8 ก.พ. 2023 เวลา 10:13 • ท่องเที่ยว

ทมิฬนาดู (6) .. “พระขันธกุมาร” .. มหาเทพนักรบแห่งสวรรค์ของชาวฮินดู

เทวกำเนิดของ พระขันทกุมาร นั้น มีไม่มากเหมือนเทพเจ้าองค์อื่นๆ .. พระขันทกุมาร ในอินเดียเรียกพระขันทกุมารนี้ว่า สกันทะ (ผู้โลดเต้น ผู้ทำลาย) , กรรตติเกยะ (บางแห่งเขียนว่า การัตติเกยะ) อินเดียตอนใต้เรียก สุพราหมัณเย ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือมาก
ตามหมู่บ้านทั้งหลายในอินเดีย จึงนิยมตั้งศาลสักการะบูชาพระขันธกุมารกันแทบทุกหมู่บ้าน
พระขันธกุมาร (ขันทกุมาร) เป็นโอรสของ พระศิวะเทพ กับ พระนางปราวตี (พระแม่อุมา) เกิดจากน้ำเชื้อของพระศิวะมหาเทพ ที่ร่วงหล่มลงพื้นธรณี จนยากที่จะพิสูจน์ว่าพระพิฆเนศกับพระขันธกุมารใครเป็นพี่เป็นน้อง
กล่าวกันว่า พระขันทกุมารนี้เป็นหนุ่มรูปงาม มี 6 พักตร์ (บางแห่งวาดเป็นพระพักตร์เดียว) และมี 12 กร ผิวพรรณนั้นงดงามดั่งจันทร์คืนเพ็ญ แต่สง่างามดุจพระสุริยะเทพ
ทั้งนี้ แต่ละพระพักตร์เป็นตัวแทนถึง 1.ความฉลาด 2.พละกำลัง 3.ความร่ำรวย 4.ชื่อเสียง 5.ความเที่ยงธรรม และ 6.พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมีพาหนะคือนกยูง พระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพสวรรค์ เพื่อปกป้องสวรรค์จากการรังควาญของเหล่าอสูรร้าย
มีความเชื่อว่า ..ใครได้กราบไหว้และบูชาพระขันธกุมาร จะได้รับพรทั้ง 6 ประการ ทำให้พระองค์เป็นที่เคารพนับถืออย่างมากของชาวอินเดียตอนใต้โดยเฉพาะพวกทมิฬ
ภาพจาก Internet
การกำเนิดของพระขันทกุมารนั้นก็เพื่อปราบอสูรที่ชื่อ ตาระกาสูร ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นตรีปุระ อสูรตนนี้มีตบะแรงกล้ามาก สามารถบำเพ็ญฌานบารมีจนร้อนไปถึงพรหมโลก ทำให้จักรวาลสั่นสะเทือนโกลาหลไปหมด กษัตริย์อสูรตนนี้ไม่เกรงพระบารมีของมหาเทพผู้สร้าง (พระพรหม) คิดว่าตนเองก็เป็นหนึ่งเหมือนกัน
การบำเพ็ญฌานบารมีนั้นทำให้ พระพรหม ทนความร้อนไม่ไหว ต้องเสด็จมาประทานพรตามที่อสูรปรารถนา
เหตุที่บอกว่าอสูรตาระกามีตบะแรงกล้านั้น เพราะได้ทำสมาธิอย่างเข้มงวดเป็นเวลายาวนานกว่า 100 ปีสวรรค์ ทำให้พรที่อสูรตนนี้ขอไว้กับพระพรหมคือขอให้มีชีวิตเป็นอมตะ แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดในตรีภพเทียบได้ และไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้นอกเสียจากโอรสของพระศิวะเทพ ที่ขอพรไปเช่นนั้นเพราะล่วงรู้ว่าขณะนั้นพระศิวะกับพระแม่อุมาเทวียังไม่มีโอรสด้วยกันเลย
เมื่อตาระกาสูรได้รับพรจากพระพรหมแล้ว ก็เริ่มออกอาละวาดในจักรวาลทันที!! เริ่มต้นด้วยการยึดเอาวิมานและกวาดเอาทรัพย์สินของพระอินทร์ไปจนหมด บังคับให้พระฤาษีมอบ โคกามเกนุ ซึ่งเป็นโคที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถบันดาลให้เจ้าของได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
.. นอกจากนี้ยังเปลี่ยนกฎเกณฑ์ธรรมชาติจนวุ่นวายไปหมด เช่น บังคับให้พระอาทิตย์ดับแสงและไร้ซึ่งความร้อน บังคับให้พระจันทร์ลอยค้างอยู่บนท้องฟ้าตลอดเวลา บังคับลมให้พัดโหม หรือเปลี่ยนทิศทางได้ตามคำสั่งของอสูรตาระกา ยังผลให้โลกเดือดร้อนวุ่นวายมาก
