24 ม.ค. 2023 เวลา 13:14 • ไลฟ์สไตล์

ถ้าพูดถึงชื่อ อุดม แต้พานิช แน่นอนว่าน้อยคนที่จะไม่รู้จัก

เจ้าของ Stand Up Comedy ที่ได้รับการยอมรับ
ว่าประสบความสำเร็จที่สุดในประเทศไทย
การแสดงเดี่ยวบนเวทีที่มีผู้คนมากมายมานั่งฟังเป็นเวลายาวนานกว่า 3 ชม. โดยที่ไม่มีสสคริปต์ ไม่ใช่เรื่องปกติที่คนเราสามารถจะทำได้
แต่พี่โน้สไม่ใช่แค่ทำได้ เขายังสามารถทำมันได้อย่างยอดเยี่ยม
แถมยังประสบความสำเร็จในอาชีพนี้มาแล้วตลอดชีวิตของเขา
เพื่อนๆเคยสงสัยไหมว่าคนแบบนี้เขามีวิธีคิดและจัดการกับตัวเองอย่างไร จึงสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาได้
.
วันนี้ PickIdeas จะมาถอดบทเรียนที่ได้จากบทสัมภาษณ์ของพี่โน้ส
ว่าเขามีวิธีการคิดและจัดการกับชีวิตอย่างไรกว่าจะมาเป็นยืนเดี่ยวในตำนานที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในประเทศ
-
1.”การใส่ใจลงไปในสิ่งที่ทำ”
.
พี่โน้ส เป็นคนที่มีความเชื่อว่า "งานที่ไม่ได้ใส่ใจลงไป ไม่มีทางที่งานนั้นจะออกมาดี"
การใส่เทคนิค การใส่องค์ประกอบ หรือลูกเล่นอะไรก็แล้วแต่ในงาน เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สิ่งเหล่านี้จะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้
เราต้องมี “ใจ” ในสิ่งที่จะทำ เป็นอันดับแรก ต่อให้เราจะใส่ทุกอย่าง
หากไม่ใส่ใจ คนจะรับรู้ถึงมันได้
.
2.”กึ๋นและลูกตื๊อ”
.
กว่าจะมาเป็นโน้ส อุดม อย่างทุกวันนี้ได้
หลายคนคงรู้ว่าชีวิตในวัยเด็กของพี่โน้สเป็นคนที่มาจากฐานะยากจนมาก่อน แต่เราจะสังเกตุได้ว่า คนแบบพี่โน้ส เมื่อเชื่อในสิ่งไหน
จะมีความมุ่งมั่นและทุ่มเทเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ
ก่อนจะเข้าวงการ เขาเคยเป็นตัวประกอบมาก่อน แถมยังต้องคิดหาหนทางที่แปลกใหม่ในการพรีเซ็นต์ตัวเอง เพื่อให้เป็นที่จดจำ จนได้มาซึ่งโอกาส ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะพี่โน๊ส ต้องพยายามอย่างมาก เพื่อที่จะได้เป็นที่ยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นการคิดมุกสด การแต่งตัวประหลาดเพื่อให้เป็นที่ประทับใจ การไปคัดเลือกตัวแสดงประกอบและนั่งรอเพื่อกลับทีหลัง
เหล่านี้แสดงให้เห็นถึง กึ๋นและความตื๊อ เอาใจใส่ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ
เพื่อเพิ่มโอกาสของตัวเองขึ้นมา
อย่างที่เขาว่ากันว่า คนสำเร็จมักมีลูกบ้าของตนเอง พี่โน้สก็เป็นอีกคนที่แสดงลูกบ้าได้ตลอด เพราะการฝึกใช้กึ๋นจนชำนาญ ทำให้สามารถรับมือกับปัญหาและสถาการณ์ต่างๆบนเวทีได้ดี
.
3.”คนที่เป็นที่ยอมรับสูงสุด ก็มาจากคนที่ไม่มีใครยอมรับ”
.
คนที่สามารถสร้างเสียงหัวเราะและความประทับใจให้ผู้อื่นตั้งแต่แรกเห็น
ก็เคยมาจากคนที่โดนเรียกว่า “ไอ้ฝืด” มาก่อน
ย้อนความหลังไปเมื่อยุทธการขยับเหงือก พี่โน้ส ได้มีโอกาสเป็นพิธีกรร่วมกับพิธีกรดังรุ่นพี่ อย่าง พี่ตา พี่แหม่ม พี่ติ๊ก พี่เปิ้ล ซึ่งการที่พี่โน๊สเข้ามารุ่นหลัง ก็ทำให้มีการพยายามปรับตัวอย่างมาก เพื่อให้เข้ากับรายการ
ทั้งการตบมุก การแต่งตัว การทำให้ตนเองเป็นที่ยอมรับของฐานแฟนคลับในรายการ
พี่โน้ส เคยเปิดใจว่า ในบรรดาพิธีกรทั้งสี่คน เมื่อไปออกรายการ
ทุกคนจะได้รับเสียงกรี๊ดและปรบมือ แต่เมื่อตนออกไป เงียบกริบ
เคยเดินออกไปแล้วมีคนชี้หน้าเรียกว่า “ไอ้ฝืด”
ทำให้รู้สึกว่าได้รับความกดดันและรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นที่ยอมรับ
แต่ก็ฝ่าฟันและพยายามทุกอย่าง จนออกมาทำเดี่ยวของตนเอง
ทำให้เป็นที่รู้จักและยอมรับขึ้นมาได้ หากวันนั้นพี่โน้สถอดถอนใจไปเสียก่อน พวกเราคงไม่มีโอกาสได้ดูเดี่ยวอย่างวันนี้แน่
.
4.”โอกาสที่ดีก็จริง แต่หากคิดว่ามันไม่ใช่ ควรตัดใจแล้วเริ่มใหม่”
.
ตอนที่พี่โน้สได้ตัดสินใจออกจากรายการ ยุทธการขยับเหงือก
เพราะคิดว่าอยู่ตรงนั้นจนอิ่มตัวแล้ว รู้สึกว่ามีอะไรบางสิ่งที่ไช่
และอยากจะทำ ด้วยคำแนะนำจากคนที่นับถือสามคน แนะนำพี่โน้สว่า
“เธอเล่าเรื่องเก่งน่าจะไปทำ Stand up Comedy” คำตอกย้ำของคนทั้งสาม ทำให้พี่โน้สกลับไปศึกษาว่า อะไรคือ Stand up Comedy
เดี่ยวแรกของพี่โน้สเริ่มจากทุนที่ตัวเองมีทั้งหมด 4 แสน และทำออกมาไม่ได้กำไรด้วย แต่พี่โน้สกล่าวว่า “คุ้มค่า” ตรงที่ทำให้คนรู้ว่ายืนเดี่ยวคืออะไร จากนั้นก็มองเห็นภาพ เดี่ยว2 ของตนเอง และเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต
เพราะมีการขายรอบไปถึง 7 รอบ ทำให้ชีวิตของ โน้ส อุดม
ต้องทำเดี่ยวมาจนถึงทุกวันนี้
นั่นเพราะการเลือก ตัดสินใจ ทำในสิ่งที่ “ใช่” และเลือกที่จะทิ้ง โอกาสที่ไม่ใช่ อย่างไม่เสียดาย นับว่าเป็นสัญชาตญาณของความสำเร็จที่แม่นยำมากๆ
.
5.”ความสามารถต้องแสดงให้ถูกที่”
.
ในช่วงที่ทำเดี่ยวสำเร็จแล้ว พี่โน้สได้รับการจ้างไปยืนเดี่ยวในคลับดิสโก้แห่งหนึ่ง เป็นจุดที่ทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างมาก เพราะทุกคนที่มาในงานต้องการมา เต้น ไม่ใช่การฟังตลก ถึงขนาดโดนคนเมาพูดจาไม่รู้เรื่องข้างล่างเวที และมีความปั่นป่วนจนพี่โน้สต้องขอยุติการแสดง เพราะไม่สามารถควบคุมคนดูได้
บทเรียนชิ้นนี้ ทำให้พี่โน้ส ถึงกับเสียน้ำตาและได้รู้ว่า ถึงแม้ยืนเดี่ยวจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้เหมาะที่จะแสดงทุกที่
.
6.”ชื่อเสียงเป็นเพียงแค่ฉากที่ถูกเลื่อนผ่าน”
.
ช่วงที่พี่โน้สดังมากๆ ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็มีแต่คนมารายล้อม
แต่แน่นอนว่าการมีชื่อเสียง มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี แต่ไม่ดีจะถูกแพร่ได้เร็วกว่า
เมื่อเริ่มดัง คนจะทักว่า หยิ่ง เป็นสิ่งที่ต้องรับมือ
“เหมือนชีวิตถูกกำหนดโดยคนอื่น และรู้สึกว่าต้องวิ่งไปด้วยความเร็วเสมอ”
เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เมื่อเก่งแล้วจะหลงตัวเอง พี่โน้สเคยเปิดใจว่า ตนเอง เคยรับงานพิธีกรมาโดยม่ทำการบ้านอ่านสคริปต์ พอมาถึงหน้างานก็ไม่มีเวลา ทำให้รู้สึกแย่ต่อวิชาชีพของตนเอง
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้น เมื่อได้ออกไปเดินทางต่างประเทศ ทำให้ได้ไปในที่ๆคนไม่รู้จัก ไม่สนใจ ไม่มีสิทธิพิเศษ เป็นเพียงฝุ่น ทำให้รู้ว่า เราเก่งเฉพาะที่ของตนเอง เมื่อไปที่อื่น ไม่มีใครจะมาสนใจเรา
ทำให้ค้นพบสัจธรรมว่า “ชื่อเสียงเป็นเมือนเกมแข่งรถในห้าง ตัวเราอยู่ที่เดิม สิ่งที่เปลี่ยนคือฉาก ภาพเดิมๆบางทีก็หมุนซ้ำกลับมา เพียงแต่เราเข้าไปมีอารมณ์ร่วมกับมัน”
.
7.”รับมือกับความโหดร้ายของโลกใบนี้ด้วย สายตาของคอมเมเดี้ยน”
.
ในชีวิตที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของโน้ส อุดม ยามลงก็ลงสุดเช่นกัน
ถึงแม้จะทำรายได้จากการยืนเดี่ยวไปมากมาย ก็ยังถูกเพื่อนที่ไว้วางใจ โกง จนเกือบหมดตัว หลายต่อหลายนัก ถึงขนาดให้สัมภาษณ์ว่า เขาเองก็รู้สึก สมเพชตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่อง ความไว้วางใจ หรืออย่างการโดนขโมยขึ้นบ้านถึง 5 ครั้ง ทั้งโดนขโมยรถอีก
หากเป็นเราเอง ก็คงต้องรู้สึก เชี่ยอะไรนักหนากับชีวิตไม่ต่างกัน
เพราะนี้ถือไม่ใช่เรื่องปกติที่คนเราจะเจอ แต่ชายผู้นี้ก็รับมือด้วยการพยายาม “ให้อภัย และอโหสิกรรม” แม้กระทั่งกับคนที่ทำไม่ดีกับตนเอง แถมยังเล่าทุกอย่างออกมาได้กลายเรื่องสนุกเฉย
“เพราะสายตาของคอมเมเดี้ยน จะแตกต่างจากคนทั่วไป”
คือเจ็บจนไม่รู้จะเล่าออกมาอย่างไร ก็เล่าให้มันกลายเป็นเรื่องตลกไปละกัน เพราะไหงจะไปมัวแต่เสียใจก็ไม่รู้จะช่วยอะไรได้
เพราะเหตุนี้ เวลาที่เราเห็นเพื่อนที่ตลกเจอกับสถานการณ์ที่แย่ เราจะรู้สึกว่าทำไมเขาถึงสามารถตลกได้ในเรื่องแย่ๆ และอาจไม่เชื่อว่ามันเสียใจจริงๆ แต่มันก็ทำให้รู้ว่า ทุกคนเสียใจและเจ็บปวดเหมือนกัน แต่วิธีการมองของแต่ละคนต่างหาก ที่ไม่เหมือนกัน
หากเราฝึกใช้สายตาของคอมเมเดี้ยน บางเรื่องที่โหดร้ายก็อาจมีมุมที่สามารถหัวเราะกับมันได้ เพราะมันคือวิธีการที่จะทำให้เราก้าวผ่านไปข้างหน้าได้
.
8.”ความเชื่อดี จิตใจดี จะดึงดูดเรื่องที่ดี”
.
พี่โน้ส เป็นคนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่มีต่อศาสนาชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิบัติสมาธิ หรือการให้อภัย การปล่อยวาง และที่เห็นชัดที่สุดคือความกตัญญู
พี่โน้สเคยเล่าให้ฟังว่า “ตนเองเป็นคนที่เกลียดความยากจนมาก” เพราะเคยจนมากๆ ถึงเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนในตอนที่เป็นเด็ก และหนีจากบ้านไปเพราะความยากจน เมื่อกลับมาที่บ้านอีกครั้งก็เห็นว่าแม่ตัวเองแก่ลง จึงเกิดความรู้สึกว่า ตัวเองรู้สึกผิดที่หนีแม่ไป และอยากจะตอบแทนอะไรแม่ หรือกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จขึ้นมา
พลังของความเชื่อในสิ่งที่ดี ล้วนมีอยู่ในตัวทุกคน เพียงแต่สิ่งนั้นจะสำแดงเมื่อไหร่ สำหรับคนที่พ่อเสียต้องอาศัยอยู่กับแม่ตั้งแต่เด็ก ยากจน ต้องโดนโกงหลายครั้ง โดนคนไม่ยอมรับในความสามารถของตนเอง นับว่าเป็นเรื่องยากลำบากที่ชีวิตคนๆหนึ่งจะสามารถรับได้ หากคิดผิดพลาดไป ความสำเร็จที่สร้างขึ้นก็สามารถหายไปได้
แต่พี่โน้สมักจะพูดเสมอว่า “เชื่อในกฎของกรรม” บางทีสิ่งนี้เราอาจไปทำเขามา เขาจึงมาทำคืน ก็เลยอโหสิกรรมได้ เพราะการจะทำเดี่ยวต้องทำด้วยจิตใจที่ผ่องแผ้วนพคุณจึงจะทำออกมาได้ดี ฉะนั้นการโกรธแค้นไม่สามารถทำอะไรได้ดี
บางทีเราไม่สามารถรู้ได้ว่าบางสิ่งเกิดขึ้นกับเรานั้นเพราะอะไร แต่กลยุทธ์ วิธีการคิดไหนที่ทำให้เราสบายใจแล้วสามารถใช้ชีวิตด้วยพลังบวกได้ เราก็ควรเลือกความเชื่อนั้น เพื่อผลักดันให้เราก้าวต่อไป
.
