23 ก.พ. 2023 เวลา 10:11 • ท่องเที่ยว
Memorial and Museum Auschwitz II-Birkenau

Auschwitz-Birkenau ความทรงจำแสนทรมาน (Part 2/2)

สำหรับคนที่เพิ่งเห็นโพสนี้ มีโพสก่อนหน้าที่เป็นเรื่องราวของค่าย Auschwitz I และการเดินทางอยู่นะคะ ถ้าสนใจก็ไปตามอ่านกันได้เลยค่าา
มาต่อกันจากโพสก่อน หลังจากที่เราเดินทัวร์รอบค่ายแรก ไกด์จะให้เวลาพักใจประมาณ 15 นาที จากนั้นเราจะต้องไปที่ค่ายแห่งที่ 2 กันต่อ โดยเราต้องนั่งรถบัสจากค่ายแรกไปประมาณ 15 นาที บรรยากาศในบัสคืออึมครึมมาก ส่วนใหญ่คนก็จะนั่งจบกลุ่มคุยกันว่าอะไรคือสาเหตุของความโหดร้ายนี้ มันเป็นไปได้จริงหรอ หรือนี่คือเรื่องราวที่เพิ่งจะผ่านไปแค่ 70 ปีเองหรอ ทำไมมันช่างแตกต่างจากยุคของเราขนาดนี้ หรือถ้าคนที่มีพลังบวกเยอะหน่อย ก็จะแสดงความเห็นว่า เราโชคดีเนอะ ที่ไม่ต้องเจออะไรแบบนี้ เป็นเสียงงึมงำไปตลอดทั้งทาง
ส่วนตัวเรากลับสนใจว่า คนที่เขารอดมาได้หลังจากวันปลดปล่อย เขาใช้ชีวิตอยู่ต่อได้อย่างไร มีการบำบัดสภาพจิตใจของคนที่เหลือรอดอย่างไรบ้างมากกว่า เพราะสภาพความเป็นอยู่จัดว่าติดลบมากๆ เรียกได้ว่าโรงงานนรกของจริง ใช้งานคนดั่งเครื่องจักร ที่ถ้าตายก็แค่ทิ้ง เพราะมีคนอีกมากให้ใช้งาน
ถ้าเราจินตนาการว่า ถ้าเข้ามาในค่ายแล้ว คุณจะมีอาหารให้รับประทานแบบเพียงพอต่อการเอาชีวิตรอด บอกเลยว่าไม่จ่ะ อาหารที่พวกเขาได้รับคือซุปผักเน่าๆ ของเหลือเพียงเท่านั้น และจะมีอาหารให้แค่วันละมื้อตอนเช้า เพราะงั้นคนในค่ายนี้ต้องพบเจอกับความโหดร้ายทั้งการถูกทรมาน ขาดสารอาหาร และความหดหู่ของสภาพจิตใจ นับว่าเลวร้ายครบทุกด้านจริงๆ
ทางรถไฟตรงทางเข้าต่อกับถนนแห่งการคัดเลือก
หลังจากนั่งงึมงำครุ่นคิดมาตลอดทาง เราก็มาถึงค่ายแห่งที่สองโดยไม่รู้ตัว มาเริ่มกันที่ทางเข้า ถนนแห่งการคัดเลือก (selection road) ที่เราเรียกทางเดินนี้ว่าถนนแห่งการคัดเลือกเพราะว่า บริเวณนี้คือจุดชี้เป็นชี้ตายของเหล่าคนที่โดยสารมาทางรถไฟ เมื่อเดินทางมาถึง หลังจากก้าวเท้าลงจากรถไฟ คนพวกนี้ก็จะถูกคัดแยกและจัดกลุ่ม โดยแยกคนตามความสามารถ เพศ และชนชาติ โดยคนยิวและคนพิการจะไม่มีสิทธิ์ได้มีชีวิตอยู่ต่อ จะถูกคัดแยกเพื่อไปยังห้องรมแก๊สทันทีที่มาถึง
1
รถไฟที่มายังค่าย
หลังจากเดินผ่านถนนแห่งนี้ ไกด์จะพาเราไปยังอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อระลึกถึงผู้วายชนม์ในสถานที่แห่งนี้ ในบริเวณนั้นจะมีแผ่นโลหะขนาดใหญ่วางเรียงรายจำนวนมาก บนแผ่นโลหะนี้จะมีคำอุทิศในหลายๆ ภาษา เพื่อตอกย้ำ ให้ความสำคัญกับความรุนแรงในอดีต และเพื่อเตือนสติคนยุคปัจจุบัน ไม่ให้ทำเรื่องเลวร้ายแบบนี้ขึ้นมาอีก
รวมไปถึงการจัดทำป้ายหลุมศพ(จำลอง) ที่ต้องวงเล็บจำลอง เพราะว่าในความเป็นจริงนั้น ไม่สามารถยืนยันศพและเถ้าของผู้เสียชีวิตได้ จึงได้แต่ปักป้ายหลุม และสลักข้อความแด่ชาย หญิงและเด็กที่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการครั้งนี้ ในภาษาอังกฤษ โปแลนด์ ฮิบรู และอีกหนึ่งภาษาที่เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
1
คำอุทิศและป้ายหลุมศพ
เมื่อเข้าไปในค่าย บรรยากาศภายในค่ายคือหดหู่ และทรมานมาก เพราะเราไปตอนช่วงหน้าหนาวพอดี ตอนนั้นอุณหภูมิในเมืองประมาณ -10 กว่า แต่เพราะออกมากนอกเมือง และบริเวณนั้นเป็นที่โล่งแจ้ง ลมแรง บอกเลยว่า หนาวมาก หนาวจนเท้าชา เดินไปตลอดทาง แทบไม่รู้สึกถึงนิ้วเท้าตัวเอง
แล้วความหดหู่ระลอกที่สองก็เกิดขึ้น เมื่อเราลองจินตนาการว่า เรากำลังเดินอยู่ในที่แห่งนี้ ที่เดียวกันกับคนอีกนับล้านต้องจบชีวิตลง เมื่อ 70 ปีที่ผ่านมา แต่ที่ย่ำแย่กว่านั้นคือ คนเหล่านั้นไม่มีแม้กระทั่งอุปกรณ์กันหนาว เรามีครบทั้งบูส เสื้อแจ๊คเก็ต ยังเอาไม่อยู่เลย ยังไม่พอ เราไปเจอแค่ -10 แต่ตอน 70 ปีก่อน มัน -40 องศา เขาอยู่กันได้ยังไง...
บรรยากาศโดยรอบ
เมื่อเดินครุ่นคิดตามไกด์ไป เราก็ได้คำตอบหลังจากนั้นไม่นาน ไกด์พาชมความเป็นอยู่ โรงนอนในอดีต ที่เป็นไม้ ก่อขึ้นมาเป็นเตียงสามชั้น โดยชั้นบนสุดและชั้นกลางจะเป็นพื้นไม้ และชั้นล่างสุดเป็นพื้นปูน โดยแต่ละบล็อคจะต้องนอนกันประมาณ 4 - 5 คน และจำเป็นจะต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ที่นอนที่ดีที่สุด นั่นก็คือชั้นบนสุด เพราะจะอุ่นที่สุด โดยภายในโรงนอนจะมีฮีตเตอร์ขนาดเล็ก จากบริษัทรถยนตร์ชื่อดังจากประเทศเยอรมัน วางกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ของโรงนอน รวมถึงสภาพห้องน้ำที่เป็นแค่ท่อหลุมสำหรับการขับถ่าย
สภาพที่นอน
ห้องน้ำแบบหลุมและฮีตเตอร์
หลังจากเดินชมภายในแล้ว ไกด์จะพาเราเดินวนมายังทางออก โดนผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น โรงนอนผู้หญิงและเด็ก รวมถึงโรงหมอในอดีต แต่อย่าเพิ่งดีใจไป โรงหมอแห่งนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาคน แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำการทดลองในมนุษย์ ไม่ว่าจะทางสภาพร่างกาย หรือสภาพจิตใจ นอกจากนี้ยังถูกใช้เพื่อหาวิธีสังหารคน เช่น การทดลองฉีดสารฟีนอล
ภายนอกอาคาร
สุดท้ายเราก็เดินทางมากันจนเกือบถึงทางออก ซึ่งมีแผนที่ของค่ายแห่งนี้ตั้งอยู่ เราได้ชมแค่ไม่ถึงครึ่ง แต่ ณ จุดนั้นก็คือไม่ไหวกันแล้ว เพราะอากาศหนาวมาก เลยปิดท้ายทัวร์ด้วยการยืนคุยและอธิบายเรื่องราวสุดท้ายกันท่ามกลางสายลมหนาวยะเยือก โดยเรื่องราวอย่างสุดท้ายที่ ไกด์ได้เล่าว่าเป็นเรื่องที่ได้รับฟังจากเด็กสาวผู้เหลือรอดเพียงไม่กี่คนอดีต ซึ่งในปัจจุบันเธอได้กลายเป็นคุณยายและจากไปอย่างสงบเมื่อปีที่ผ่านมา เรื่องราวสุดท้ายนี้คือ สาเหตุว่าทำไมถึงมีเด็กเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
เพราะว่าหากมีการตรวจพบว่าตั้งครรภ์ หญิงผู้นั้นจะมีทางเลือกเพียงสองทางคือ ทำแท้งหรือตาย อย่างไรก็ตามยังมีหญิงสาวบางส่วนได้รับอนุญาติให้คลอดบุตรได้ แต่ทารกที่ถูกคลอดออกมามักจะถูกสังหารทันทีหลังคลอด หรือสุดท้ายก็ไม่มีชีวิตรอด เนื่องจากมารดาอยู่ในสภาวะขาดอาหาร ทำให้ไม่มีน้ำนมสำหรับทารกน้อย นอกจากนี้เด็กส่วนมากที่เดินทางเข้ามาในค่าย มักจะทนต่อสภาพในค่ายไม่ไหว ไม่สามารถแย่งชิงอาหารได้ จึงทำให้ป่วยและเสียชีวิตไป ส่วนเด็กที่เหลือรอดก็มักจะถูกนำไปใช้ในการทดลองต่างๆ ทำให้เสียชีวิตหลังจากการทดลองอีกเช่นกัน
ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้ววว
จบกันไปแล้วนะคะ สำหรับค่ายสุดโหด หวังว่าทุกคนที่อ่านจะได้เปิดหูเปิดตา และไม่นำเรื่องราวในอดีตมาเป็นตัวตัดสินคนในยุคปัจจุบัน ส่วนตัวเรารู้สึกว่า ไกด์เขานำเสนอได้ดีมาก เรารู้สึกถึงความเศร้าโศก ความโหดร้าย แต่เราไม่รู้สึกถึงความเกลียดชังในคำพูดตลอดทัวร์เลย ในขณะเดียวกัน เราก็คิดว่า เราเองก็ไม่สามารถไปตัดสินคนในอดีตว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องที่ผิดหรือไม่ เพราะอดีตและปัจจุบันมีความแตกต่างกัน เลเวลความโหดร้ายของยุคสมัยมันก็แตกต่างกัน แม้จะมองว่าเป็นเรื่องที่น่าสลด แต่เราเองก็ไม่สามารถตัดสินได้
แอบนอกเรื่องนิดนึง มีใครเห็นสภาพโดยรอบแล้วคิดถึงค่ายชาวเอลเดีย ใน Attack on Titan เหมือนเราบ้างมั้ย
โฆษณา