เส้นทางของ Pink Floyd จาก Psychedelic สู่ Progressive Rock
หากท่านเป็นนักฟังเพลงมานานและเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชอบในดนตรีแนว Progressive Rock โดยเฉพาะดนตรีในยุค 60 – 70 ซึ่งมีวงดนตรีแนว Progressive Rock ที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลทางด้านดนตรีต่อวงดนตรีในยุคหลังอย่างสูงหลายวง
วงดนตรีแนว Progressive Rock ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้นมีอยู่หลายวง เท่าที่พอนึกได้ อย่างเช่น King Crimson, Yes, Genesis, Emerson Lake and Palmer, Jethro Tull, Barclay James Harvest, The Doors, Camel, Supertramp และอื่นๆอีกมากมาย
ดนตรีแนว Progressive Rock มีจุดเริ่มต้นมาจากดนตรี Psychedelic ซึ่งเริ่มต้นได้รับความนิยมในเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เรียกตนเองว่าฮิปปี้และมีความเกี่ยวข้องกับยาหลอนประสาทประเภทหนึ่งที่ชื่อว่า LSD จุดเริ่มต้นทางดนตรีแนวนี้ถูกนำมาโดยวงดนตรีชื่อดังในยุค 60 ตอนปลายอย่าง The Beatles ,The Beach Boys, The Yardbirds, The Byrds และ Jefferson Airplane เป็นต้น
มีเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับชื่อของวง Pink Floyd ว่ามีที่มาจากชื่อของนักดนตรีแนว Blues สองคนที่เป็นที่ชื่นชอบของ Syd Barrett หนึ่งในผู้ก่อตั้งวงคือ Pink Anderson และ Floyd Council
เช่นเดียวกับวงดนตรีรุ่นพี่ Pink Floyd เริ่มต้นจากดนตรีแนว Psychedelic เช่นกัน โดย Pink Floyd ก่อตั้งวงขึ้นเมื่อปี 1965 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สมาชิกรุ่นก่อตั้งประกอบด้วย Syd Barrett (กีตาร์และร้องนำ), Nick Mason (กลอง), Roger Waters (เบส, ร้อง), และ Richard Wright (คีย์บอร์ด, ร้อง) โดย Barrett และ Waters เป็นเพื่อนกันตั้งแต่วัยเด็ก
ในปี 1967 Pink Floyd ร่วมกับ EMI ได้ออกอัลบั้มแรก “The Piper at the Gates of Dawn” แต่การแสดงคอนเสิร์ตของอัลบั้มนี้ไปต่อไม่ได้เพราะอาการผิดปกติทางจิตของ Barrett โดยก่อนที่ Barrett จะออกจากวงไป ทางวงได้รับมือกีตาร์คนใหม่เข้ามาคือ David Gilmore โดย Gilmore เป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกับ Barrett
“A Saucerful of Secrets”
ปี 1968 Pink Floyd ออกอัลบั้มที่สอง “A Saucerful of Secrets” ร่วมกับ EMI อีกครั้ง มีเพลง “Set the Controls for the Heart of the Sun” และ “Let there be More Light” ซึ่งเป็นเพลงเอกของอัลบั้ม ที่ประพันธ์โดย Waters
ในปี 1973 Pink Floyd ออกอัลบั้ม “The Dark Side of the Moon” ซึ้งถือว่าเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จและยิ่งใหญ่ที่สุดของวง อัลบั้มนี้ได้ชื่อว่าเป็นอัลบั้มเพลงร็อกที่มียอดขายมากที่สุดอันดับสามของโลกและเป็นหนึ่งในอัลบั้มเพลงร็อกที่ดีที่สุดตลอดกาล
เหตุที่ต้องกล่าวถึงอัลบั้มนี้ให้มากหน่อย เพราะนี่คืออัลบั้ม Masterpiece ของ Pink Floyd เลยทีเดียว อัลบั้มชุดนี้มีเพลงหลายเพลงที่เป็นเพลงเอก อาทิ “Time”, “Money”, ”The Great Gig in the Sky”, “Brain Damage” และ “Us and them” อัลบั้มนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญจาก Psychedelic มาสู่ Progressive Rock อย่างเต็มตัว
The Final Cut วางจำหน่ายในเดือนมีนาคม 1984 ขึ้นอันดับหนึ่งในสหราชอาณาจักรและอันดับหกในสหรัฐอเมริกา โดย Waters เขียนเนื้อเพลงทั้งหมดทุกเพลงในอัลบั้ม The Final Cut โดยพื้นฐานแล้ว The Final Cut เหมือนเป็นอัลบั้มเดี่ยวของ Roger Waters โดยมี Pink Floyd ทำหน้าที่เป็นวง Backup เท่านั้น
The Division Bell ขึ้นสู่อันดับ 1 ในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา และใช้เวลา 51 สัปดาห์ในชาร์ตสหราชอาณาจักร
ในที่สุดทั้งสี่คนคือ Roger Waters, David Gilmore, Richard Wright และ Nick Mason ก็ได้กลับมาแสดงร่วมกันเป็นครั้งสุดท้ายในคอนเสิร์ตที่ชื่อ Live 8 เมื่อปี 2005 หลังจากนั้น Syd Barrett ก็เสียชีวิตในปี 2006 และ Richard Wright ก็จากไปด้วยโรคมะเร็งในปี 2008
โดยส่วนตัวผมชอบ “The Dark Side of the Moon” มากที่สุด ตามมาด้วย “The Wall”, “The Final Cut” และ “The Division Bell” แต่ถ้าจะให้บอกว่าผมชอบเพลงไหนมากที่สุด ผมขอเลือก “On the Turning Away”, “Comfortably Numb” และ “Wish You were Here” แต่ในความเป็นจริงเกือบทุกเพลงสามารถที่นำมาฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีเบื่อหน่าย
กล่าวโดยสรุป Pink Floyd ถือว่าเป็นผู้สร้างปรากฎการณ์ทางแนวดนตรีหลัก 2 แนว ได้แก่ Psychedelic Rock, และ Progressive Rock ที่มีพื้นฐานมาจาก Blues และกลายเป็นวงดนตรีที่มีอิทธิพลจากบทเพลงที่แฝงเจือปนด้วยการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง, สังคม, และบ่งบอกถึงความรู้สึกทางอารมณ์และหลอกหลอนด้วยอัดตาจากอดีดที่เจ็บปวดมากที่สุด และดนตรีของ Pink Floydส่งอิทธิพลมาสู่วงการดนตรีในยุคหลังด้วยความเป็นอมตะของพวกเขาจนถึงปัจจุบัน