2 ก.พ. 2023 เวลา 09:07 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

หนังจีนรวยแล้วเรียนลัด

หนังจากจีนแผ่นดินใหญ่พัฒนาตัวเองไปมากในช่วงสิบปีนี้ เพราะเมื่อก่อนหน้านี้เวลาพูดถึงหนังจากแผ่นดินใหญ่เรามักจะร้องยี้ นึกถึงหนังเชยๆ CG หลอกๆ แต่การพัฒนานี้มันมีเรื่องราวที่เป็นสตอรีให้เห็นว่าเพราะอะไรหนังจีนถึงก้าวไปเหมือนก้าวกระโดด เพราะนอกเหนือจากตลาดที่ใหญ่ สามารถเลี้ยงตนเองในประเทศได้แล้ว จุดสำคัญที่สุดคือบุคลากรทั้งฝ่ายบริหารและสตูดิโอคนทำหนังพัฒนาตนเองไปมาก โดยมีเงินจำนวนมหาศาลเป็นทัพหน้าในการเปลี่ยนแปลง
จากนโยบายที่จีนกำหนดโควต้าหนังต่างประเทศที่ให้เข้าฉายในจีนได้เพียงปีละ 34 เรื่องแต่ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้หนังที่มีการร่วมทุนสร้างของบริษัทต่างชาติกับจีนได้รับการยกเว้นจากโควตานี้ จึงทำให้ฮอลลีวูดดึงเม็ดเงินจากจีนเข้าไปลงทุนจำนวนมาก หวังว่าหนังที่เกิดจากการร่วมทุนจะกวาดเงินหยวนเข้ากระเป๋า
ในปี 2019 ยักษ์ใหญ่ในตลาดวิดีโอเกมและสื่อบันเทิงอย่าง Tencent Holding of China ได้ตัดสินใจตกลงร่วมทุนสร้าง Top Gun: Maverick กับ Skydance Studio ซึ่งเป็นเพียงข้อตกลงหลายสิบข้อตกลงระหว่างบริษัทจีนและสตูดิโอในฮอลลีวูดซึ่งมีมาตั้งแต่ช่วงปี 2010 เป็นต้นมา แต่ในที่สุด Tencent ก็ถอนตัวจากการลงทุนหลังผู้บริหารเริ่มกังวลว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจจะไม่พอใจกับการสนับสนุนหนังที่ยกย่องกองทัพสหรัฐอเมริกา
การตัดสินใจดังกล่าวทำให้ Tencent ต้องสูญเสียผลประโยชน์จากรายได้ที่ Top Gun: Maverick ทำได้ แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ใน Skydance แม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยก็ตาม
นี่เป็นเพียงข้อตกลงหนึ่งในจำนวนนับสิบข้อตกลงที่ทุนจีนสยายปีกเข้าไปในฮอลลีวูด ตั้งแต่ปี 2010 ทุนจีนสนุกสนานกับการเข้าร่วมทุนกิจการในฮอลลีวูด แล้วมันก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้คุณภาพของหนังจีนแผ่นดินใหญ่พัฒนารุดหน้าอย่างก้าวกระโดด
ในช่วงแรกมันเป็นความร่วมมือที่มองเห็นอนาคตทางการตลาดที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่าย เปิดให้สตูดิโอจากฮอลลีวูดสามารถสร้างตลาดใหม่ในประเทศจีนจากหนังที่ร่วมทุนสร้าง ในขณะเดียวกันบริษัทจีนก็ได้โอกาสในการเรียนรู้การสร้างหนังแบบสากลจนทำให้หนังในจีนแผ่นดินใหญ่พัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด และช่วยพัฒนาความเป็น Soft Power ของหนังจีนแผ่นดินใหญ่
โดย ในปี 2012 ทุนของจีนเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจสื่อและบันเทิงของสหรัฐอเมริกามากถึง 2.7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเงินสูงถึง 37% ของการลงทุนโดยตรงจากบริษัทจากจีนที่ร่วมลงทุนในสหรัฐฯของปีนั้น
เรียกว่าทุนจากจีนคือสึนามิเงินตราที่หลั่งไหลมายังฮอลลีวูด ซึ่งในช่วงแรกๆมันเป็นผลประโยชน์ที่ลงตัวกันจนการลงทุนสู่จุดสูงสุดในปี 2016 เมื่อบริษัทจีนเข้ามาลงทุนในสื่อและธุรกิจบันเทิงของสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์ จึงไม่แปลกอะไรที่หนังฮอลลีวูดจะมีโลโก้ของบริษัทอย่าง Tencent Alibaba Huayi Brothers ปะหน้าจนเราเห็นกันชินตา ขณะที่ Amblin ของสตีเว่น สปีลเบิร์กยังมีอาลีบาบาเข้าไปถือหุ้น แม้จะเป็นส่วนน้อยแต่ก็เคยนั่งอยู่ในบอร์ดบริหาร
เงินลงทุนของจีนในธุรกิจสื่อฮอลลีวูดนั้นส่วนใหญ่มาจากกลุ่มต้าเหลียนแวนดา(Dalian Wanda) ซึ่งเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบันเทิงจากจีนที่มีหวังเจียนหลินเป็นประธาน ซึ่งในปี 2012 นั้นเขาถึงกับประกาศว่าต้องการซื้อสตูดิโอของฮอลลีวูดมาบริหาร โดยพยายามซื้อพาราเมาท์แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และเป็นหนึ่งทุนจีนที่เข้าไปลงทุนในเครือข่ายโรงภาพยนตร์ AMC รวมไปถึง Legendary Pictures รวมทั้งร่วมทุนสร้างหนังกับยูนิเวอร์แซล
แต่ปัจจุบันภาพความหอมหวานของทุนจีนกับฮอลลีวูดมันเป็นภาพในอดีต เมื่อความตึงเครียดของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน โดยเฉพาะในยุคของโจ ไบเดนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ถึงกับมีการออกกฎหมายไม่ให้บริษัททางด้านเทคโนโลยีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางเข้าไปลงทุนหรือและเปลี่ยนเทคโนโลยีกับจีน ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มธุรกิจอื่นๆที่นอกเหนือจากเทคโนโลยีและชิปประมวลผลได้รับการจับตามอง และธุรกิจสื่อก็เป็นความเปราะบางที่รัฐบาลอเมริกันจะต้องกำหนดความเข้มข้นไม่ให้เกิดการร่วมทุนกันอย่างแน่นอน
การตอบโต้ของจีนโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงตอบโต้สงครามการค้าจากสหรัฐฯด้วยการเปลี่ยนจุดเน้นของประเทศที่มุ่งทางการค้าสากล มาสู่การส่งเสริมให้จีนสามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจให้ได้ รวมไปถึงในอุตสาหกรรมหนังด้วย เพราะตระหนักดีว่าอุตสาหกรรมบันเทิงสามารถสร้างพลังซอฟท์ เพาเวอร์ขึ้นมา
ในยุคที่จีนกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดทั้งการค้าและการเมืองระหว่างประเทศเช่นนี้ การเติบโตของธุรกิจบันเทิงในจีนภายใต้ยุคประธานาธิบดีสีนั้นเน้นการลดความพึ่งพิงระหว่างสหรัฐฯ-จีนให้น้อยลง และเพิ่มมุมมองชาตินิยมเพิ่มมากขึ้น มันเป็นเรื่องของการทำให้แน่ใจว่าผู้ชมชาวจีนในประเทศกำลังคิดแบบเดียวกัน จีนส่งเสริมหนังในลักษณะของการสร้างผลิตภัณฑ์ชาตินิยม ซึ่งมันก็ทำให้เห็นว่าจีนใช้พลังของหนังเป็นซอฟท์ เพาเวอร์ที่สร้างชาติขึ้นมา
จากในปี 2010 เป็นต้นมาที่พวกเขาเปิดประตูสู่การร่วมทุน เรียนรู้การทำหนังจากฮอลลีวูด เมื่อพวกเขามีความพร้อม หนังจีนก็ทำให้เห็นว่าฮอลลีวูดทำหนังอะไร หนังจีนก็ทำได้เช่นกัน ในปี 2017 จีนเปิดตัวหนัง Wolf Warriors 2 ซึ่งเป็นหนังสไตล์แรมโบ้แสดงแสนยานุภาพทางกองทัพของจีน ทำรายได้ทั่วโลกมากกว่า 850 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนั่นคือสารที่จีนส่งต่อไปยังฮอลลีวูดว่าตลาดจีนเข้มแข็งพอ และไม่จำเป็นต้องพึ่งฮอลลีวูดอีกต่อไป แล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นการเปลี่ยนธีมของหนังในจีนให้มุ่งเน้นความเป็นชาตินิยม
ทิศทางอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือท่ามกลางความขัดแย้งทางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมาก ขึ้นบวกกับการเมืองที่ตึงเครียดโดยเฉพาะช่องแคบไต้หวันที่จีนมีนโยบายชัดเจนแล้วว่าจะต้องเอาไต้หวันกลับคืนสู่อ้อมอกให้ได้ภายในยุคของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงนั้น ทำให้ธีมของหนังจีนเปลี่ยนไปกลายเป็นหนังรักชาติ และด้วยแนวคิดที่ว่าฮอลลีวูดสร้างหนังประเภทไหนได้จีนก็ทำได้เช่นกัน ได้นำมาสู่หนังแนวต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น The Wandering Earth หนังแนวไซไฟวิทยาศาสตร์ที่ทำเงินสูงถึง 700 ล้านดอลลาร์
ในบรรดาประเภทต่างๆในหนังที่ผลิตในจีนหนังแนวรักชาติได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญตามความขัดแย้งทางการเมืองและการค้าระหว่างตะวันตกกับตะวันออกผู้สร้างหนังชาวจีนได้สร้างงานรักชาติผสมผสานกับความบันเทิงเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็น The Battle at Lake Changjin ในปี 2021 ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯและช่วยเหลือเกาหลีเหนือแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของกองทัพอาสาสมัครประชาชนจีนในการต่อสู้ที่ทะเลสาบชางจิน
นอกจากนั้นยังมีหนังที่สร้างขึ้นมาเพื่อส่งเสริมและทีมชาตินิยมในวาระเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์หรือโอกาสครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่าง My People, My Country ซึ่งกลายเป็นหนังจีนเรื่องแรกที่ออกฉายพร้อมกันกว่า 10 ประเทศในยุโรป
ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาหนังจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีคุณภาพสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ในขณะที่จำนวนโรงหนังในจีนก็ผุดมากขึ้น สิ้นปี 2021 มีจำนวนจอฉายในจีนมากกว่า 82,000 จอ และยังสามารถขยายจำนวนจอฉายไปได้อีกมากจนแตะในระดับใกล้หนึ่งแสนจอทั่วประเทศในปีนี้ พร้อมทั้งผู้ชมที่เพิ่มมากขึ้นช่วยสร้างสถิติใหม่ในบ็อกซ์ออฟฟิศจีน
ตามรายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคมจาก China Central Television ที่รายงานสถานการณ์ตลาดหนังจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาคือนับตั้งแต่ปี 2012 ถึง 2021 ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่มีมูลค่าตลาดสะสมรวมสูงถึง 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์และภายในสิ้นเดือนกันยายน 2565 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 6.22 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ยังกลายเป็นตลาดหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อปี 2020 และต่อเนื่องมาถึงปี 2021 แต่มาเสียแชมป์ในปี 2022 เมื่อตลาดอเมริกาเหนือฟื้นคืนจากสภาวะโควิดและมีหนังทำเงินจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดจีนยังคงล็อกดาวน์ด้วยนโยบายโควิดเป็นศูนย์ จึงทำให้โรงหนังจำนวนมากยังไม่เปิดให้บริการ
ส่วนปี 2022 ที่เพิ่งผ่านไปบ็อกซ์ออฟฟิศของจีนมีรายได้รวม เพียง 4.21 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับตัวเลข 7.4 พันล้านดอลลาร์เมื่อปี 2021 ทำไว้ แต่สำหรับปี 2023 ที่ผ่อนคลายมากขึ้นจากมาตรการซีโร่โควิค ทำให้รายได้หนังจีนเฉพาะเดือนมกราคม 2023 มูลค่าขายตั๋วในจีนก็มากกว่า 1 พันล้านเหรียญแล้ว ซึ่งมาจากเทศกาลวันหยุดยาว ( 21-27ม.ค. 2023)ก็หนึ่งพันล้านเหรียญแล้ว
จีนใช้เวลา 10 ปี เรียนรู้การทำหนังและพัฒนาหนังตนเองจากฮอลลีวูด เป้าหมายแผนยุทธศาสตร์หนังจีนที่ประกาศออกมาเมื่อปลายปี 2021 ว่าจะผลักดันให้หนังจีนเป็นซอฟท์ เพาเวอร์ทรงอิทธิพล อาจจะเหมือนไกลตัว แต่ตอนนี้จีนยกระดับคุณภาพของงานที่มีตลาดใหญ่มหึมารองรับ แค่คิดว่ารัฐบาลปักกิ่งจะผลักหนังจีนไปได้ถึงไหนก็สนุกแล้ว
โฆษณา