Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Money Chat Thailand
•
ติดตาม
15 ม.ค. 2023 เวลา 12:49 • ธุรกิจ
BCP เทคโอเวอร์ ESSO ได้ของดี-ราคาถูก ปลดล็อกมูลค่าที่ซ่อนอยู่
เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2566 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในการเข้าซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ในสัดส่วน 65.99% พร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญที่เหลือทั้งหมดใน ESSO อีก 34.01% ของหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ ESSO ภายหลังจากที่ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้น
นายพิชัย ชุณหวชิร ประธานกรรมการ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยกับ Money Chat ว่า โครงสร้างเปลี่ยนไปตามที่หลายคนรับทราบ ในอนาคตข้างหน้าทุกคนจะไม่ใช้ฟอสซิล จะไปใช้พลังงานสะอาด หรือไฟฟ้า แต่จากการวิเคราะห์ของบริษัท การจะเปลี่ยนโครงสร้างพลังงาน ไม่ได้ใช้ระยะเวลาแค่ 3-5 ปี แต่ใช้เวลาอย่างน้อย 40 ปี
ทั้งนี้ บริษัทได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานว่าฟอสซิลจะอยู่ไปอีก 35-40 ปี เนื่องจากมองว่าในอีก 30 ปีข้างหน้า มนุษย์จะเพิ่มขึ้นเป็น 10,800 ล้านคน จากปัจจุบันอยู่ที่ 8,000 ล้านคน โดยเมื่อคนมีจำนวนมากขึ้น ทำให้มีการใช้พลังงานมากขึ้นไปด้วย
นอกจากนี้ การเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานไปใช้ไฟฟ้าต้องการหลายๆ อย่างมาประกอบกัน ได้แก่ 1.ความต้องการเทคโนโลยีที่ล้ำเลิศของแบตเตอรี่ 2.ต้องการความพร้อมในเชิงของนโยบายของแต่ละประเทศที่สนับสนุนแบตเตอรี่ หมายถึงการสร้างอินฟราสตรัคเจอร์ สร้างโครงข่ายทางการจ่ายไฟเพื่อรองรับ ซึ่งทุกอย่างต้องมีความพร้อม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีส่วนตรงนี้ คนขายรถไฟฟ้าก็จะลังเล
“น้ำมันนอกจากจะใช้แล้ว ในยุโรป หรือองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) น่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 10-15 ปีขึ้นไป และหลังจาก 10-15 ปี นับจากปี 2561 จะค่อยๆ อยู่กับที่และค่อยๆ ลง แต่ในภูมิภาคอื่น เช่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นโยบายมีความล่าช้า เพราะฉะนั้นบวกไปอีก 10-15 ปี ดังนั้นเราก็เห็นว่าการเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 35-40 ปี กว่าจะเลิกใช้กัน”
โดยสิ่งที่บริษัทเห็นบริษัทเห็นมี 2 ลักษณะ คือ 1.เชื้อเพลิงที่กำลังจะเลิกใช้ บริษัทยักษ์ใหญ่จะหยุดลงทุน และหันไปลงทุนทางอื่น จึงตัดแบ่งขายออกมาบางส่วน ทำให้เป็นโอกาสของ BCP ที่มีพอร์ตน้อยได้เข้าไปซื้อในราคาถูก
“ดีลครั้งนี้ เราได้รับผลประโยชน์ 2 อย่าง คือ ได้ Value ที่ค่อนข้างถูก ซึ่งถูกกว่าที่เราสร้างเอง และไม่มีการเพิ่ม แต่ได้กำไรจาก 2 โรงกลั่น ทำให้ ROE สูงขึ้น ดังนั้นการลงทุนที่อาศัยหนี้ที่ต่ำเพิ่มเป็นหนี้สูงในระดับที่รับได้อันนั้นคือเสน่ห์ของมัน ซึ่งเราอยู่ในลักษณะนั้น”
