำแต่ไม่ขยันคิด
ยากที่จะประสบความสำเร็จ
☑️ 47.ไอคิวเกิดจากสมองซีกซ้าย ส่วนไอเดียเกิดจากสมองซีกขวา เมื่อมีไอเดียแล้วต้องรีบลงมือทำ เพื่อให้ภาพในจินตนาการออกมาเป็นรูปประธรรม
☑️ 48.ถ้าหากปล่อยให้ไอเดียอยู่แต่ในสมอง มันจะหยุดอยู่แค่นั้น จินตนาการที่ขาดการลงมือทำ คือ ความฟุ้งซ่าน
☑️ 49.ไอคิวมีผลกับความสำเร็จของชีวิตเพียง 25% เท่านั้นและไอคิวของคนเราส่วนใหญ่แล้ว พัฒนาเพิ่มไม่ได้ แต่ไอเดียสามารถพัฒนาได้ตลอดชีวิต
☑️ 50.การคิดบวกจะทำให้มองเห็นศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่ มองเห็นโอกาสมากมาย และมีทางเลือกให้ทำได้มากกว่าหนึ่ง เพราะเห็นความเป็นไปได้ในทุกๆ ทางนั่นเอง
☑️ 51.คนคิดบวกมองเห็นโอกาสในอุปสรรค แต่คนคิดลบมองเห็นอุปสรรคแม้จะมีโอกาส
📌(6.คิดล่วงหน้า)
☑️ 52.การเคารพสิทธิในการมาก่อนอยู่ในสัญชาตญาณของมนุษย์ จนกลายมาเป็นกฎหมาย คนที่มาก่อนจะได้เปรียบทุกเรื่อง ดังนั้น คนที่คาดหมายอนาคตได้ก่อนย่อมได้เปรียบมาก
1
☑️ 53.การคิดล่วงหน้าถึงอนาคต สามารถทำให้ร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ต้องไปแย่งกับใคร เพราะขณะที่เราต้องการ คนอื่นยังไม่ต้องการ จึงควรฝึกไว้โดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆ
☑️ 54.คนรวยไม่ใช่เพราะโชคดี แต่เพราะมองได้ไกลกว่าคนอื่น และฉวยจังหวะนั้นมาเป็นของตัวเอง นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จบอกตรงกันว่า การมองเห็นโอกาสก่อนคนอื่น คือ จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุด
☑️ 55."ทฤษฎีไร้ระเบียบ" บอกไว้ว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติที่เราคิดว่ามันยุ่งเหยิง ไม่มีระเบียบ แท้จริงแล้วมันแฝงไปด้วยความเป็นระเบียบ ถ้าเราเข้าถึงความเป็นระเบียบนั้นได้ เราก็จะคาดการณ์อนาคตได้
1
☑️ 56.ปัจจุบันโลกเข้าสู่มิติที่สี่ หลังจากที่ไอสไตน์ค้นพบความลับของแสง เราสื่อสารกันด้วยความเร็วแสง ค้นหาข้อมูลด้วยความเร็วแสง ดังนั้น คนที่คิดช้าย่อมเสียเปรียบ
☑️ 57.อีกไม่เกิน 10 ปี ข้างหน้านี้ คอมพิวเตอร์จะช่วยคาดหมายอนาคตได้มาก แม้แต่เรื่องความรู้สึก และคาดหมายสิ่งที่คุณต้องการในอนาคตได้
1
☑️ 58.ความน่าจะเป็น คือ ค่าที่ใช้ประเมินสถานการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยพิจารณาว่า เมื่อถึงเวลาเกิดเหตุการณ์แล้วจะเกิดในลักษณะใด มีโอกาสที่จะเกิดมากน้อยเพียงใด
☑️ 59.วิสัยทัศน์ คือ การเห็นภาพแห่งความสำเร็จในอนาคตชัดเจน ส่วนทัศนคติ คือ ความรู้สึกระหว่างที่ดำเนินการเพื่อไปสู่ความสำเร็จ ผู้นำที่เก่งต้องมีวิสัยทัศน์ชัดเจนและมีทัศนคติที่ดี
☑️ 60.ในกรณีที่ภาพแห่งความสำเร็จยังไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ก็ต้องรู้จักวางเป้าหมาย เพราะจะทำให้การวางแผนเป็นไปในกรอบที่ถูกต้อง ไม่ออกนอกเส้นทาง
☑️ 61.เราควรกำหนดเป้าหมายแห่งความสำเร็จเป็นขั้นๆ ภาพแห่งความสำเร็จจะชัดขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละขั้นที่ผ่านไป
☑️ 62.จิตใต้สำนึกนี้ลึกลับและซับซ้อน มีพลังซ่อนอยู่มากมาย จิตใต้สำนึกเปรียบเสมือนเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ ที่มีศักยภาพในการประมวลผล สูงกว่าจิตสำนึกเป็นหมื่นเป็นล้านเท่า
