Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Supawan’s Colorful World
•
ติดตาม
13 ก.พ. 2023 เวลา 05:50 • ท่องเที่ยว
ทมิฬนาดู (16) … กลุ่มเทวาลัยถ้ำหินขุดบนเขา (1)
เมืองมามัลละปุรัม (Mahabalipuram) รัฐทมิฬนาฑู อดีตเมืองท่าสำคัญของราชวงศ์ปัลลวะ (Pallava Dynasty) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12 – 13 .. มีแนวสันทรายใหญ่ริมชายฝั่งทะเลอ่าวเบงกอล รวมถึงยังมีโขดหินขนาดใหญ่อยู่ทั่วไป บางส่วนมีการรังสรรค์งานศิลปะที่แกะสลักขึ้นจากหินแกรนิตเป็นจำนวนมาก
งานแกะสลักหินที่บริเวณนี้ทั้งหมดเริ่มขึ้นในสมัยของพระเจ้านรสิงหวรมันที่ 1 (Narasimhavarman I) ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12 ที่มีความนิยมในคติไวษณพนิกาย (Vaishnavism –Vishnuism) และคติพระวิษณุอวตาร (Avatar) ภายหลังจากที่พระองค์ได้รับชัยชนะเหนืออาณาจักรจาลุกยะ (Chalukya) ต่อเนื่องมาในยุคของพระเจ้ามเหนทรวรมันที่ 2 (Mahendravarman II) พระเจ้าปรมเมศวรวรมัน ที่ 1 (Paramesvaravarman I) ช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 13
.. จนถึงยุคสมัยของ พระเจ้านรสิงห์วรมันที่ 2 (Narasimhavarman II) พระราชโอรส ที่เริ่มเปลี่ยนความนิยมมาเป็นไศวะนิกาย (Shavisim) ในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 13
.. วันนี้เรามีโอกาสมาเดินชมเทวาลัยจำนวนมาก ที่สร้างกระจายไปตามทางลาดของเนินเขา
กลุ่มเทวาลัยถ้ำเจาะหิน (Rock Cut) และมณฑาพรัม (มณฑป) บนเนินเขาโขดหินแกรนิตที่ทอดยาวตามแนวเขาหินที่เราจะไปชม ประกอบด้วย
.. เทวาลัยโอลัคคนารถ (Olakkanarth)
.. มหิงษาสุรมรรทิณี มณฑาพรัม (mahishasuramardini mandapam ) เทวาลัยสุพราหมัณยะ
.. เทวาลัยอาทิวราหะ (Varaha Cave)
.. เทวาลัยพิฆเณศวรรถะ (Ganesha Ratha) โคปุรัมยุควิชัยนคร (Rayar Gopuram)
.. ก้อนเนยพระกฤษณะ (Krishna's Butter Ball)
.. และกลุ่มภาพสลัก "การบำเพ็ญตบะ" เพื่อการขอพรจากองค์พระศิวะ (Penance - Asceticism request from Lord Shiva) ที่มี “ถ้ำกฤษณา-โควรรธนะ มณฑาพรัม” (Krishna Mandapam cave) ติดอยู่ใกล้กัน บนแนวโขดหินแกรนิตขนาดใหญ่
กลุ่มโบราณสถานสลักหินที่เมืองมามัลละปุรัม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยองค์การยูเนสโก มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527
ทางขึ้นเขา .. สวยงาม มากด้วยสนทรียทางสายตา
โอลักนาถ เป็นเนินเขากลางเมือง ซึ่งมีเทวาลัยและถ้ำเทวสถานยุคปัลลวะอยู่นับสิบแห่ง .. ตลอดทางเดินขึ้นเขามีต้นไม้ และหินแกรนิต .. หินบางแท่งยังมีร่องรอยของกรรมวิธีการตัดหินเพื่อนำไปสร้างเทวาลัยและมณฑปให้เห็น
ต้นไม้ในรายทาง สวยมาก .. ให้ทั้งร่มเงาเป็นทางเดิน และความวามของเสว้นสายที่เกิดจากการแผ่กิ่งกัานสาขา
เทวาลัยโอลักนาถ
Olakkannesvara Temple เรียกโดยทั่วไปว่า Olakkanatha Temple (เทวาลัยโอลักนาถ) Olakkannesvara แปลว่าดวงตาแห่งไฟ "flame eye"
.. เข้าใจว่าอาจมาจากคำว่า "Ulaikkannisvaram" ซึ่งแปลว่า "เทวาลัยของพระศิวะ ที่บนหน้าผากมีรูปพระจันทร์เสี้ยว หรือดวงตาแห่งความฉลาด"
เทวาลัยโอลักนาถเป็นเทวาลัยเล็ก ๆ ตั้งอยู่บนยอดสูงสุดของเนินเขาโอลักนาถ สันนิษฐานว่าเดิมคงมียอดสูงช่นเดียวกับเทวาลัยชายหาด แต่ปัจจุบันส่วนยอดหักพังไปหมดแล้ว ส่วนบนจะมีบันไดแคบ ๆ วนได้รอบ มีรั้วกั้นกันตก
เทวาลัยโอลัคนาถ – โอลัคคณีศวร หรือ “พระศิวะตาไฟ” (รุทรเนตร) ซึ่งเคยเป็นเทวาลัยให้แสงไฟมาตั้งแต่ยุคเมืองท่าราชวงศ์ปัลลวะ แต่ต่อมาส่วนยอดศิขรได้พังทลายลงมา
… เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองอินเดียใต้ก็ได้ใช้เป็นประภาคารให้แสงไฟต่อมาระยะหนึ่ง ก่อนมีการสร้างประภาคารทรงหอคอยขึ้นใหม่บริเวณใกล้เคียงกัน
มณฑปมหิษาสุรมณี
ถ้า มหิษสุรมรรทินี (Mahishasuramardini Cave) หรือ “ยัมปุรี” (Yampuri) ตั้งอยู่บนโขดหินสูง ด้านบนสุดของโขดหิน เป็นเทวาลัยโอลัคคนารถ .. เป็นเทวาลัยที่มีขนาดไม่ใหญ่ คือ ยาวแค่ราว 10 เมตรเท่านั้น
ปากถ้ำทำเป็นเสาหลอก 6 ต้น เจาะผนังกินด้านหลังเป็นห้อง .. มีประตูทางเข้า 3 ห้อง มีรูปทวารบาลประดับข้างประตู ระหว่างประตูสลักเป็นรูปเสาติดผนังรองรับด้วยสิงห์-วยาละ (Simha-vyala – สิงห์มีเขา)
คูหาตรงกลางของเทวาลัย .. มีภาพแกะสลักรูป “โสมาสกันทะ”(Somaskanda) ประกอบด้วยรูปพระศิวะประทับนั่งบนบัลลังก์เหนือโคนนทิ พร้อมนางปารวตีที่มีเด็ก คือ “พระขันธกุมาร” หรือ “พระสกัณฑะ (Skanda) อยู่ที่พระเพลา โดยมีภาพสลักของพระพรหมและพระวิษณุอยู่ด้านหลังสุด
ผนังด้านข้างฝั่งทิศเหนือ สลักหินเป็นเรื่องราว “มหิษาสุรมรรทิณี” อันเป็นที่มาของชื่อถ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระนางทุรคา ปางหนึ่งของพระนางปารวตี สังหารมหิษรสูร (อสูรควาย)
เรื่องราวของ “มหิงษาอสูร มรรทินี - มหิงษาสุรมรรทินี" (Mahishasura Mardini) หรือการปราบอสูรควายของพระแมทุรคา ปรากฏในงานวรรณกรรมเรื่อง “มหาภารตะ” (The Epic Mahābhārata) มาตั้งแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ 2 ส่วนในงานศิลปะนั้น ปรากฏชัดเจนในช่วงราชวงศ์กุษาณะ ราวพุทธศตวรรษที่ 7 และเป็นที่นิยมในช่วงราชวงศ์คุปตะ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 9 – 10 เป็นต้นมา
ในภาพเป็นพระนางทรงมีแปดกรถืออาวุธต่างๆ ประทับบนหลังสิงห์แวดล้อมด้วยกองทัพบริวาร
.. ฝั่งของมหิษาสูรซึ่งกำลังมีท่าทีลังเลยืนถือกระบอง ท่ามกลางกองทัพอสูรที่กำลังแตกพ่าย
ผนังถ้ำด้านทิศใต้สลักเป็นเรื่อง “วิษณุอนัตศายิน” (Vishnu Anantasayana Mudra) หรือนารายณ์บรรทมสินธุ์ เหนือพญาอนันตนาคราช 5 เศียร (Ananta Shesha)
.. เป็นภาพของพระวิษณุ 2 กร สวมกิรีฏมงกุฎทรงกระบอกเรียบไม่มีลวดลาย นุ่งผ้าโธฏียาว ใช้ภูษารัดพระองค์ที่พระโสณี คาดผ้ากุฏิสูตรเป็นวงโค้งซ้อนหน้าพระเพลา ทบเป็นหูแล้วทิ้งชายผ้าด้านข้าง ซึ่งเป็นลักษณะของงานสิลปะปัลลวะ ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 12
