11 ก.พ. 2023 เวลา 04:49 • ประวัติศาสตร์

โธมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) ค.ศ.1847-1931

นักประดิษฐ์
โธมัส อัลวา เอดิสัน เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1847 ที่เมืองมิลาน(Milan) รัฐโอไอโอ สหรัฐอเมริกา เขาเป็นลูกคนที่ 7 และคนสุดท้ายของนายแซมมวล เอดิสัน (Samuel Edison)และนางแนนซี่ แมทธิวส์ เอลเลียต(Nancy Matthews Elliott) ขณะที่เขาเกิด บิดาของเขามีอายุ 43 ปี และมารดาของเขามีอายุ 37 ปี
เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่มีอายุมากแล้วนั้นทางการแพทย์มักพบว่า มีแนวโน้มและความเป็นไปได้ที่จะปัญญาอ่อนหรืออ่อนแอกว่าเด็กปกติ แต่สำหรับเอดิสันแล้วเขาไม่เป็นเช่นนั้น กลับกันเป็นผลดีสำหรับเขาเสียด้วยซ้ำ
เพราะเขามีพี่อีก 6 คน ที่คอยดูแลเลี้ยงดูเขา ที่สำคัญด้วยความเป็นลูกคนเล็กทำให้ถูกคนคอยตามเอาอกเอาใจ
บางคนว่าเป็นสิ่งที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด แต่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่บอกว่ามันมาจากสภาพแวดล้อมในวัยเยาว์ของเขาต่างหาก ที่ทำให้เขาเป็นเด็กที่รักที่จะทดลองทำอะไรแปลกๆอยู่เสมอ ที่สำคัญเขาเป็นเด็กช่างคิดและชอบถามมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกเคยมีมา
บ้านเกิดของเอดิสัน
และเพราะความที่เป็นเด็กชอบทดลองทำอะไรด้วยตนเองที่นำความเดือดร้อนมาให้กับเขาและครอบครัวตั้งแต่เล็ก กล่าวคือในวัยที่เขามีอายุเพียง 6 ขวบ ตรงกับปี ค.ศ.1853 นิสัยชอบทดลองของเขาก็นำความเดือดร้อนมาให้ เมื่อเขาทดลองเกี่ยวกับไฟด้วยตนเองจนทำให้เกิดไฟไหม้
เอดิสัน ถูกบิดาทำโทษต่อหน้าสาธารณชนเพราะหากไฟถูกดับช้ากว่านี้ ไฟที่ติดขึ้นมาอาจลามไปในตัวเมืองได้ ยิ่งบ้านเมืองสมัยนั้นที่ใช้ไม้ในการสร้างอีกด้วย และหากไฟลามเข้าตัวเมืองได้ ก็อาจจะกลายเป็นหายนะยังใหญ่หลวง แต่โชคดีที่ชาวบ้านช่วยกันดับไฟได้ทัน
คนบางคนอาจมองว่าเป็นความสุขสน แต่ใครจะคิดบ้างว่านั่นคือประสบการณ์ที่ประทับและฝังหัวของเด็กน้อยในวัยเพียง 6 ขวบ นั้นว่าเขาจะไม่ย่อท้อต่อความผิดพลาดและแพ้พ่ายแม้จะต้องอับอายขายหน้าเพราะถูกลงโทษกลางที่สาธารณะก็ตาม
วัยเด็กของเอดิสัน เป็นวัยเด็กที่สร้างปัญหาและทำเรื่องให้ครอบครัวต้องปวดหัวอยู่เสมอ ครอบครัวของเขาย้ายถิ่นฐานไปยัง พอร์ตฮิวรอน(Port Huron) ในรัฐมิชิแกน ในปี ค.ศ.1854 ปีต่อมาเมื่อเขาอายุได้ 8 ปีก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนเล็กๆในโบสถ์ มีนักเรียนเพียง 48 คนมีครูสอนเพียงสองคนคือ นายเอ็งเกิล และนางเอ็งเกิล (Engle)
เอดิสันในวัยเด็ก
แต่ปัญหาก็ขึ้นจนได้ด้วยความที่เอดิสันมีนิสัยสนใจในสิ่งรอบตัวไม่ใช่เนื้อหาในตำราคร่ำครึ สิ่งที่เขาสนใจถามครูจึงไม่ใช่เรื่องที่ครูสอน แต่เป็นเรื่องนอกตำรา
