19 ม.ค. 2023 เวลา 07:19 • ไอที & แก็ดเจ็ต

การออกแบบของ HTC VIVE XR Elite ที่อาจจะถูกนำไปเป็นมาตรฐานสำหรับ Headset ยุคใหม่

ช่วงปลายปีที่แล้ว HTC มีการปล่อยข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ มา 2-3 ครั้ง เกี่ยวกับ VR Headset รุ่นใหม่ที่จะออกวางจำหน่าย และในที่สุด วันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมาในงาน CES 2023 ก็ได้มีการประกาศเปิดตัว HTC VIVE XR Elite พร้อมเปิดรับ Pre Order ทันที
ผู้ที่ Pre Order จะได้รับของประมาณต้นเดือนมีนาคม
ด้วยคุณสมบัติของ Vive XR Elite ที่เป็นทั้ง VR และ AR ในตัว รวมถึงการตั้งราคาจำหน่ายอยู่ที่ 1,099 เหรียญ จึงถูกเปรียบให้เป็นคู่แข่งของ Meta Quest Pro ที่วางจำหน่ายไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา (Meta Quest Pro วางจำหน่ายในราคา 1,499 เหรียญ)
ถ้าจะเทียบกันในเรื่องของราคา โดยดูความสามารถและส่วนประกอบต่าง ๆ ถึงแม้ VIVE XR Elite จะราคาน้อยกว่าถึง 400 เหรียญ แต่ก็ไม่ถือว่า VIVE XR Elite ถูกกว่าเสียทีเดียว เพราะว่ามีหลาย ๆ อย่างที่ทำไม่ได้เท่ากับ Quest Pro เช่น ไม่สามารถทำ Face และ Eye Tracking ได้, มี RAM เพียง 128 GB เท่านั้น ในขณะที่ Quest Pro มี 256 GB หรือ Controller ที่เหมือนกับ Controller ของ VR ทั่วไป แต่ Controller ของ Meta Quest Pro มีความ Advance กว่า
แต่ว่าในบทความนี้ จะไม่ได้เน้นไปที่การเปรียบเทียบระหว่าง VIVE XR Elite กับ Quest Pro แต่จะพูดถึงการออกแบบที่น่าสนใจของ Vive XR Elite ซึ่งต่อยอดมาจาก HTC Vive Flow ใน 2 จุดคือ การทำให้ Headset เป็น Glass Mode และการมี Diopter
VR ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มี Pain Point หลายอย่าง เช่นมีขนาดขนาดใหญ่ น้ำหนักมาก Refresh Rate ต่ำ เป็นต้น ซึ่งในปี 2023 นี้ ถือว่าเป็นการขึ้นสู่ทศวรรษที่ 2 ของ VR จะพบว่าหลาย ๆ Pain point ได้ถูกแก้ไขหรือปรับปรุงให้ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น ขนาดของ Headset ที่เคยใหญ่ก็ลดลง ด้วยการเปลี่ยนผ่านจากการใช้ Fresnel Lens มาเป็น Pancake Lense จาก Refresh Rate ที่เมื่อก่อนอยู่ที่ 72 Hz ปัจจุบันขั้นต่ำอยู่ที่ 90 Hz แล้ว ทำให้ภาพที่ได้สบายตาขึ้นเยอะ
แต่ถึงแม้จะพยายามลดขนาดและน้ำหนักลงมาแล้ว การที่จะทำให้ VR Headset เข้าถึงและเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ได้ น้ำหนักที่ลงมาเหลือประมาณ 600 – 700 กรัม ก็ยังถือว่ามากอยู่สำหรับหลาย ๆ คน ดังนั้นถ้าอยากให้ VR/MR แพร่หลายกว่านี้ ก็ต้องแก้จุดนี้ให้ได้
เพื่อแก้ Pain Point ดังกล่าว HTC VIVE XR Elite จึงออกแบบ ให้ Headset ให้ทำงาน ได้ 2 Mode คือ
  • Stand Alone Mode คือคล้ายกับ VR Headset ทั่ว ๆ ไปที่มี Battery อยู่กับตัว Headset (แต่ Vive XR Elite ต่อยอดไปอีกขั้นด้วยการที่ Battery สามารถถอดออกจาก Headset ไป Charge ได้)
  • Glass Mode คือที่ไม่มี Battery อยู่กับ Headset แต่ตัวแสดงผลจะมี Port USB เพื่อรับไฟฟ้าผ่านสาย USB