.. พระกรขวาหน้าเหยียดตรงยาวขึ้นทางเหนือหัวนอน เป็นการบรรทมในระหว่างกัลป์หลังการสร้างโลกหรือระหว่างการรอสร้างโลกใหม่
.. ด้านข้างเป็นภาพของภาพของอสูรมธุ (Madhu) และอสูรไกภะ (Kaitabha) ที่เกิดจากอำนาจขี้หูของพระวิษณุ กำลังถือกระบองเข้าทำร้าย
.. ด้านล่างตรงขนดนาคเป็นภาพของ “อายุธปุรุษ (Āyudhapuruṣa) ในร่างของเทพเจ้า 3 องค์ โดยมี “ปัญจชันยะ - สังข์” (Pāñcajanya Sankha) อยู่ทางซ้ายสุด “สุทรรศนะ-จักร” (Sudarśana cakra) อยู่ตรงกลาง และ นางเกาโมทะกี-คทา (Kaumodakī gadā) แสดงนมัสการตรงตำแหน่งพระบาท
https://en.wikipedia.org/wiki/Mahishasuramardini_Mandapa
มณฑปอาหิวราหะ
ถ้า วราหะมณฑป Varaha Mandapa Cave .. เป็นเทวาลัยขนาดเล็ก มีเสาหินสองต้นอยู่ด้านหน้า
วยาล .. นั่งเฝ้าเทวาลัยมาช้านาน
ลวดลายที่สลักบนเพดานหินของเทวาลัยงดงามมาก
ส่วนสำคัญของถ้ำนี้คือ ภาพสลักที่ผนังถ้ำ ที่เป็นเรื่องราวของเทพฮินดู 4 ปาง
ปางที่ ๕ “วามนาวตาร” .. พระนารายณ์อวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย เพื่อปราบอสูรนาม “พาลี” ผู้เป็นเหลนของ “หิรัณยกศิปุ” เพื่อช่วยเหลือพระอินทร์ให้ได้กลับมาครอบเมืองสวรรค์
.. อสูรตนหนึ่งชื่อ “พลี” ซึ่งเป็นหลานของประหลาท (ในปางที่ ๔) จอมอสูร ได้เสียทีถูกบรรดาทวยเทพฆ่าตาย ภายหลังจากได้รับการช่วยชุบชีวิตจากพวกพราหมณ์ในใต้บาดาล แล้วก็เริ่มทำพิธีกรรมเพื่อเพิ่มฤทธานุภาพของตนให้มากยิ่งขึ้นจนสำเร็จ
.. แล้วก็ยกพลบรรดาแทตย์และอสูรทั้งหลายพากันมาตีเอาเมืองสวรรค์ได้ .. “พระอินทร์” พร้อมทวยเทพบริวารที่แปลงกายเป็นนกยูงได้พากันไปขอร้องให้ “พระวิษณุมหาเทพ” ลงมาช่วยปราบขุนพลี
.. องค์พระวิษณุมหาเทพ จึงอวตารไปเกิดเป็นโอรสของ “พระกัศยปมุนี” และ “พระนางอทิติ” เมื่อประสูติออกมาแล้วประทานชื่อให้ว่า “วามน” อันมีความหมายว่า เตี้ยหรือสั้น
.. วามนนั้นถือว่าได้กำเนิดในวรรณะพราหมณ์ตามแบบพระกัศยปเทพมุนี เมื่อเติบโตจึงเริ่มศึกษาพระเวท พิธีกรรมและศาสตร์ต่าง ๆ ของพราหมณ์อย่างมากมาย จนแตกฉานแต่เยาว์วัย
.. ท้าวพลียึดสวรรค์มาครอบครองได้สำเร็จแล้ว ก็สถาปนาตนเองขึ้นเป็นจอมเทพ แต่พระศุกร์ผู้เป็นอาจารย์ก็แนะนำว่าการที่ท้าวพลี จะขึ้นมาครองตำแหน่งเจ้าแห่งสวรรค์แทนพระอินทร์ให้ได้นั้น ท้าวพลีจะต้องประกอบมหายัชญพิธีหนึ่งขึ้นเสียก่อน จึงจะสามารถแทนที่พระอินทร์ ได้อย่างสมบูรณ์ถูกต้องตามหลักในฤคเวท คือ "พิธีอัศวเมธ" เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิ
.. ท้าวพลีได้ทำพิธีอัศวเมธมาถึง 99 ครั้งแล้ว จึงเริ่มประกอบพิธีอัศวเมธในครั้งที่ 100 ณ ริมฝั่งแม่น้ำนรรมะทา แล้วในระหว่างที่กำลังเริ่มประกอบพิธีกรรมนั้น ท้าวพลีเชิญพราหมณ์จากทั่วชมพูทวีปมาร่วมพิธีถวายทานก่อนที่จะทำการปล่อยม้าอุปการ.
