ยังมีวิธีการที่คล้ายกันกับ Social Listening คือ ‘Social Monitoring’ โดยเป็นการติดตาม เฝ้าระวังผลกระทบของการกล่าวถึงองค์กรหรือแบรนด์โดยลูกค้าทั้งในแง่บวกและลบบน Social media ซึ่งทางองค์กรก็จะมีการดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าไว้ เช่น ข้อความตอบกลับ หรือคำแนะนำในการแก้ไข และจะติดตามเพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ มาปรับปรุงพัฒนาสินค้าและบริการหรือตัวองค์กรให้ดีขึ้น ซึ่งองค์กรก็จะใช้ทั้ง Social listening และ Social monitoring ควบคู่กันไป
ทว่า…เมื่อในฝั่งของรัฐบาลไทยนั้น นำทั้งวิธีการ Social listening และ Social monitoring มาใช้ กลับกลายเป็นว่า น้อยครั้งที่จะนำไปปรับปรุงและพัฒนานโยบายต่าง ๆ ให้ออกมาตรงกับความต้องการของประชาชน หรือมีเพียงกล่าวถึงในการประชุมสภา แต่แล้วก็ถูกปัดตกไปในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคือ การที่ประชาชนไม่ไว้วางใจในความเป็นส่วนตัวของตนเองในแพลตฟอร์มออนไลน์และโซเชียลมีเดียเพราะเกรงกลัวว่าจะมีการเฝ้าติดตามและจับตาดูความเคลื่อนไหวของตนจากภาครัฐ ทำให้ไม่สามารถแสดงความคิดอะไรเกี่ยวกับรัฐได้อย่างเต็มที่