9.”ปัญหาที่ว่ายาก มีไว้ให้แก้ ก็แค่นั้น”
.
การที่ต้องยืนอย่างโดดเดี่ยวบนเวที หลายชั่วโมง เอาจริงๆแล้วก็เหมือนส่งทหารไปรบคนเดียว หากจิตใจไม่ตั้งมั่นหรือเด็ดเดี่ยว คงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำแบบนั้นได้
การที่ต้องรับมือและต้องควบคุมคนมากมายบนเวทีแสดงสด หากพลาดไปครั้งเดียว จะเสียหลักไปทั้งหมด แต่มุมมองของพี่โน้สมักจะคิดว่า ตัวเองใหญ่กว่าสิ่งที่เผชิญเสมอ
การฝึกคิดว่าสิ่งที่รับมือนั้นเล็กนิดเดียว จะทำให้ตัวเราใหญ่และรู้สึกมีศักยภาพในการแก้ปัญหา ด้วยการฝึกฝนสิ่งนี้จนชำนาญ ไม่แปลกเลยที่การพูดของพี่โน้ส จะทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนร่ายมนตร์ เสกให้หัวเราะตอนไหนก็ต้องหัวเราะ ไม่มีความสั่นเทา หวาดกลัว หรือไม่มั่นใจในตัวเอง
บางทีการฝึกมองสิ่งตรงหน้าให้เป้นเรื่องเล็กน้อย อาจะทำให้เราพบมุมมองใหม่ๆในการใช้ชีวิต ปัญหามันก็แค่มีไว้แก้ แค่นั้น
.
10.”ชีวิตไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกอย่างคือการเรียนรู้”
.
ชีวิตเราไม่สามารถไปเชื่อคำพูดที่ว่า “น้ำขึ้นให้รีบตัก”
เพราะบางที เราก็ต้อง “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม”
คำสัมภาษณ์เมื่อสิบปีก่อนในรายการเจาะใจของพี่โน้ส
ทำให้เราได้ฉุกคิดว่า เราไม่ควรยึดติดกับอะไร เพียงแต่ต้องรับมือตามสถารการณ์ เพราะไม่มีใครรู้ว่า สูตรสำเร็จของชีวิตอยู่ตรงไหน
ไม่มีอะไรให้เราต้องยึดตามคำสอนไปตลอด
เราทำได้เพียงแก้ไขสสถานการณ์ไปเฉพาะหน้า
รับมือให้ดีที่สุดเท่าที่กำลังสติปัญญาจะมีก็เท่านั้น
เมื่อพีธีกรถามพี่โน้สว่า เรื่องแย่ๆมีมากแล้ว แล้วเรื่องดีๆในชีวิตล่ะคืออะไร?
พี่โน้สตอบว่าเป็นคำถามที่ดีมาก
“นี้แหละครับดีแล้ว หมายถึงการที่ยังมีคนมาดูเดี่ยว แค่นี้ก็ดีแล้ว การที่เราออกไปข้างนอกแล้วมีคนพร้อมที่จะยิ้มให้เราโดยที่ไม่รู้จักเลย แค่นี้ก็ดีแล้ว”
วิธีคิดแบบนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การที่มองเรื่องดีเจอในไม่ดี เป็นวิธีการเรียนรู้อย่างหนึ่งในชีวิต ชีวิตที่มีทุกข์มาก สุขมาก ของพี่โน้ส เขาทำได้เพียงประคองและตบๆให้มันพอดี “เพราะทุกอย่างคือการเรียนรู้”
“เราไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิต เราทำได้เพียงเรียนรู้ และจัดการกับความทุกข์ความสุขในชีวิต ตบๆให้มันพอดี เท่านั้นเอง”
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับบทความที่ PickIdeas นำมาฝากในวันนี้ หากเพื่อนๆคิดเห็นและรู้สึกอย่างไร สามารถแชร์ได้ในคอมเม้นต์ด้านล่างเลยนะคะ
#เดี่ยว13 #PickIdeas
โฆษณา