ฝ่ายเทวดาทั้งหลายอันมี พระวิษณุเทพ เป็นใหญ่นั้น ได้เสด็จไปยังพระทวารที่ประทับชั้นในของพระศิวะเทพ และร่วมกันเปล่งคำสรรเสริญในพระบารมีแห่งมหาเทวะ คราวนั้นถึงกับทำให้พระศิวะต้องทรงผละพระวรกายปรากฎกายต่อเบื้องหน้าเทพทั้งหลาย พระองค์ทรงเห็นใบหน้าที่เศร้าหมองระทมทุกข์ของเทวดาจึงได้ถามว่าเพราะเหตุอันใด
ฝ่ายวิษณุเทพเล่าเรื่องราวของอสูรตาระกาว่าได้พรจากพระพรหมให้มีชีวิตอมตะไม่มีใครสังหารได้นอกจากโอรสของพระศิวะเท่านั้น ฝ่ายเทพทั้งหลายจึงรอการประสูติของโอรสแห่งพระศิวะอยู่นานนับพันปี จึงได้มาเข้าเฝ้าเพื่อขอพึ่งบารมี
ภาพจาก Internet
ครานั้น พระศิวะมหาเทพ ได้ทรงแบ่งน้ำเชื้อที่มีความร้อน เหมือนไฟแห่งการทำลายล้างออกมาหยดหนึ่งร่วงลงสู่พื้นดิน ด้วยความรีบร้อน พระอัคนี ได้รีบแปลงกายเป็นนกเขา กลืนเอาน้ำเชื้อนั้นเข้าไป ความร้อนแรงแห่งน้ำเชื้อนั้นทำให้พระอัคนีร้อนรนจนทนไม่ได้ พระศิวะแนะนำให้เอาน้ำเชื้อนั้นไปใส่ในครรภ์ของผู้หญิงแทน และต้องใส่ในครรภ์ของหญิงซึ่งได้อาบน้ำในวันแรกของเช้าตรู่เดือนมาฆะ
ในวันนั้น บรรดาภริยาของฤาษีทั้ง 7 ตนได้มาอาบน้ำ ปรากฎว่า ภริยาทั้ง 6 คน (เหลือเพียงคนเดียว) ที่ลงอาบน้ำนั้นถูกน้ำเชื้อที่นกเขาคายไว้ ซึมแทรกเข้าไปตามรูขุมขน นางทั้งหกจึงร้อนรนทุกข์ทรมานมาก
นางทั้งหกได้ถูกเหล่าฤาษีขับไล่ออกจากอาศรม จึงได้ตัดสินใจทำลายน้ำเชื้อที่เป็นตัวอ่อนทิ้ง ด้วยพลังแห่งโยคะที่เทือกเขาหิมาลัย เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความทรมาน ด้วยการเหวี่ยงตัวอ่อนลงไปที่แม่น้ำคงคา เช่นเดียวกับ พระแม่คงคา ที่ได้เหวี่ยงเอาตัวอ่อนนี้ขึ้นไปที่พงหญ้า เสมือนการชุบตัวจากแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้ปรากฎทารกน้อยขึ้นตนหนึ่งที่พงหญ้านั้น
พระพรหมทรงรู้ด้วยญาณว่า โอรสแห่งพระศิวะเทพได้ถือกำเนิดแล้ว จึงบัญชาให้พระฤาษีวิศวามิตรไปประกอบพิธีให้กับโอรสน้อยแห่งศิวะเทพ ทารกนี้พูดได้ตั้งแต่ยังแบเบาะว่า "ด้วยประสงค์ของพระศิวะเทพที่ส่งท่านมายังที่นี้ ขอให้ท่านฤาษีจงประกอบพิธีทางศาสนาเพื่อชำระร่างกายของข้า ให้บริสุทธิ์ตามกฎแห่งพระเวทที่วางไว้เถิด"
ข้างฝ่ายพระอัคนีที่เคยอุ้มน้ำเชื้อไว้ เมื่อสมัยจำแลงกายเป็นนกเขานั้น ได้เดินทางมายังที่แห่งนี้ด้วย และมอบคฑาศักดิ์สิทธิ์ถวายให้กับพระองค์ ทันทีที่ได้รับอาวุธ พระขันทกุมารก็เหาะขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เพื่อพิสูจน์พลังอำนาจแห่งตน ด้วยการใช้คฑานั้นฟาด จนภูเขาถล่มทลายลงในพริบตา ทันทีที่ยอดเขานั้นแยกออก ได้ปรากฎปิศาจ 10 โกฏิตนออกมาก แต่ก็ถูกพระองค์สังหารจนสิ้น
ต่อมา นางกฤตติกา (กลุ่มดาวทั้ง 6 ดวง) ได้ลงมาอาบน้ำ เห็นกุมารน้อยนอนอยู่ที่กอหญ้า ก็บังเกิดความรักใคร่ นำเอากุมารไปเลี้ยงดูในดินแดนของนางทั้งหก และเพื่อไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในหมู่แม่นมทั้งหลาย พระกุมารจึงได้แยกร่างออกเป็น 6 พระองค์ (บางตำนานบอกว่ามี 6 พระพักตร์ในร่างเดียว) ด้วยเหตุที่เป็นลูกที่รักยิ่งของนางการัตตี พระองค์จึงได้ชื่อว่้า พระการัตตีเกยะ (Kaitikeya)
ภาพจาก Internet
พระศิวะมหาเทพ พระอุมาเทวี พระขันทกุมาร
ขณะเดียวกันนั้น ได้เกิดเหตุประหลาดกับพระนางปารวตี (พระแม่อุมาเทวี) คือมีน้ำนมไหลออกจากเต้านมทั้งสองข้าง นางจึงได้ถามเรื่องน้ำเชื้อที่หล่นบนผืนดินกับพระศิวะ เพราะนางเข้าใจว่า เหตุที่น้ำนมของนางซึ่งไหลอยู่นี้ ชะรอยว่าโอรสจะถือกำเนิดแล้ว แต่อยู่ที่ผู้ใดหรือแห่งหนใดกันเล่า พระศิวะจึงมีโองการให้ผู้ครอบครองกุมารรีบเอามาคืนด่วน มิฉะนั้นจะรับโทษหนัก
พระศิวะเทพและพระอุมาเทวี จึงเริ่มตรวจสอบถามความจริงในหมู่เทพ เริ่มจากพระพรหม ติดตามความไล่หาจนมาถึงกลุ่มดาวทั้งหก
พระศิวะเทพยินดีมาก ที่นางทั้งหกได้ดูแลโอรสของพระองค์เป็นอย่างดี จึงส่งคณะเทพบริวารไปทูลเชิญกุมารกลับเขาไกรลาส
ในวันเสด็จกลับนั้น พระนางปราวตีได้จัดส่งราชรถที่สร้างโดยพระวิศวกรรมไปรับ โดยพระโอรสเสด็จกลับพร้อมกับนนทิเกศวร และพระแม่กฤตติกา เมื่อราชรถถึงเขาไกรลาส เทพเทวดาทุกชั้นฟ้าเสด็จมาอำนวยชัย ประโคมดนตรีเป่าสังข์ ต้อนรับกันอย่างเอิกเกริก มีการนำหม้อน้ำหลายร้อยใบที่บรรจุแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ มาชำระร่างกายให้กับกุมาร และเหล่าเทพได้มอบสิ่งของให้ดังนี้
...
พระวิษณุเทพ มอบมงกุฎและเครื่องประดับเพชรพลอย
พระศิวะเทพ พระบิดา มอบตรีศูล คันศร ลูกศร พินาค ขวาน ปาศุปัต
พระพรหมเทพ มอบด้ายสายสิญจน์ หม้อน้ำมัณฑลุ ลูกธนูพรหมศาสตร์และยุทธศาสตร์ในการทำลายศัตรู พร้อมด้วยมนต์คายตรี
พระอินทร์ มอบช้าง อสุนีบาต
พระวรุณ มอบภาชนะใส่น้ำอมฤต
ท้าวกุเบร (ท้าวกุเวร) มอบไม้อาญาสิทธิ์
กามเทพ มอบลูกธนูแห่งรักและปรารถนา
มหาสมุทรน้ำนม มอบเพชรพลอย กำไลข้อเท้า
พญาครุฑ มอบโอรส คือ พระจิตพรหัณ ให้รับใช้
พระอรุณ มอบไก่แจ้ตามรจูฑ
พระนางปารวตี หรือ พระแม่อุมาเทวี พระมารดา มอบพลังอำนาจ
พระลักษมี มอบทรัพย์สมบัติของล้ำค่า
พระสรัสวดี มอบสิทธิวิทยา ความรู้อันสูงสุดแห่งโยคะ
ไทปูซัม หรือ ไตป์ปูจัม (ทมิฬ: தைப்பூசம், Taippūcam, Thaipusam หรือ Thaipoosam) หรือ ไตป์ปูยัม (มลยาฬัม: തൈപ്പൂയം, Thaipooyam) .. จึงเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองในชาวทมิฬที่นับถือศาสนาฮินดู ในวันพระจันทร์เต็มดวงของเดือน "ไต" ตามปฏิทินทมิฬ ซึ่งมักตรงกันกับดาวปุษยะหรือ "ปูจัม" ในภาษาทมิฬ
เทศกาลเฉลิมฉลองวาระที่พระปารวตีประทานเวลหรือหอกอัศจรรย์ให้แก่พระขันธกุมาร เพื่อให้พระองค์ปราบอสูรจูรปัตมันและพวกพ้อง นอกจากนี้ยังเป็นที่เชื่อกันทั่วไปว่าไทปูซัมเป็นการเฉลิมฉลองวันเกิดของพระขันธกุมาร อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลบางส่วนเสนอว่าวันเกิดของพระขันธกุมารตรงกับวันวิขาสีวิศาขัม (Vaikhasi Vishakam) มากกว่า
Ref : https://www.siamganesh.com/sakanda.html และ Wikipedia
ภาพจาก Internet
ตำนานอื่นมีการกล่าวเอาไว้ว่า ...
ในช่วงเดือนมกราคมหรือกุมภาพันธ์ของทุกปีจะมีการจัด “เทศกาลไทปูซัม (Thaipusam Festival)” เพื่อรำลึกถึงวันที่ “พระขันธกุมาร” เสด็จออกจากถ้ำ ซึ่งจะมีมหาชนทั่วทุกสารทิศแห่มาร่วมพลังศรัทธากันแน่นขนัดเต็มพื้นที่วัดเลยทีเดียว และจะได้ชมพิธีการที่สวยงามอลังการมากมาย
อาทิ การทำพิธีบูชาและขอบพระคุณ โดยผู้เข้าร่วมพิธีจะร่วมแบก “กาวาดี” ซึ่งเป็นที่ประทับของพระขันธกุมาร ซึ่งจะออกแบบและตกแต่งด้วยดอกไม้และขนนกยูงอย่างงดงาม ผู้แบกจะร่ายรำระหว่างที่ทำพิธีกรรมสักการะบูชา แสดงความวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระขันธกุมาร
การเสด็จออกจากถ้ำนั้น มีตำนานระบุว่า เมื่อครั้ง “พระศิวะ” ประกาศจะให้คัมภีร์วิเศษแก่ลูกของท่านองค์ใดองค์หนึ่งที่สามารถเดินทางรอบจักรวาลได้ครบ 3 รอบก่อน “พระขันธกุมาร” มีพาหนะคือนกยูงรำแพนแสนสวย พอได้ฟังก็รีบกระโดดขึ้นพาหนะคู่ใจ แล้วทำการเหาะไปอย่างเร็วมากๆ ขณะที่ “พระพิฆเนศ” มีพาหนะหนูน้อยตัวเล็กไม่สามารถไปเหาะเหินเดินอากาศแข่งกับนกยูงของพระขันธกุมารได้
ดังนั้น “พระพิฆเนศ” เลยต้องใช้ปัญญาอันชาญฉลาดว่า พ่อและแม่ อันได้แก่ พระศิวะและพระแม่อุมาเทวีคือจักรวาลที่แท้จริงของลูก เมื่อคิดได้ดังนี้จึงไม่ได้ไปเหาะแข่งกับ “พระขันธกุมาร” แต่ใช้เดินวนรอบพ่อและแม่ 3 รอบ ซึ่งทำให้ได้ใจพ่อไปเต็มๆ จึงได้รับชัยชนะในการแข่งขันครั้งนี้ และได้รับมอบคัมภีร์สูงสุดจาก “พระศิวะ” รวมทั้งได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นเทพผู้พี่และได้รับการขนานนามเป็นเทพผู้ขจัดอุปสรรค
ขณะที่ “พระขันธกุมาร” เมื่อเหาะรอบโลกเสร็จแล้วกลับมาพบว่า “พระพิฆเนศ” ได้รับการประกาศชัยชนะไปแล้วก็ไม่พอใจ อีกทั้งโกรธ “พระศิวะ” และ “พระนางอุมาเทวี” เลยพาตัวเองไปจำศีลที่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ไม่ยอมออกมาพบใครอีกเลยนับเป็นพันๆ ปี
จนถึงวันหนึ่งมีเทพมาเชิญออกมาจากถ้ำเพื่อทำหน้าที่หัวหน้ากองทัพสวรรค์ไปปราบอสูรที่ชื่อ “ตาระกาสูร” ที่มีอิทธิฤทธิ์มากและรุกรานเทวดาอย่างหนัก ..
พระปารวตีประทานเวลหรือหอกอัศจรรย์ให้แก่พระขันธกุมาร เพื่อให้พระองค์ปราบ ตาระกาสูร และพวกพ้อง จึงเป็นที่มาของการขนานนาม “มหาเทพนักรบแห่งสวรรค์”
โฆษณา