ก็คำถามแต่ละข้อมันช่างจุกจิกวุ่นวาย ที่สำคัญมันนอกเรื่องจากที่เรียนและครูเองก็ไม่รู้ด้วย ส่งผลให้นายและนางเอ็งเกิล
เรียกเขาว่า เด็กหัวขี้เลื่อย ต่อมาเมื่อมารดาของเขาทราบเรื่อง จึงไปพูดคุยกับคุณครูที่โรงเรียน หลังการพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง เอดิสัน ต้องออกจากโรงเรียน โดยมารดาของเขาจะเป็นผู้สอนเอดิสันด้วยตนเอง หลังจากเข้าโรงเรียนได้ 3 เดือนเท่านั้น
การเรียนกับมารดาที่บ้านดูจะเป็นโลกเสรีไม่น้อย เอดิสัน ชื่นชอบหนังสือนอกเวลาเล่มหนึ่ง ซึ่งมีภาพและเนื้อหาการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ผู้อ่านทดลองเองได้ ซึ่งเขามีความสนใจที่จะทำการทดลองตามในหนังสือ อย่างสนุกสนาน สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่ก็ทำให้เขารู้และเข้าใจสิ่งที่เราสนใจในแต่ละเรื่องอย่างรู้จริงและลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ด้วยความที่เห็นเขารักในการทดลอง มองดูเหมือนนักวิทยาศาสตร์น้อยนี่เองทำให้ในปี ค.ศ.1857 พ่อและแม่ของเขาจึงสร้างห้องใต้ดิน เพื่อให้ เอดิสัน ได้ทำการทดลองต่างๆตามในหนังสือ และเขาก็ได้ทำการทดลองเรื่องในห้องใต้ดินนั้น
เมื่อเริ่มโตขึ้น ตามแบบอย่างของเด็กอเมริกันที่ต้องเริ่มหารายได้ด้วยตัวเอง เขาเริ่มงานทุกชนิดรับแต่ขายหนังสือพิมพ์ไปจนถึงการเป็นเด็กขายลูกอมและหนังสือพิมพ์บนรถไฟ
เอดิสันใน ค.ศ. 1877
ปี ค.ศ. 1860 เอดิสันประสบอุบัติเหตุซึ่งส่งผลให้การได้ยินของเขาเสื่อมลง เรียกว่า หูบอดเป็นครั้งเป็นคราว ซึ่งนับแต่นั้นมาเขาได้ยินก็เฉพาะแต่เสียงดังๆเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานเขาได้สร้างห้องทดลองขึ้นบนรถไฟ อีก 2 ปีต่อมา เอดิสัน ได้เป็นบรรณาธิการข่าวของหนังสือพิมพ์ เดอะวีคลี่เฮรัลด์ ต่อมาสักพักก็เลิกทำ
หลังจากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุบนห้องทดลองในรถไฟ ทำให้เอดิสันไม่ได้รับอนุญาตให้มีห้องทดลองบนรถไฟอีก ในปีเดียวกันนั้น เขาก็เริ่มศึกษาในเรื่องการใช้โทรเลขที่ดูเหมือนจะทันสมัยมากในยามนั้น
ความตั้งใจของเขาปรากฏชัดในปี ค.ศ.1863 เมื่อเขาเข้าเป็นพนักงานส่งโทรเลขและต่อมาก็ต้องออกและเข้าในบริษัทส่งโทรเลข เขาเปลี่ยนบริษัทบ่อยมาก ในปีเดียว เขาเปลี่ยนบริษัททำงานถึง 4 ครั้ง
ตามสถานที่ต่างๆในอเมริกาและแคนาดาแต่ใครจะคิดบ้างว่าในระหว่างที่เขาต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการหางานที่ทำแม้จะต้องเปลี่ยนงานบ่อยครั้งมากเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่เคยหยุดคิดประดิษฐ์และทดลองอะไรใหม่ๆ