☑️ 63.จึงเป็นไปได้ที่จิตใต้สำนึก อาจจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ แล้วนำมาประมวลผล แสดงออกมาในรูปของความฝัน
📌(7.คิดวิเคราะห์)
☑️ 64.ในการคิดวิเคราะห์ต้องแยกเหตุและผลให้ชัดเจน มิฉะนั้นจะหาข้อสรุปไม่ได้ ต้องแยกให้ออกว่า สิ่งใดเป็นเหตุ สิ่งใดเป็นผล การวิเคราะห์เหตุและผลผิด จะทำให้แก้ปัญหาไม่ตรงจุด
1
☑️ 65.การประชุมเป็นการระดมพลังสมองและช่วยเสริมความคิดซึ่งกันและกัน เพื่อวิเคราะห์หาปัจจัยย่อย ที่เป็นองค์ประกอบไปสู่ความสำเร็จ
☑️ 66.ความสงสัยจะทำให้เกิดการคิดวิเคราะห์ตามมา จงพยายามเป็นคนช่างคิด ช่างสงสัย อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ และหมั่นตั้งคำถามอยู่เสมอ ทั้งนี้ต้องสงสัยในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญด้วย
☑️ 67.ผู้ที่มีปัญญาจะสามารถแยกความแตกต่างของธรรมชาติ 2 อย่างออกจากกันได้ คือ เห็นรูปธรรมเป็นลักษณะธรรมชาติอย่างหนึ่ง และเห็นนามธรรมเป็นธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง
☑️ 68.วิธีคิดแบบอัจฉริยะต้องมองไปที่นามธรรม เพราะรูปธรรมใครๆ ก็มองเห็นได้ เช่น ในภาพวาดของปีกัสโซ0มีราคานับพันล้านบาท เพราะมีนามธรรมซ่อนอยู่ในนั้นมากมาย
☑️ 69.ความสุขที่ได้จากรูปธรรม เช่น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส คือ เป็นความสุขแบบหยาบๆ ความสุขจากนามธรรม เป็นความสุขที่ละเอียดกว่ากัน เช่น ความรัก ความสงบ ความอบอุ่นใจ
📌(8.คิดด้วยสติ)
☑️ 70.การมีสติ การรู้ตัว เป็นสิ่งสำคัญมากต่อประสิทธิภาพในการคิด เพราะสภาวะนี้ทำให้สารเคมีในสมองหลั่งออกมามาก และช่วยทำให้แขนงใยประสาทเจริญเติบโต
1
☑️ 71.โดพามีน คือ สารที่กระตุ้นให้เกิดการแตกแขนงของร่างแหใยประสาท และเป็นสารเคมีที่ทำให้เฉลียวฉลาด สมองตื่นตัว มีพลัง กระฉับกระเฉง ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ
☑️ 72.สติ คือ ความรู้ตัว หรือความรู้สึกตัว ส่วนสัมปชัญญะ คือ ความระลึกได้ แต่สมาธิ คือ การมีใจจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรืออารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง
☑️ 73.พลังสมาธิจะช่วยควบคุมทิศทางของความคิด ปกติความคิดของคนเรา จะกระจัดกระจายไม่มีระเบียบ
☑️ 74.สมาธิช่วยให้เกิดความสุขแต่ไม่เกิดปัญญา สมาธิทำให้เอนดอร์ฟินหลั่ง ซึ่งสารตัวนี้ช่วยลดอาการเจ็บปวด และช่วยให้เยื่อหุ้มสมองหนาขึ้น
☑️ 75.การฝึกสติสามารถปฏิบัติในระหว่างวันได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน ระหว่างยืน เดิน นั่ง นอน
ก็สามารถฝึกสติได้ การเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของร่างกายก็เป็นการฝึกสติ
☑️ 76.การใช้สติเฝ้าดูลมหายใจ ก็คือ การฝึกใช้สมองส่วนนอกควบคุมสมองส่วนอารมณ์ และสัญชาตญาณนั่นเอง
📌(9.โยนิโสมนสิการ)
☑️ 77.การคิดแบบโยนิโสมนสิการเป็นวิธีคิดที่มีลักษณะ 2 แบบ คือ
1.การคิดจากเหตุไปหาผล และ
2.การคิดจากผลไปหาเหตุ
ในอริยสัจ 4
1
☑️ 78."การคิดแบบความสัมพันธ์ต่อเนื่อง" คือ การมองเห็นความสัมพันธ์ ทำให้เข้าใจองค์ประกอบของเหตุทั้งหมด อันส่งผลให้เกิดในลักษณะต่อเนื่องเป็นทอดๆ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
☑️ 79."คิดเฉพาะหัวใจหลัก" คือ การคิดที่หัวใจหลัก ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงกว่า เมื่อพบต้นเหตุแล้วให้ขยายและวิเคราะห์อย่างละเอียด บางครั้งต้นเหตุนั้นอาจทำให้เกิดเหตุการณ์อื่นที่คล้ายกันได้
☑️ 80."มองว่าอะไรเป็นไปได้ หรืออะไรเป็นไปไม่ได้" คือ การคิดแบบความน่าจะเป็นตามหลักคณิตศาสตร์ ด้วยการคำนวณ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นวิธีคิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
☑️ 81."คิดแบบปัจจุบัน" เมื่อไหร่รู้ว่าปัจจุบัน คือ ของจริง ส่วนอดีตและอนาคตเป็นภาพลวงตา เมื่อนั้นพลังสติทั้งหมด จะมุ่งขยายปัจจุบันขณะจนเกิดปัญญา
☑️ 82.คนที่มีทักษะในการคิดจากผลไปหาเหตุ จะมองว่าปัญหา คือ ความท้าทายและสนุกกับการแก้ปัญหานั้น
☑️ 83.ถ้าพื้นไม่มีแรงเสียดทานเลย เราจะเคลื่อนที่ไม่ได้ ความก้าวหน้าก็คือ การรู้จักนำแรงเสียดทานนั้น มาส่งให้เราเปลี่ยนทิศทาง การเคลื่อนที่ไปในทางที่ดีขึ้น
☑️ 84.การถูกวิจารณ์เป็นเรื่องที่ดี และต้องแยกให้ออกระหว่าง คำวิจารณ์กับคำนินทา โดยไม่ต้องสนใจเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อใดที่มีคำวิจารณ์ที่มีประโยชน์ สิ่งนั้นทำให้เราเห็นปัญหาของตัวเองชัดขึ้น
☑️ 85."การคิดถึงสิ่งที่มายับยั้งตัดรอน" สิ่งที่มีมายับยั้งตัดรอนความสำเร็จมีมากมาย ทั้งสุรา ยาเสพติด ความโลภ ความโกรธ ฯลฯ ถ้าเรารู้จักหลีกเลี่ยง ย่อมเป็นหนทางที่เจริญกว่าแน่นอน
☑️ 86.ในทางพระพุทธศาสนา เบญจศีลหรือศีล 5 คือ การปิดทางไปสู่นรก ส่วนเบญจธรรมซึ่งเป็นธรรมคู่ขนานของเบญจศีล คือ ทางไปสู่สวรรค์
☑️ 87.ในการวางแผน แก้ปัญหา หรือตัดสินใจทำอะไร ถ้ายังมองเห็นองค์รวมไม่ชัดอย่าเพิ่งลงมือ เพราะการแก้ไขเฉพาะจุดเหมือนยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง และทำให้ปัญหายุ่งยากขึ้นไปอีก
☑️ 88."การคิดแบบรู้เท่าทัน" เมื่อหยั่งเห็นผลลัพธ์ย่อมรู้เท่าทัน เมื่อรู้เท่าทันสิ่งใด ให้คิดย้อนกลับเพื่อมาป้องกันปัญหา และสามารถแก้ไขได้ง่ายยิ่งขึ้น
☑️ 89.คำถามว่า "ทำไม" จะช่วยให้เกิดการคิดแบบรู้เท่าทัน เช่น ถามตัวเองว่า "ทำไมเราถึงใจร้อน" แสดงว่าเริ่มตระหนักในผลนั้นแล้ว จึงรู้เท่าทันความใจร้อน
☑️ 90.หลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้า คือ การรวบรวมวิธีคิดแบบรู้เท่าทันแบบรอบด้าน ว่าอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ โดยเฉพาะในโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร ใครเชื่อง่ายก็มีโอกาสถูกหลอกลวงสูง
1
-หนังสือเรื่อง : คิดแบบอัจฉริยะ
-ผู้เขียน : ทันตแพทย์สม สุจีรา
-จำนวน 174 หน้า
-ราคา 195 บาท
-แยกสีและพิมพ์ที่ : สายธุรกิจโรงพิมพ์ บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)
-จัดจำหน่ายโดย : บริษัทอมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์ จำกัด
-สรุปโดย : Inspiration Channel
-สามารถฟังคลิปเสียงได้ที่ 🗣️
https://youtu.be/Ux2C-SJxCSM
🙏ขอบคุณมากครับ
หนังสือ
พัฒนาตัวเอง
ข้อคิด
2 บันทึก
2
1
2
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย