2 ก.พ. 2023 เวลา 02:56 • ความคิดเห็น
เมื่อมีชีวิต ก็ต้องมีกาย มีจิตมาอาศัย การที่จิตมาอาศัยกายมนุษย์ ก็เพราะเหตที่เราสะสมกรรมมา เคยกระทำ เคยใช้อารมณ์โลภโกรธหลง ด้วยกายวาจาใจ ไปเสาะแสวงหา หากิน หล่อเลี้ยงเรือนกาย ต้องมีการคล้องเวรกรรม มีอารมณ์พอใจไม่พอใจ เข้าเกิดขึ้นที่เรือนกาย อารมณ์นี้เป็นไฟแผดเผาเรือนกาย แผดเผาจิตที่อาศัยกายให้ร้อนรุ่ม หงุดหงิด
เกิดไปไฟลุกที่ตัวเอง ยังไม่พอ ..ยังไปจุดไฟให้คนุใกล้ชิด คนที่พบเห็นหูได้ยินเสียง ออกมาแผ่กรจัดกรจาย ด้วยคลื่นอารมณ์ที่เป็นไฟ ไปกระทบธาตุดินน้ำลมไฟ ของผู้อื่น มันก็เก็บเป็นไฟ เผาเรือนกายผู้อื่น เมื่อเราดับไฟ ที่ตัวเองไม่ได ดับอารมณ์ที่ตัวเองไม่ด้วย นั่นก็เหมือนเราไม่รู้จัก เมตตาจิตของตัวเราเอง ปล่อยให้ไฟมันแผดเผาทั้งเรือนกายและจิตของตน
เค้าจึงมีการสอนให้มีสติ..เรียบเรียง สิ่งที่เกิดในตน อะไรที่ไม่มีความสำคัญต่อจิต ..ก็ไม่ควรนำมายึดถือ สละมันทิ้งไป สละอะไรดีที่สุด ก็คือสละอารมณ์ ..การจะสละอารมณ์ได้ เราก็ต้องรู้จักจิตของตัวเราเอง แท้จริงนั้นมันไม่มีอะไร
แต่เพราะเรามีกาย มาอาศัยกาย ที่มีอารมณ์ ..เราก็หลงใหลยึดสิ่งต่างๆในเรือนกาย สิ่งที่ปรุงแต่งในเรือนกายเป็นของตน มีอารมณ์นำพาเข้าสู่จิตให้ยึดเอง ก็เลยแยกแยะไม่ได้ ว่านี่ เป็นกาย นี่อารมณ์ นี่เป็นจิตของตน จิตก็หลงใหลทำไปตามอารมณ์นึกคิด ..เมื่อมาอาศัยกายที่เป็นกองไฟ วิญญาณทั้งหก หูตาจมูกลิ้นกายใจ
ก็เป็นไฟ ..ไฟกามตัณหา ไฟภวตัณหา ไฟวิภวตัณหา มันลุกตลอด ไม่เคยดับมอดลงได้เลย เค้าจึงมีการแนะนำ ให้สร้างบุญกุศลบารมี ปฏิบัติธรรม ช่วยเหลือจิตของตน เมตตาตนกรุณาตน ในการสร้างบุญกุศลบารมี ให้จิตพ้นทุกข์ พ้นเวรกรรม หนีกรรม เพื่อจะได้ไม่ต้องเกิดมามีกาย
หากเราไม่สะสมการสร้างบุญกุศลบารมีไว้ ก็ยากที่จะช่วยเหลือจิตของตน เพรากายนี้เกิดมา กายต้องตาย จิตก็ต้องเดินทางออกจากกาย ไปหาสถานที่อยใหม่ ได้กายสัตว์ ก็เสื้อผ้าชุดเดียว ใช้ไปจนตาย แล้วก็ใช้สังขารนั้นไปกระทำเรื่องราวดีๆไม่ได้เลย หากเราไปตกสภาพแบบนั้น ไปอยู่ในสังขารที่เป็นสัตว์ ก็ต้องกินนอนไปตามสัญชาตญาณของรูปนั้น
เมื่อได้กายมนุษย์มาทั่งที่ ก็ใช้ให้เป็นประโยชน์ กายนี้มีพระคุณ พระคุณบิดามารดาให้มา เราก็ระมัดระวังใช้กายในทางที่เกิดเป็นคุณ ยับยั้งอารมณ์ที่ไม่ดีทิ้งไป ให้กายนี้เป็นกายบุญ จิตเราอาศัยอยู่ในกายบุญ จิตก็จะร่มเย็นเป็นสุข
โฆษณา