ซึ่งจะเห็นได้ว่าในปี ค.ศ.1894 เขาประดิษฐ์เครื่องบันทึกการนับคะแนน สิ่งนี้ไม่แน่ว่าเป็นสิ่งแรกที่เขาประดิษฐ์ขึ้นหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือเขาได้ยื่นจดสิทธิบัตรเป็นผลงานชิ้นแรกที่ปรากฏเป็นหลักฐาน แต่ปรากฏว่าเครื่องนั้นไม่ได้ถูกนำไปใช้งาน
Edison works, Orange
ปี ค.ศ1869 หลังออกจากงานเขานำเงินที่ออมทั้งหมดพร้อมกับเงินสนับสนุนจากครอบครัวมุ่งเดินทางไปยังนิวยอร์ก และที่นั่นเขาได้เปิดบริษัทวิศวกรไฟฟ้าขึ้น บริษัทนี้ประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรืองทำให้เขามีหลักฐานที่มั่นคงขึ้น
ในปี ค.ศ. 1871 เขาสร้างอาคารซึ่งเปิดเป็นโรงงานและศูนย์วิจัยในตัวขึ้น และในปีนั้นเองเขาได้พบรักและแต่งงานกับ แมรี สติลเวลล์ (Mary Stilwell) ซึ่งมีอายุน้อยกว่าเขาถึง 8 ปี แต่มันก็มีข่าวร้ายคือในปีนั้น แนนซีผู้เป็นมารดาของเอดิสัน เสียชีวิตลงในวัย 61 ปี
ในปี ค.ศ. 1876 เขาได้ย้ายไปสร้างอาคารโรงงานและศูนย์วิจัยใหม่ที่ เมนโลพาร์ก(Menlo Park) รัฐนิวเจอร์ซี และเริ่มลงมือประดิษฐ์โทรศัพท์ซึ่งในเวลานั้นทั้งโลกยังไม่มีใช้ แต่ปรากฏว่าอเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์(North Alexander Graham Bell) สามารถคิดค้นขึ้นได้ก่อนทำให้โครงการของเขาต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย
แต่เขาก็ยังไม่ยอมลดละความพยายามและอุตสาหะ ซึ่งปรากฏว่าในปี ค.ศ.1877 เอดิสันประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงขึ้นสำเร็จ แล้วฉายา พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก ก็ได้มาจากการที่เขาประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียงนี้
ในปี 1869 เอดิสัน ได้ประดิษฐ์ Universal stock printer
ตลอดเวลาในการทำงานเขาพบว่าอุปสรรคที่สำคัญในการทำงานหามรุ่งหามค่ำของเขาก็คือ เขาต้องเสียเวลาลุกมาชักไส้ตะเกียงหรือเปลี่ยนเติมน้ำมันอยู่เสมอ ที่สำคัญไฟส่องสว่างในสมัยนั้นสามารถก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย
ทำให้ในหัวเขาเกิดความคิดขึ้นมาว่า หากเราสามารถสร้างแสงสว่างให้กระจ่างอยู่ทั้งคืนได้ คงทำให้คนเรามีเวลาในการทำงานเพิ่มมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญสมาธิก็คงไม่เสียไปด้วย ในปี ค.ศ.1878 เอดิสันจึงเริ่มศึกษาค้นคว้าและคิดจะทำหลอดไฟ
และแล้วในปี ค.ศ.1879 เขาก็เริ่มก้าวแรกสำเร็จด้วยการประดิษฐ์หลอดไฟไส้คาร์บอนสำเร็จ และเริ่มออกแบบสวิตช์ เปิด-ปิดหลอดไฟให้ติดตั้งในบ้านเรือนได้ง่าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของหลอดไฟบนโลกนี้
ในปี ค.ศ. 1880 เขาก็พัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยคราวนี้เขาสำเร็จด้วยการเปลี่ยนไส้หลอดไฟจากคาร์บอนเป็นไม้ไผ่ญี่ปุ่น เพราะหลอดคาร์บอนส่องสว่างได้นานแค่ 40 ชั่วโมง แต่ไม้ไผ่ญี่ปุ่น ส่องสว่างได้นานถึง 900 ชั่วโมง
แสงสว่างในยามค่ำคืนที่เอดิสันคิดคนสำเร็จนี้คือแสงสว่างที่เขามอบให้แก่โลกโดยแท้จริง นอกเหนือจาก เอดิสัน จะเป็นนักค้นคว้าทดลองแล้วเขายังมีหัวทางธุรกิจด้วย
ในปี ค.ศ. 1882 สร้างโรงจ่ายกระแสไฟฟ้าขึ้นที่นิวยอร์ก และเริ่มประกาศเทคโนโลยีหลอดไฟให้โลกได้รู้จัก ปีต่อมาปี ค.ศ. 1883 เขาก็สามารถประดิษฐ์หลอดไฟรุ่นใหม่ที่ใช้ในครัวเรือนทั่วไปได้ ทำให้หลอดไฟแพร่กระจายไปตามจุดต่างๆของโลกเร็วขึ้น
1
ความสำเร็จนำมาซึ่งเกียรติยศและความร่ำรวย กระนั้นเอดิสันก็ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับความสำเร็จนั้น เขารู้ดีว่าตัวตนของเขามีความอุตสาหะเป็นที่ตั้งอยู่ในจิตใจและเขาไม่อาจลืมมองโลกที่ไร้การพัฒนาได้อย่างเต็มตา
เฮนรี่ ฟอร์ด(Henry Ford)
ดังนั้นจึงครุ่นคิดและหวังที่จะสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆอยู่เสมอ ในปี ค.ศ.1891 เขาก็ประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ให้แก่โลกอย่างนั้นก็คือเครื่องถ่ายภาพตัดต่อจนสำเร็จ มันสามารถบันทึกความเคลื่อนไหว ซึ่งนำไปสู่การสร้างภาพยนตร์ในเวลาต่อมา
ในปี ค.ศ.1893 โทมัส เอดิสัน ก็สร้างโรงถ่ายภาพยนตร์แห่งแรกของโลก ปีต่อมาคือปี ค.ศ.1894 ภาพเคลื่อนไหวเรื่องแรกของโลกถูกสร้างขึ้น มีชื่อว่า “บันทึกการจาม” แต่ยังไม่มีเสียง ก็ถูกฉายให้สาธารณชนได้ยล
แต่แล้วข่าวเศร้าก็เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1896 บิดาของเอดิสัน เสียชีวิตลงในวัย 92 ปี แต่ในปีเดียวกันนี้เองเอดิสันก็ได้รู้จักกับ เฮนรี่ ฟอร์ด(Henry Ford) มหาเศรษฐีผู้เบิดโลก อุตสาหกรรมใหม่ของโลกต่อมาทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนซี้กัน
ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือสำเร็จสักเพียงใด เขาก็ยังไม่หยุดนิ่ง ในปี ค.ศ.1898 เอดิสัน เริ่มประดิษฐ์แบตเตอรี่และประดิษฐ์สำเร็จในปี ค.ศ.1909 ใช้เวลานานถึง 11 ปี
ในปี ค.ศ.1912 เกิดการใช้เครื่องถ่ายภาพตัดต่อและเครื่องบันทึกเสียงพร้อมกันทำให้เกิดเป็น “ภาพยนตร์” ที่มีทั้งภาพและเสียง
เอดิสัน ใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน และเสียชีวิตในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ.1931 ด้วยโรคเบาหวานและไตวาย ในขณะที่เขามีอายุ 84 ปี ที่เวสต์ออเรนจ์ (West Orange) รัฐนิวเจอร์ซีย์
ฝากกดถูกใจ กดแชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
Reference โธมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) :

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา