5 ก.พ. 2023 เวลา 19:51 • ไลฟ์สไตล์

Nussara’s Diary ตอน ฤดูหนาวในอังกฤษ

ถึงประเทศไทยจะมี 3 ฤดูกาล ร้อน ฝน และหนาว แต่ในความรู้สึกแล้ว ไม่ว่าจะวันไหนๆ ก็ร้อนเหมือนกันทุกวัน จะมีวันที่ร้อนแบบร้อน ร้อนมากๆ ร้อนแล้วฝนตก ร้อนและมีลมพัด หรืออากาศหนาวๆ ช่วงเช้าและเย็น แต่ตอนกลางวันก็ร้อนอยู่ดี ใส่เสื้อผ้าได้เหมือนเดิมตลอดทั้งปี เลยไม่ได้รู้สึกถึงความแตกต่างเวลาฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไป
ที่อังกฤษเป็นประเทศที่อยู่ในเขตอบอุ่น มี 4 ฤดู Spring, Summer, Autumn และ Winter ฤดูหนาวจะเป็นช่วงเดือนธันวาคม ถึงกุมภาพันธ์ ของปี อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 0-5 องศาเซลเซียส อาจจะหนาวหรืออุ่นกว่าแล้วแต่ว่าลมพัดมาจากทิศทางไหน
Bottesford, Nottingham, England
อังกฤษเป็นเกาะ ถึงอากาศจะแปรปรวนง่าย ฝนตกบ่อย แต่การเปลี่ยนเปลงของฤดูกาลก็ชัดเจน อังกฤษเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตอบอุ่น ฤดูหนาวที่นี่จึงไม่ได้หนาวจัดมาก และก็ไม่ได้มีหิมะตกให้ได้เห็นทุกๆ ปีด้วย แต่ละครั้งที่มีหิมะตก ไม่นานหิมะก็จะละลายหายไป แอบเสียดายนิดนึง ได้แต่บอกตัวเอง ถ้าอยากดูหิมะขาวโพลนคงต้องไปประเทศอื่นสินะ อย่างเช่น ไอซ์แลน สวีเดน นอรเวย์ หรือแม้กระทั่ง สก๊อตแลนด์ใกล้ๆ กันก็ดูเหมือนจะมีหิมะมากกว่าเลย
อังกฤษก็คืออังกฤษ ยังมีเสน่ห์ในแบบที่เป็น มีทุ่งหญ้าเขียวให้ได้เห็นได้ทุกที่ ถึงแม้อากาศจะหนาวจนต้นไม้ส่วนมากไม่มีใบไม้หลงเหลืออยู่บนกิ่งก้านของมัน แต่อีกไม่นานอากาศก็จะอุ่นขึ้น ต้นไม้ก็จะเริ่มเขียวขจีอีกครั้ง
วันที่อากาศดี ผู้คนออกมาเดินเล่นที่ Belton House, Lincoln, England
อยู่ที่นี่มาเกือบ 10 ปี ได้เห็นหิมะปีละครั้ง สองครั้ง ถ้าปีไหนมีหิมะตกมากกว่า 2 ครั้งนี่คือเยอะมาก บางปีก็ไม่มีหิมะตกเลยด้วยซ้ำ แต่ฝนตกได้ตกดี ตกตลอดปีไม่มีหยุดซักฤดูกาล เวลามีหิมะตกที ไม่ใช่แค่เราที่เป็นคนไทยและมาจากประเทศที่ไม่มีหิมะตกจะตื่นเต้น คนอังกฤษเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน โดยเฉพาะเด็กๆ ดูจะตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ ถ้าหิมะตกเยอะหน่อย นั่นหมายถึง จะได้ออกไปเล่นหิมะข้างนอก แล้วหิมะขาวๆ ตัดกับกิ่งก้านของต้นไม้และอาคารบ้านเรือน มันสวยมาก แต่พอหิมะละลายมันก็ไปจะเลอะเทอะ ดูไม่สวยเท่าไหร่
อากาศดีของที่นี่คือวันที่แห้งไม่มีฝนตก ถึงแม้จะมีเมฆบ้าง แต่ถ้าไม่เปียกก็คือดีแล้ว คนอังกฤษพูดและบ่นถึงเรื่องดินฟ้าอากาศกันบ่อยจนเป็นเรื่องปกติ จะไปไหนๆ ก็ต้องเช็คสภาพอากาศกันล่วงหน้าก่อน เพื่อเตรียมเสื้อผ้าให้พร้อมก่อนออกเดินทาง หรือถ้าอากาศแย่มากก็อาจจะเลื่อนวันเดินทางออกไป
เดินเล่นที่ Belton House ในวันที่มีแดด สูดอากาศสดชื่นให้เต็มปอด
ช่วงฤดูหนาวถ้าวันไหนอากาศไม่ดี หมายถึงวันที่ฝนตก หิมะตก มีเมฆมาก หรือลมแรงมาก ก็จะอยู่ที่บ้านกัน ในบ้านก็จะมีฮีตเตอร์ให้ความอบอุ่น เตาผิงที่ใช้ฟืนแบบสมัยก่อนก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ในหลายๆ บ้าน โดยเฉพาะบ้านเก่าที่สร้างมานานแล้ว
เวลาได้ไปนั่งข้างเตาผิงในบ้านแบบสมัยก่อนที่สร้างมาเป็นร้อยปี มันทำให้จินตนาไปถึงสมัยก่อน ผู้คนแต่งตัวแบบไหนกันนะ จะเหมือนในซีรีส์ Downton Abbey หรือ Britgerton หรือซีรีย์ย้อนยุคมั๊ยนะ แล้วเค้าจะทำกิจกรรมอะไรกันบ้าง จะเหมือนหรือต่างจากทุกวันนี้ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะแยะมากมายยังไง
ต่อให้ข้างนอกอากาศหนาวเหน็บแค่ไหน แต่ในบ้านก็อุ่น เวลานั่งอยู่บนโซฟาแล้วห่มผ้านุ่มๆ จิบชาร้อนๆ แล้วมองไปรอบๆ จิตตนาการมันก็จะมีมาไม่รู้จบ
ต้นไม้ที่ยังคงเหลือใบไม้ และยังคงเขียวขจีในฤดูหนาว เรียกว่า Evergreen Trees
พ่อของสามีเคยเล่าให้ฟัง เมื่อก่อนเคยอยู่บ้านแบบ Farm House เป็นบ้านชนบทที่ไม่ได้ไกลจากที่ที่เราอาศัยอยู่ปัจจุบันเลย ยังขับรถผ่านบ้านหลังนั้นอยู่บ่อยๆ ด้วย บ้านที่พ่อสามีเคยอยู่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว แล้วก็อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ด้วย ตอนนั้นที่บ้านของพ่อสามีทำฟาร์มเลี้ยงวัวนม การเลี้ยงวัวเป็นงานหนักและไม่มีวันหยุด ทุกคนในบ้านก็จะมีหน้าที่ต้องทำแตกต่างกันไปตั้งแต่เช้าจนเย็น
ในบ้านจะมีเตาผิงไฟอยู่ตรงกลางบ้านเพื่อให้ความอบอุ่นกระจายไปทั่วบ้าน เตาผิงเป็นมากกว่าเตาผิงไฟให้ความอบอุ่นในช่วงที่อากาศหนาวเย็น แต่ยังทำอาหารบนเตาผิงไฟได้ด้วย และยังซักผ้า ตากผ้าบริเวณเตาผิงไฟ ผ้าจะได้แห้งเร็วขึ้น
ถ้าวันไหนไม่มีฝนตก คนที่นี่มักออกมาเดินเล่น รับอากาศเย็นๆ และสดชื่นนอกบ้านเสมอ ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน เราได้มาสัมผัส ได้พาเด็กๆ ออกมาเดินเล่น หรือบางทีเวลาที่เด็กๆ ไปโรงเรียน เราก็มักจะหาเวลารีชาร์จตัวเองด้วยการออกมาเดินเล่นนอกบ้าน บางทีแค่มีกาแฟร้อนๆ ซักแก้ว นั่งตามเก้าอี้ที่สวนสาธารณะแล้วมองผู้คนเดินผ่านไปมา ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้มาก มันเป็นสิ่งที่เราไม่คิดจะทำตอนที่อยู่ไทย เพราะที่ไทยอากาศร้อน แล้วยังมีมลพิษทางอากาศสูง การนั่งในห้องแอร์เย็นๆ หรือการออกไปเดินที่ห้าง ฟังดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
น้ำแข็กเกาะบนก้อนหิน ดูสวยดี
หากใครเคยมาอังกฤษ ถ้าลองสังเกตุจะเห็นว่าผนังบ้านหนา มีพื้นที่วางของตกแต่งได้สบาย โดยเฉพาะบ้านเก่าที่สร้างมาเป็นร้อยปี ตัวบ้านจะเล็กและแคบ ไม่สูงมากนัก อาจจะเพราะคนสมัยก่อนไม่ได้สูงมากเหมือนปัจจุบันหรือเปล่าอันนี้ก็ไม่แน่ใจ ผนังบ้านจะเป็นหินล้วนๆ แล้วหนามากๆ นอกจากเพื่อให้บ้านแข็งแรงแล้ว ยังทำให้ในบ้านอบอุ่นนานขึ้นอีกด้วย
พอนึกถึงอากศหนาวๆ ก็ต้องนึกถึงเครื่องดื่มร้อนๆ แน่นอนว่าอยู่อังกฤษ วัฒนธรรมการดื่มชาของคนอังกฤษ มีมาเนิ่นนานแล้ว สมัยก่อนการดื่มชาตอนบ่ายจะเป็นที่นิยมในชนชั้นสูงเท่านั้น ชุดกาน้ำชาก็จะเป็นถ้วยกระเบื้องหรูหราและสวยงาม แล้วยังมีขนมของว่าง และการแต่งกายแบบจัดเต็มทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