2.เมื่อไม่มีการลงทุนในแง่ของโรงกลั่น ทำให้ดีมานด์กับซัพพลายเข้าใกล้กันมาก ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ เช่น สงคราม ราคาก็จะพุ่งขึ้น เห็นได้ชัดจากสงครามยูเครน-รัสเซีย ดังนั้นบริษัทจึงหาโรงกลั่นเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน ก็จะตรงกับนโยบายหลักของบริษัท คือ บริษัทจะดำเนินการใน 2 สิ่งนี้ใน 40 ปีข้างหน้า คือ 1.เพิ่มประสิทธิภาพสิ่งที่มีอยู่ ได้แก่ โรงกลั่น และสถานีบริการให้มากที่สุด 2.เริ่มสร้างของที่จะมาทดแทน บริษัทจึงหันมาลงทุนใน Renewable และไบโอดีเซล
ที่ผ่านมาบริษัทจะเพิ่มปั๊มน้ำมันเท่าที่กำลังการกลั่นของ BCP รองรับได้ ดังนั้นการซื้อ ESSO เข้ามาในครั้งนี้ บริษัทจะได้โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เมื่อรวมกับของ BCP จะทำให้มีกำลังการกลั่นรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน ขึ้นมาเกือบเท่าอันดับ 1 อย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT
รวมไปถึงปั๊มน้ำมันกว่า 700 แห่ง เมื่อรวมกับปั๊มน้ำมัน BCP ทำให้ปั๊มน้ำมัน BCP เพิ่มเป็น 2,100 แห่ง จะขึ้นมาอยู่ในอันดับ 2 หรือ 3 แต่ส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) จะเพิ่มขึ้นอย่างมีสาระสำคัญ จากเดิมปั๊มน้ำมัน BCP อยู่ในอันดับที่ 3 ของประเทศ และมาร์เก็ตแชร์ไม่มากนัก
“ทันทีที่ได้มา เราคงเอาปั๊ม ESSO มาปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน เปลี่ยนโลโก้ หลังจากนั้นเพิ่มจำนวนปั๊มน้ำมันให้แมทช์กับกำลังการกลั่นของเรา”
สำหรับประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 1.เกิด Synergy กับสิ่งที่ BCP มีอยู่ 2.ใช้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางร่วมกัน ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงมาก
ขณะเดียวกัน จะเกิดการแข่งขันในด้านของมาร์เก็ตแชร์ และบริการ แต่จะไม่เกิดการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากราคาน้ำมันเป็นราคาตลาดโลก ดังนั้นไม่มีใครที่จะสามารถไปกำหนดราคาน้ำมันให้เบี่ยงเบนไปจากราคาตลาดโลกได้
ด้าน ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า ให้ความเห็นเกี่ยวกีบดีลดังกล่าวว่า BCP มีการขยายมาตลอดในส่วนของ Product Green ขณะที่ในส่วนของน้ำมันยังไม่อยากขยายมาก เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังลดลง หรือไม่เติบโตแล้ว เนื่องจากโลกกำลังจะเปลี่ยนไปเป็นใช้ไฟฟ้า แต่ยังตระหนักว่ามีความต้องการน้ำมันเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีขึ้นไป ซึ่งถ้าจะนำเงินไปขยายจริงๆ ด้วยราคาที่ค่อนข้างแพง ก็อาจจะไม่ค่อยคุ้มค่า
ส่วนปั๊มน้ำมัน ก็ไม่ได้ทำเงินมากนัก ดังนั้นจำนวนปั๊มน้ำมันที่มีอยู่ก็น่าจะเพียงพอ ถ้าเปิดเพิ่มไปชนกับคู่แข่งอาจจะไม่คุ้ม แต่รอบนี้เป็นจังหวะ เนื่องจาก ESSO ต้องการขาย ต้องการลดสัดส่วนตรงนี้ลง และไปทำอย่างอื่นแทน ซึ่งขายออกมาราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับไปทำเอง เพราะได้มาทั้งปั๊มน้ำมัน ที่ดิน และโรงกลั่น ด้วยเงินประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ซึ่ง BCP มีเงินสดเหลือปีละหลายหมื่นล้านบาท
2
“BCP ขยายไปทำอย่างอื่นจำนวนมาก เช่น ไบโอดีเซล พลังงานทดแทน เป็นต้น เนื่องจากคงมองว่าการขยายปั๊มน้ำมันไม่ใช่เมกะเทรนด์ และน้ำมันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นใช้ไฟฟ้า แบตเตอรี่ แต่ส่วนตัวมองว่าน้ำมันยังอยู่ได้ไปอีก 10 ปี”
โดยการเข้าซื้อในครั้งนี้ ทำให้ BCP ได้กิจการเกี่ยวกับการกลั่นและน้ำมันอีกเท่าตัว เป็นการขยายโดยที่ไม่ต้องเพิ่มทุน เพราะฉะนั้นกำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้นมาก และเกิด Synergy สามารถลดต้นทุนได้ รวมทั้งการขายก็จะดีขึ้น เพราะ BCP ขายรายย่อย ส่วน ESSO ขายเชิงพาณิชย์
“ที่ราคาหุ้นขึ้น เพราะคนไม่ได้ตระหนักว่าจริงๆ แล้ว BCP เป็นธุรกิจที่มีทรัพย์สมบัติเยอะมาก แต่ราคาหุ้นถูก แทบจะเป็น Asset Play ยังได้เลย Value ไม่มี ตลาดไม่ให้ Value เลย P/BV 0.68 เท่า ปันผลดี โดยเฉลี่ยปีละ 5-6% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) กว่า 40,000 ล้านบาท
ก่อนที่จะเกิดดีลนี้ที่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไป ค่อนข้างน้อย P/E 10 เท่า และยังมีการเติบโตจากอะไรต่างๆ เยอะ คนก็ไม่ให้ราคา พอเกิดดีลนี้ขึ้นมา คนก็เห็นว่า BCP มีเงินเยอะมาก เอาไปลงทุน คนเลยตระหนักว่าบริษัทนี้ถูกมาก สามารถจะขยายกิจการอีกเท่าตัวโดยไม่ต้องเพิ่มทุนทันที แต่ราคาหุ้นที่ขึ้นถือว่าขึ้นน้อย คนตื่นเต้นไปเอง เพราะว่าหุ้นตัวนี้ราคาไม่ได้ไปไหนมานานแล้ว”
ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า ดีลนี้เป็นดีลที่ซื้อได้ราคาถูก ซึ่งหากไปดูหลายๆ ดีลที่ผ่านมา ซื้อแพง แต่ดีลนี้ซื้อวันแรกก็ถูกแล้ว อนาคตก็ยิ่งถูก เนื่องจากเจ้าของอยากปล่อยเต็มที่ และไม่อยากจะเปลืองสมองกับธุรกิจเล็กๆ ในประเทศไทย โดยขายต่ำกว่าราคาตลาด ส่วนใหญ่ที่เห็นดีลแบบนี้บวกเข้าไป 30%
จากนั้นในระยะยาวก็หา Synergy ที่จะเพิ่มมูลค่า โดยมองว่าจากการ Synergy ลดต้นทุน จะทำให้ ESSO มีกำไรดีขึ้น จากที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า ESSO กำไรไม่ค่อยดี เพราะบริษัทแม่ในต่างประเทศไม่ต้องการพัฒนาอะไรมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ในระยะยาว 10 ปีขึ้นไป จะค่อยๆ ลดลง
ทั้งนี้ ดีลนี้ส่งผลดีต่อ BCP เพราะในอนาคตจะมีเครือข่ายที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไทย และที่ดินก็เป็นของ BCP สามารถขยายร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ สถานีขาร์จไฟฟ้า นอกจากนี้ ดีลนี้ยังทำให้ BCP ขึ้นมาเป็นรายใหญ่ จะเข้ามาเป็นคู่แข่งหลักกับ PTT
“Move นี้ เป็น Move ที่ดี ถือเป็นการเปิดตัวว่า BCP ใหญ่ มีของเยอะ แต่คนไม่เห็นเอง เป็นการปลดล็อกมูลค่าที่ซ่อนอยู่”
ขณะที่โมเดลธุรกิจที่อยู่รอดได้ แข็งแกร่ง และขึ้นมาเป็นผู้นำได้ในอุตสาหกรรมพลังงานนั้น บริษัทต้องปรับตัวไปสู่อนาคต เปลี่ยนเป็นไฟฟ้า แบตเตอรี่ แม้จะไม่ได้มาเร็วอย่างที่คิด
#moneychat #BCP #ESSO
น้ำมัน
หุ้น
ธุรกิจ
7 บันทึก
9
4
7
9
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย