9 ก.พ. 2023 เวลา 07:35 • หุ้น & เศรษฐกิจ

GULF หุ้นใหญ่กลุ่มโรงไฟฟ้าของไทย กำลังสร้างกำไรทำจุดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นหนึ่งในบริษัทโรงไฟฟ้ารายใหญ่ของประเทศไทยที่นักลงทุนเฝ้าจับตารอดูว่าจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/65 และผลประกอบการตลอดในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าตกเป็นผู้ต้องสงสัยมาตลอดว่าผลประกอบการจะออกมาในทิศทางที่ลดลงเพราะต้นทุนค่าก๊าซที่เพิ่มทุน
แต่อย่างไรก็ตามในมุมแนวโน้มผลประกอบการของ GULF นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด กลับให้มุมมองในปัจจัยพื้นฐานว่า GULF มีโอกาสที่กำไรในไตรมาส 4/65 จะสร้างประวัติศาสตร์ทำจุดสูงสุดตั้งแต่การก่อตั้งบริษัท โดยมีเหตุผลหลักมาจากรายการพิเศษ และกำไรปกติที่คาดจะเพิ่มขึ้น รวมถึงการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในไทย และธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ไทยและเยอรมนี
ทั้งนี้หากลงลึกในรายละเอียดของเหตุผลที่งบไตรมาส 4/65 ของ GULF นั้น นักวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/65 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีนัยฯ เพิ่มขึ้นกว่า 404.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/65 มาอยู่ราว 5.5 พันล้านบาท ขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสเป็นประวัติการณ์
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรายการพิเศษ ที่สุทธิแล้วคาดจะบันทึกกลับเป็นกำไร 1.9 พันล้านบาท ประกอบด้วย 1.กำไรจากการขายหุ้น 50% ในโรงไฟฟ้า BRK2 320.2 ล้านบาท (ขายหุ้นแล้วเสร็จ 22 ธ.ค. 2565) และ 2. กำไรอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธ์ของทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทร่วมรวม 1.6 พันล้านบาท
อีกทั้ง กำไรจากการดำเนินงานปกติจะปรับตัวขึ้น 63.4% มาอยู่ราว 3.5 พันล้านบาท จากรายได้ขายไฟฟ้าที่คาดจะเติบโต 10.1% มาอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท ตามการรับรู้โครงการ GSRC phase 4 กำลังการผลิต 463.8 MWe เข้ามาในไตรมาสแรก และคาดรายได้ขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า BRK2 ประเทศเยอรมัน กำลังการผลิต 232.5 MWe ปรับตัวสูงขึ้นตามการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของโรงไฟฟ้าพลังงานลม
ประกอบกับแรงหนุนบางส่วนจากการปรับขึ้นค่า Ft รอบ ก.ย.-ธ.ค. 2565 อีกทั้งคาดต้นทุนก๊าซฯเฉลี่ยในกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จะปรับตัวลดลง 15.5% มาอยู่ราว 489.1 บาท/ล้านบีทียู หนุนให้ภาพรวมกำไรขั้นต้นคาดจะเพิ่มขึ้น 21.9%มาอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 22.2%
นอกจากนี้ คาดส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ไม่รวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน และตราสาอนุพันธ์จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 40.2% มาอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท โดยหลักเป็นผลมาจากผลประกอบการของกลุ่มโรงไฟฟ้า GJP ที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จะฟื้นตัวจากการรับรู้การปรับขึ้นค่า Ft ได้เต็มไตรมาส และต้นทุนก๊าซฯที่ลดลง รวมถึงจากส่วนแบ่งกำไรจาก GULFGUNKUL ที่คาดจะเพิ่มขึ้นตามการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลลม
แต่อย่างไรก็ตาม คาดยังมีแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่คาดจะเพิ่มขึ้น 8.9% มาอยู่ราว 2.2 พันล้านบาท จากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามการออกหุ้นกู้ของทางบริษัท และค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดจะเพิ่มขึ้น 38.8% มาอยู่ที่ 892.4 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นเป็นปกติในช่วงปลายปี ทั้งนี้โดยรวมแล้วคาดกำไรปกติปี 2565 อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 36.7% จากปีก่อน และสอดคล้องกับที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้
[มุมมองพื้นฐานธุรกิจปี 66]
ขณะที่ในระยะสั้น นักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรปกติในงวดไตรมาส 1/66 ยังทรงตัวได้ในระดับสูงใกล้เคียงกับงวด ไตรมาส 4/65 โดยคาดจะมีแรงหนุนจากการรับรู้โครงการ Jackson ประเทศสหรัฐอเมริกา 588 MWe ที่คาดจะดำเนินการซื้อกิจการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/66
ขณะเดียวกันอานิสงค์จากการปรับขึ้นค่า Ft ขึ้นอีก 61.5 สตางค์/หน่วย ในช่วง ม.ค.-เม.ย. 2566 อย่างไรก็ตามคาดจะมีแรงกดดันจากการรับรู้สัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ BRK2 ลดลงเหลือเพียง 25% จากเดิม 50% และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม GULF GUNKUL ที่คาดผลประกอบการจะเริ่มอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหลังจากผ่านพ้นช่วงไฮซีซั่น ของฤดูกาลลมของไทยมาแล้ว
ดังนั้นเบื้องต้น ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ไว้ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 41.5% หนุนหลักจากการรับรู้โครงการ GSRC phase 3-4 กำลังการผลิตรวม 1.3 พัน MWe ได้เต็มที่ทั้งปี และโครงการGPD phase 1-2 และโครงการ Jackson ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตรวม 1.9 พัน MWe ที่จะทยอย COD และรับรู้เข้ามาในปี 2566
นอกจากนี้คาดกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม (ราว 10-15% ของรายได้จากการขายไฟฟ้าโดยรวม) จะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากต้นทุนก๊าซฯ ที่คาดจะลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันในระยะยาว
โฆษณา