แต่ในปัจจุบันการดื่มชาที่บ้านในครอบครัว ก็ไม่ได้หรูหราเหมือนกับเมื่อก่อน มีแค่ชาร้อนๆ ในแก้วมัค กาแฟ หรือช็อคโกแล็ตร้อน จะเสิร์ฟพร้อมกับบิสกิต หรือแค่เครื่องดื่มร้อนอย่างเดียว แค่นี้ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นขึ้นแล้ว
บรรยากาศผู้คนออกมาเดินในช่วงคริสมาสในเมือง Nottingham
ไม่รู้ว่ามีใครเป็นเหมือนกันมั๊ย ช่วงฤดูหนาวเนี่ยจะมีความรู้สึกอยากอ่านหนังสือมากขึ้น มันอาจจะเป็นเพราะว่าไม่อยากออกนอกบ้าน นั่งหมกตัวอยู่บนโซฟาที่นั่งประจำและห่มผ้าอุ่นๆ พร้อมๆ กับการหยิบหนังสือซักเล่มขึ้นมาอ่าน เราชอบความรู้สึกนั้น เราสามารถนั่งอ่านหนังสือแบบนั้นได้ทั้งวันทั้งคืนเลย แต่ตอนนี้ในความเป็นจริงทำไม่ได้หรอก เพราะเมื่อไหร่ที่เด็กๆ กลับจากโรงเรียน ช่วงเวลาแห่งความสงบก็จะจบลงทันที
อุณหภูมิ -2 องศา ลูกสววเหยียบน้ำแข็งเล่น สนุกสนานเชียว
ในช่วงฤดูหนาวนอกจากอากาศที่แปรปรวนไม่ค่อยได้เจอแสงแดดแล้ว ยังมืดเร็วและสว่างช้าอีกด้วย 5 โมงเย็นก็มืดสนิทแล้ว 8 โมงเช้าบางทีก็ยังสลัวอยู่เลย ตอนอยู่ที่ไทย ต่อให้หลีกเลี่ยงแดดแค่ไหน ร่างกายก็ยังได้รับแสงแดดอยู่ดี ดีตรงที่ร่างกายไม่เคยขาดวิตามินดีเลย แต่พอมาอยู่อังกฤษ ช่วงฤดูหนาวปีแรก รู้สึกหดหู่ อารมณ์อ่อนไหวง่ายมาก เหนื่อย และเครียดง่าย อาการแบบนี้เรียกว่า Winter Blue หรือ Seasonal Affective Disorder (SAD)
ถ้าออกมานอกเมืองหน่อย ก็จะเห็นแกะ ม้า และวัว ได้ทั่วไป เด็กๆ ชอบมาก
เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าการได้รับแสงแดดน้อยนิดจะทำให้รู้สึกแย่ได้ขนาดนี้ การได้รับวิตามินดีที่เพียงพอเป็นอีกวิธีที่ช่วยบรรเทาให้ดีขึ้นได้ สำหรับเราแล้วมันช่วยบรรเทาได้มาก แต่ก็ไม่ได้หายไปเลย การพยายามพาตัวเองออกไปข้างนอกแม้วันที่ไม่มีแดด ไปสูดอากาศเย็นๆ นอกบ้าน ก็เป็นอีกทางที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้เช่นกัน
รูปนี้ถ่ายตอนเกือบ 9 โมงเช้า พระอาทิตย์ยังขึ้นไม่สูงมาก
เพราะว่ากลางวันมีแสงแดดน้อยในฤดูหนาว และมีแสงสว่างมากในฤดูร้อน ใน UK จึงมีการปรับเวลา 2 ครั้งต่อปี เพื่อให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น โดยปรับเพิ่ม 1 ชั่งโมง เวลาตี 1 ในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม เรียกว่า British Summer Time (BST) หรือ Daylight Saving Time และปรับลด 1 ชั่วโมง เวลาตี 2 ของวันอาทิตย์สุดท้ายในเดือนตุลาคม เรียกว่า Greenwich Mean Time (GMT)
มาถึงตรงนี้แล้ว เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอ่านจะได้อะไรจากบทความนี้ เราแค่อยากจะเขียน แล้วก็เป็นการเขียนตามอารมณ์และความรู้สึกล้วนๆ เลยด้วย อาจจะบวกกับประสบการณ์แล้วความรู้ที่มีอีกนิดหน่อย แค่นั้นจริงๆ เหมือนเล่าให้เพื่อนฟังประมาณนั้นเลย
ปลายฤดูหนาวจะมีดอก Snow Drop ขึ้น บ่งบอกว่า “Spring is coming.”
ด้วยรัก
nussara
โฆษณา