จาก Spec น้ำหนักเมื่อรวมแบตอยู่ที่ 625 กรัม แต่ถ้าเป็น Glass Mode จะอยู่ที่ 273 กรัม
เดิมที่ กลุ่มผู้ใช้งาน VR Headset คือเกมเมอร์และเริ่มมีเอามาใช้เพื่อออกกำลังกันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหว ถึง Headset มีน้ำหนัก ก็จะไม่ค่อยรู้สึกมากนัก
แต่เมื่อ Headset ถูกพัฒนาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกำลังต่อยอดไปกลุ่มที่ใช้เพื่อความบันเทิงอย่างการดูซีรีย์ ดู Youtube ดูภาพยนต์ หรือแม้แต่กลุ่มคนทำงานที่ใช้เป็นตัวขยายหน้าจอ เป็น Monitor ที่ 2 ที่ 3 คนกลุ่มนี้ จะไม่ได้มีการเคลื่อนไหวในขณะใช้งาน ดังนั้น น้ำหนักขนาด 600 – 700 กรัม ก็ทำให้รู้สึกรำคาญ รู้สึกอึดอัดได้แล้ว
ดังนั้นสำหรับคนกลุ่มนี้ ที่นั่งใช้งานอยู่นิ่ง ๆ การปลดท่อนหลังออกเปลี่ยนเป็น Glass Mode และต่อสาย USB เพื่อรับไฟฟ้าจากคอมพิวเตอร์หรือจาก Power Bank จึงตอบโจทย์เป็นที่สุด (สามารถใส่แล้วนอนดู เสมือนนอนดูหนังจอ 300 นิ้วโดยไม่มีอะไรเกะกะบริเวณท้ายทอยได้แล้ว) เมื่อ Glass Mode ตอบโจทย์ขนาดนี้ คงจะเห็นคนใส่ Headset ในที่ทำงาน หรือในที่สาธารณะอย่างสนามบิน ร้านกาแฟ หรือรถไฟฟ้าในอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้
USB Port สำหรับรับไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ คอมพิวเตอร์หรือ Power Bank
สำหรับอีกฟังก์ชั่นที่ VIVE XR Elite ใส่เข้ามา และแตกต่าง จาก VR อื่น ๆ และถือว่าน่าสนใจมากคือ Diopter ซึ่งตัว Diopter อธิบายง่าย ๆ ก็คือตัวที่ใช้ปรับเพื่อช่วยเรื่องระยะสายตาสั้น สายตายาว
การปรับระยะสายตา7 ระดับ
ซึ่งใน VR ทั่ว ๆ ไป ปรกติจะมีการปรับเกี่ยวกับสายตาแค่เรื่อง IPD ซึ่งเป็นระยะห่าง ระหว่างดวงตา เป็นการปรับเพื่อรองรับขนาดของใบหน้าของคนที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ระยะ IPD จึงไม่เท่ากัน แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องสายตาสั้น สายตายาว
สำหรับ VR ก่อนหน้า คนที่ปรกติใส่แว่น คงจะทุลักทุเลระดับนึง ในการที่จะเล่น VR ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ก็มารู้สึกว้าวหน่อย ตอนที่ Quest Pro วางจำหน่าย เพราะว่า Quest Pro ออกแบบมา ให้สามารถใส่แว่นตาเล่นได้ แต่สำหรับ VIVE XR Elite ถือว่าออกแบบสูงไปอีกขั้น ด้วยการใส่ Diopter เข้าไป และปรับได้อิสระข้างซ้าย ข้างขวาแยกกัน
ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า HTC VIVE XR Elite นี้ จะประสบความสำเร็จขนาดไหน เพราะแค่ช่วงเริ่มต้นของทศวรรษที่สองของวงการนี้ ก็เริ่มเห็นความดุเดือดของวงการนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Pico4 ที่เลือกเปิดตัวตัดหน้า Quest Pro ไปเมื่อปลายปี, การมาของ PSVR2 ในเดือนหน้า และ Headset อีก 2-3 ตัวที่น่าสนใจที่โชว์ในงาน CES ที่กำลังจะทยอยเปิดตัว รวมถึงการมาของ Meta Quest 3 ในปีนี้อีก
ก็ได้แต่หวังว่า อย่างน้อย IDEA ดี ๆ ที่ HTC ใส่เข้ามาใน HTC VIVE XR Elite จะถูกต่อยอดให้วงการนี้ เจ๋งยิ่ง ๆ ขึ้นไป
โฆษณา