.. วามนก็ได้เดินทางมาร่วมพิธีนี้ด้วย แล้วการต้อนรับพราหมณ์นั้น ท้าวพลีจะต้องนำน้ำมาล้างเท้าให้พราหมณ์ผู้มาร่วมพิธี แล้วจะรองน้ำที่ชำระเท้าของพราหมณ์นั้นมารดที่ศีรษะของตน เพื่อให้เกิดสิริมงคล ก่อนที่จะทำการบริจาคทานต่อไป เมื่อเสร็จสิ้น แล้วท้าวพลีจึงเอ่ยปากถามพราหมณ์แคระวามนว่าปรารถนาสิ่งใดเป็นการตอบแทน
.. พราหมณ์แคระวามน จึงตรัสตอบไปว่า "ในบรรดาทรัพย์สินอันมีค่าของพระองค์ทั้งหมดนั้นเราหาได้ปรารถนาไม่ เราปรารถนาเพียงแต่แผ่นดินเพียงแค่ย่างสามก้าวก็เพียงพอแล้ว"
.. ฝ่ายขุนพลีไม่ทันคิดก็ตกลงยกให้ทันที พร้อมนั้นก็ยกเต้าน้ำขึ้นเพื่อหลั่งให้ตามประเพณี
.. “พระศุกราจารย์” ผู้เป็นอาจารย์ของ ขุนพลีก็ร้องห้าม เพราะเห็นามนมีสี่กรถือสังข์กับจักรก็รู้ทันทีว่าเป็นพระนารายณ์อวตารมา .. แต่ขุนพลีเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ .. พระศุกราจารย์จึงหาทายตัวเข้าไปอุดรูเต้าน้ำนั้นเสีย จึงไม่อาจหลั่งทักษิโณทกได้
.. วามนพราหมณ์รู้ทันจึงได้เอายอดหญ้าคา แยงเข้าไปในน้ำเต้าถูกลูกตาของพระศุกร์ ๆ ทนไม่ไหวจึงรีบออกมา วามนพราหมณ์จึงรีบแบมือรับน้ำอุทิศแล้วสำแดงเดชปรากฎกายใหญ่โตมหึมาสูงสุดลูกหูลูกตาในทันที
แล้วเริ่มย่างก้าวที่หนึ่งครอบคลุมไปทั้งโลกมนุษย์ ส่วนก้าวที่สองก็ครอบคลุมไปสิ้นทั้งสรวงสวรรค์ จากนั้นพระนารายณ์ในร่างอวตารของพราหมณ์แคระจึงทรงหันมาถามท้าวพลีก่อนจะทรงย่างก้าวครั้งที่สามว่า "จะให้เราวางบาทก้าวที่สามนี้ไว้ ณ ที่ใด"
ท้าวพลีจึงทูลตอบไปว่า "โอ้พระผู้เป็นเจ้า เพียงย่างก้าวแค่สองก้าวนั้น ก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งจักรวาลแล้ว ย่างก้าวที่เหลือของพระองค์ทรงโปรดมาประทับอยู่บนเศียรของหม่อมฉันเถิด หม่อมฉันผิดเองที่หลงมัวเมาในอำนาจว่าตนนั้นยิ่งใหญ่หาผู้ใดเทียบเทียมได้ ดังนั้นพระบาทก้าวที่สามของพระองค์นั้นโปรดมาประทับ ยังเศียรของหม่อมฉันจึงจะควรที่สุดแล้ว"
พระนารายณ์อวตารได้ฟังเช่นนั้นก็พอพระทัยที่ทรงทราบว่าท้าวพลีได้สำนึกตนแล้ว จึงวางพระบาทก้าวที่สามไว้บนเศียรของท้าวพลี พร้อมตรัสขึ้นว่า
"มหาพลี เดิมเจ้านั้นเป็นราชาแห่งแทตย์ที่อยู่ในศีลในธรรม อีกทั้งพระอัยกาประหลาท (ปู่) ของเจ้าก็เป็นสาวกผู้ภักดีของเรา แต่ด้วยเจ้านั้นหลงมัวเมาในอวิชชาชั่วขณะ จึงได้เกิดความคิดที่ผิดธรรมขึ้น แต่เจ้าก้ได้ทำมหาทานครั้งยิ่งใหญ่ด้วยการถวายทานแก่เราเป็นแผ่นดินสามย่างก้าว ดังนั้นเราจะเหลือโลกบาดาลไว้ให้เจ้าปกครองแทน".
.. พระนารายณ์อวตาร จึงทรงวางพระบาทลงบนเศียรของท้าวพลี แล้วกดลงสู่โลกบาดาลในทันที พร้อมตรัสอีกว่าในกาลต่อไปภายภาคหน้า เมื่อพระอินทร์องค์เดิมหมดบุญบารมีแล้ว ท้าวพลีจะได้ขึ้นมาปกครองสวรรค์แทน .. ท้าวพลีจึงทำการสวดมนต์สรรเสริญบูชาพระนารายณ์เจ้าในทันที แล้วรับปากว่าจะประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรมตลอดไปตามโอวาทของพระนารายณ์เจ้า เมื่อท้าวพลีถูกกดลงสู่โลกบาดาลแล้ว ทุกอย่างในจักรวาลก็กลับมาเป็นปกติสุขอีกครั้ง พระอินทร์ก็เสด็จกลับมาปกครองสวรรค์ดังเดิม พร้อมพระนารายณ์เจ้าก็เสด็จกลับสู่ไวกูณฐ์ในทันทีที่เสร็จกิจ
http://huexonline.com/knowledge/20/85/
ภาพวราหาวตาร - อวตารปางที่3 ของพระนารายณ์เป็นหมูป่ากู้แผ่นดินที่หิรัญยักษ์ม้วนซ่อนไว้ใต้บาดาล
อวตารปางนี้ อยู่ในโลกยุคที่ 1 พระวิษณุทรงอวตารเป็นหมูป่า (วราห์) เพื่อปราบปรามยักษ์ ผู้มีนามว่า "หิรัณยากษะ" (ผู้ซึ่งมีนัยน์ตาทอง) ซึ่งเป็นอสูรที่ชั่วร้ายมีความร้ายกาจยิ่งนัก เดิมนั้นอสูรตนนี้ได้บำเพ็ญตบะ เพื่อบูชาพระอิศวร ทำให้พระองค์โปรดปรานพอพระทัยยิ่งนัก.
จึงประทานให้อสูรตนนี้มีฤทธิ์สามารถปราบได้ทั่วสากลจักรวาล พญาอสูรจึงได้มีความฮึกเหิมอหังการยิ่งนัก ได้จัดการม้วนแผ่นดินโลกทั้งหมด แล้วหนีบใต้รักแร้ หนีลงไปอยู่ในบาดาล
ในที่สุดต้องเดือดร้อนถึงพระวิษณุอวตารลงมาเป็นหมูป่า (วราห์) เพื่อปราบปรามยักษ์ตนนี้ หมูนี้มีเขี้ยวเป็นเพชร ดำน้ำลงไปในมหาสมุทรต่อสู้กับพญาอสูรหิรัณยักษ์ จนเวลาล่วงเลยไปถึงกนึ่งพันปี จึงสามารถฆ่ากิรัณยักษ์ได้สำเร็จ .. ท้ายสุดก็เอาเขี้ยวเพชรงีดเอาผืนดินขึ้นมาไว้บนผืนน้ำตามเดิม
ภาพการถวายชีวิตต่อพระนางทุรคา (เล่าไปแล้ว)
ภาพคชลักษมี .. เป็นตอนที่พระนางลักษมีปรากฏขึ้นมาตอนกวนเกษียรสมุทร พระนาวถูก้ชิญให้ขึ้นมาชำระล้างร่างกาย ก่อนที่จะถวายแก่พระวิษณุ
.. เป็นภาพที่พระนางลักษมีนั่งอยู่ตรงกลาง ด้านข้างขนาบด้วยช้าง 2 เชือก กำลังรดน้ำบนพระเศียร
1 บันทึก
2
1
3
1
2
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย