14 ก.พ. 2023 เวลา 09:35 • ท่องเที่ยว

ทมิฬนาดู (20) .. เมืองปอนดิเชอรี่ เมืองฝรั่งเศสน้อย แห่งทมิฬนาดู

เมืองพอนดิเชอร์รี (Pondicherry) หรือปุทุจเจรี.. ได้ชื่อว่า เมืองฝรั่งเศสน้อย ด้วยเหตุที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส เรียกอย่างย่อๆ ว่า “พอนดี”
อังกฤษเคยเข้ามาปกครองอินเดียในหลายพื้นที่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของประเทศ .. ยังมีบางส่วนที่อินเดียถูกปกครองและเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส รวมถึง ปอนดิเชอรี่ ซึ่งฝรั่งเศสเข้ามาปกครองตั้งแต่ราวช่วงปี คศ. 1673 ฝรั่งเศส ก่อนจะได้รับเอกราชเมื่อปี ค.ศ. 1954 (หลังจากการได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1947 ถึง 7 ปี)
สิ่งของที่เป้นหลักฐานสำคัญหลายอย่าง ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ของเมือง ทำให้เรารู้ว่า ... ในสมัยโบราณ พื้นที่นี้รู้จักกันในนาม “อริกเมฑุ” เมืองท่าสมัยโรมันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 เป็นเมืองที่มีความเชื่อมโยงทางการค้ากับหลายภูมิภาค .. แต่เมื่อช่วง ปัลลวะ โจฬะ เข้ามาถึง ก็ได้ผนวกดินแดนแถบนี้เข้าไว้ด้วย แต่เมืองนี้ถูกทิ้งร้างไปในที่สุด
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 เมื่อฝรั่งเศสเดินเรือมาถึงเมืองนี้ และเข้าปกครอง .. พอนดิเชอร์รี เป็นแค่หมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แต่ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 18 เมืองได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุที่มีคนหลายเชื้อชาติเข้ามาชุมนุมค้าขายกันที่นี่ .. ฝรั่งเศสได้ออกแบบผังเมืองใหม่ จนเมืองนี้กลายเป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญ
1
ในยุคอาณานิคม .. ฝรั่งเศสและอังกฤษ ต้องการครอบครองเมืองนี้ และมีความอึมครึมทางการเมือง จนกระทั่งทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษ ต้องจากไป ปล่อยให้อินเดียปกครองตนเอง และมีอิสรภาพในที่สุด
พอนดิเชอร์รี .. เป็น 1 ใน 7 ของดินแดนสหภาพ (Union Territory) ที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลางของอินเดีย มีหน่วยการปกครองที่แยกต่างหาก มีรัฐบาลท้องถิ่นของตนเอง จัดการเลือกตั้งมุขมนตรีเอง รวมทั้งมีกฎหมายบางเรื่องที่แตกต่างจากเมืองอื่นๆในอินเดีย
เราเดินทางมาถึง พอนดิเชอร์รี ในช่วงบ่ายคล้อย .. แต่ยังมีเวลาพอที่จะเดินชมชายทะเลที่นี่ รวมถึงอาคาร บ้านเรือนต่างๆ
เราได้ยินมาว่า .. ห่างจากชายทะเลมาราวๆ 3-4 ช่งตึก จะมีแนวคลองขนานกับชายหาด มีถนนขนาบคลองทั้งสองฝั่ง น้ำในคลองแห้งและส่งกลิ่นเน่าๆ พอๆกับเมืองที่เดราผ่านมา .. ใครหลายคนจึงใช้เขตคลองนี้เป็นเส้นแบ่งอย่างไม่เป็นทางการ (ดูตวามแผนที่ จะเห็นชัดถึงเส้นแบ่งเขต)
.. ฝั่งขวานับจากชายทะเล เป็นเขตฝรั่งเศส เขตคนขาว หรือ The White Town .. ส่วนอักฝั่งหนึ่ง เป็นเขต The Black Town หรือเขตคนอินเดีย ผิวดำ
เรามีเวลาเดินเที่ยวเฉพาะในเขต White Town .. สังเกตเห็นว่า ป้ายต่างๆมักจะเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส อบอวลไปด้วยกลิ่นไอแบบเมืองยุโรป รวมทั้งชื่อถนนด้วย .. เราจึงเห็นคำว่า รู รู รู (Rue – ถนน) เต็มไปหมด
ถนนเลียบชายหาดกว้างและพื้นปูด้วยหินในเมืองในช่วงบ่ายแก่ๆ .. ทอดยาวผ่านทะเลสีคราม ท่ามกลางอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลอันมีมนต์เสน่ห์
พอนดิเชอร์รี ปัจจุบันเป็นเมืองตากอากาศริมทะเลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย .. แต่ลมค่อนข้างแรง มีแต่โขดหิน และไม่มีชายหาด ดังนั้นไม่ต้องนึกว่าจะเห็นหนุ่มสาวอินเดียใส่ชุดว่ายน้ำลงไปลอยคลอในทะเล แถมยังมีป้ายห้ามลงเล่นน้ำอีกต่างหาก
.. ม้านั่งที่ทางเมืองจัดไว้ให้ตากลม ชมวิวทะเล .. เห็นมีคนทุกเพศ ทุกวัยเข้าไปจับจอง ส่งสายตาเหม่อมองน้ำทะเลที่ไม่ค่อยจะใส หากเป็นเมืองไทยก็คงจะมีบางคนฮัมเพลงของวง ดิ อิมพอสสิเบิ้ล .. มองสิมองทะเล เห็นลมคลื่นเห่จูบหิน (มีแต่หินจริงๆน๊า)
พอนดิเชอร์รี .. Street Arts สวยๆอยู่หลายอัน
ชอบ .. อยากจะแปลงกายเป็นนางฟ้า เลยถลาเข้าไปโพสท่า ถ่ายรูป
เมืองนี้มีชื่อด้านโยคะ .. เวลาเดินที่ถนนจึงมักจะเห็นสิ่งต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับกูรูและเจ้าสำนัก ด้านโยคะ สมาธิ และจิตวิญญาณของ ท่านศรีอรพินโท (Sri Aurobindo) และท่านแม่ (The Mother) ที่มีชื่อเสียงระดับโลกในนาม “อาศรมศรีอรพินโท” อยู่ตามมุมถนนแทบทุกแห่ง
บ้านเมืองที่เดินและมองผ่านตา ค่อนข้างสะอาดสะอ้าน .. มีการรณรงค์เรื่องความสะอาดผ่านป้ายต่างๆ
รวมถึงติดตั้งถังขยะรูปลักษณ์กิ๊บเก๋เป็นระยะๆ ชอบมากค่ะ .. เห็นได้ชัดว่าเรื่องความสะอาดของที่นี่แตกต่างจากเมืองอื่นๆที่เราผ่านมาแล้วทั้งหมด
ผังเมืองของเมืองนี้เป็นระเบียบเรียบร้อย คงจะถอดแบบมาจากฝรั่งเศส .. อาคารสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส และยุโรป ยังคงปรากฏให้เห็น ทั้งโบสถ์และบ้านเรือน ที่ตกค้างมาจากสมัยอาณานิคม
ทัวร์เดินเท้าไปตามถนนหนทางของพอนดิเชอร์รี ทำให้สัมผัสรับรู้ถึงมรดกฝรั่งเศส .. สูดอากาศชายทะเลและกลิ่นขนมฝรั่งเศสหอมหวานที่อบใหม่ๆ ในคาเฟ่ ให้อารมณ์ราวกับเป็นโอเอซิส ที่ได้หลบหลีกจากความจอแจวุ่นวายของเมืองอื่นในรัฐทมิฬนาฑูมา
ร้านอาหาร ร้านค้า สถาปัตยกรรมแบบยุโรป .. หากมีเวลา น่าจะลองไปนั่งจิบกาแฟในร้านเก๋ๆ ทาน หรือนั่งดื่มเบียร์ หรือไวน์อิมพอร์ตให้ถึง “ฝรั่งเศสน้อย” ดูสักที .. แต่เราไม่มีเวลาพอ แงๆๆๆ
พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน .. ถึงแม้เราจะเมื่อยล้าอยู่บ้าง แต่ก็ยังรื่นรมย์กับการเดินชมบ้านเมือง
“อนุสาวรีย์ ท่านมหาตมะ คานธี” นับเป็นหมุดหมายสำคัญบนถนนเลียบชายหาด นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเก็บภาพท่านไปเป็นที่ระลึก
ฝั่งตรงข้าม เป็นลานกว้างๆเหมือนจตุรัส ที่จัดแสดงหลายสิ่ง ...
.. มีภาพวาดเป็นแนวยาว เรื่องราวของการต่อสู้ของคนอินเดียในช่วงเวลาและวาระต่างๆ
รวมถึงมีรายชื่อผู้กล้าจารึกไว้บนกำแพง มองดูคล้าย The Wall ในอเมริกา
ประภาคารโบราณ .. สูง 29 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี คศ. 1836 โดยทางรัฐ จากคำขอของพ่อค้าชาวเรือ นับเป็นเทคโนโลยี่ฝรั่งเศสจากสมัยกลางศตวรรษที่ 19 ที่ยังคงเหลืออยู่ และว่ากันว่า ประภาคารแห่งนี้สามารถส่องแสงสว่างได้ไกลถึง 15 ไมล์
รูปปั้น
ตลาดนัดสินค้าประเภท Handicrafts หลายอย่าง
หลังจัตุรัส .. ฉันเดินเข้าไปในพื้นที่ที่เหมือนสวนสาธารณะ (ที่ไม่รู้จักชื่อ) ขนาดใหญ่ที่ร่มรื่น ตรงกลางสวนมีอาคารคอนกรีตที่ดูคล้ายศาลาโถงที่มีหลังคาคลุมคล้านมณฑป
รอบๆซุ้มมีปืนใหญ่วางอยามุมละ 2 กระบอก
ด้านในมีรูปปั้นหญิงคนหนึ่ง (ไม่รู้ว่าใครอีกเช่นเคย) ซึ่งน่าจะเป็นบุคคลสำคัญของเมืองนี้คนหนึ่ง
โบสถ์แม่พระ Our Lady Catholic Church
.. เป็นโบสถ์ที่น่ารักอีกแห่งที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมและสำรวจเมื่อเดินทางไปพอนดิเชอร์รี ความพิเศษของศาสนจักรนี้คือพิธีมิสซาสามภาษา อังกฤษ ทมิฬ และฝรั่งเศสทุกวันอาทิตย์
โครงสร้างดั้งเดิมของโบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1855 โดยจักรพรรดินโปเลียนที่ XNUMX โครงสร้างได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมกรีก-โรมัน ..
จุดเด่นของโบสถ์คือเสาสูงสองต้นที่มีนาฬิการ้องเพลง Ave Maria ทุกสองชั่วโมง
บรรยากาศภายในโบสถ์ที่ศักดิ์สิทธิ์
ในช่วงที่ผ่านมา ศาสนจักรมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ตัวอย่างเช่น ระฆังขนาดใหญ่ที่นำเข้ามาจากฝรั่งเศสไม่ได้ใช้งานอีกต่อไป เสียงระฆังเหล่านี้เคยทำให้เกิดการสั่นสะเทือนในอาคารใกล้เคียง ทำลายฐานราก
การบูรณะและอัปเกรดหลายครั้งทำให้โบสถ์ที่ตั้งอยู่ใน Rue Dumas และ White Town มีบรรยากาศที่เงียบสงบสำหรับผู้ศรัทธา
โฆษณา