17 ก.พ. 2023 เวลา 10:45 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] The Greng Jai Piece - Phum Viphurit

หนักแน่นไม่เกรงใจใคร
-ไปเจอบทความของ The Matter ที่เขียนเกี่ยวกับประเด็นสุขภาพจิต tie-in รีวิวอัลบั้มชุดที่สองของภูมิ-วิภูริศ ที่กำลังจะพูดถึงต่อจากนี้ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอย่างนึงคือ คำว่า เกรงใจ เป็นคำที่ไม่สามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้โดยตรง ไม่แน่ใจว่าไอ้ความขี้เกรงใจนั้นเป็นอากัปกิริยาที่ไม่เคยมีอยู่ใน mindset ของฝรั่งเลยหรอ
-ผมไม่เข้าใจคัลเจอร์ของฝรั่งอย่างลึกซึ้งเลยไม่ได้สัมผัสถึงความเกรงใจที่อาจจะมีในตัวฝรั่งที่ประสบพบเจอเลยก็ได้ แต่ที่แน่ๆภูมิกลับหยอกเย้าอากัปกิริยาแบบไทยๆมาเป็น message หลักในอัลบั้มชุดนี้ได้อย่างน่าสนใจและน่าขบคิดตามอยู่ไม่น้อย
-ซื้อตั้งแต่ปกอัลบั้มที่ tie-in ความเป็นไทยได้อย่างแนบเนียนอีกแล้ว อย่าลืมว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภูมิสอดแทรก Thai culture ลงในงานปกอัลบั้ม อัลบั้มชุดแรก Man Child ก็เป็นตุ๊กตาดินเผาห้อมล้อมด้วยโบสถ์อุโบสถ อีพีอัลบั้ม Bangkok Balter Club ก็มีรถตุ๊กๆ สำหรับรอบนี้ให้กลิ่นอายจิตรกรรมฝาผนังตามวัดไทย ฉายภาพเทศกาลงานวัดอย่างที่เพลง Temple Fair ควรเป็น
-โดดเด่นด้วยมาสคอตตัวสลอธหน้าตาสุดพริ้มมีพลังไฟเหมือนชาร์จพลังคลื่นลูกเต่า ประหนึ่งเป็นสัตว์แปลกที่อะเมซซิ่งของผู้คนแถวนั้น ปกโคตรวิจิตรศิลป์น่าเก็บมากๆ ถ้าทำโปสเตอร์ขาย ผมคงต้องสอยเอาไปติดบ้านซะหน่อย
-แน่นอนว่าผม Don’t judge a book by its cover อยู่แล้ว จากการได้ฟังผลงานเต็มประหนึ่งการอัพเดทชีวิตของภูมิไปในตัว ผมสัมผัสได้ถึงการแคร์ความรู้สึกตัวเองได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยสมชื่ออัลบั้มเลย แต่อีกมุมนึงลึกๆ เออ เราเข้าใจนายว่ะ ไอ้ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี บางทีแม่งก็ดาบสองคม ความเสียสละเอื้อเฟื้อให้ผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี รู้จักมารยาท แต่ก็ควรให้ถูกสถานการณ์
-อีกด้านของความเกรงใจกลับกลายเป็นการใส่หน้ากากเพียงเพื่อรักษาหน้าตัวเองไม่ให้โดนต่อว่า ซึ่งมักจะเจอประจำตอนที่ทำงานหรืออยู่ร่วมกับเจ้านายหรือรุ่นพี่อาวุโส การที่เราเห็นการกระทำที่ไม่เข้าท่าเลย การคัดค้านอย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องที่คนพวกนั้นถือสายิ่งนัก สุดท้ายเราก็ใช้ชีวิตที่ไม่สามารถเดาใจคนได้อย่างถูกจุดมากนัก แยกแยะไม่ออกว่าอะไรคือความเฟคหรือความจริงใจ
How many layers must I peel
Try to understand your calm
I should never speak your mind
To know exactly how you feel
The Greng Jai Piece
-ในเพลงไตเติ้ลแทร็คอันเป็น centerpiece ของอัลบั้มอย่าง The Greng Jai Piece อาจจะไม่ได้เสียดสีอย่างเข้มข้นตามที่ผมยกตัวอย่างสิ่งที่ผมเจอมา แต่ภูมิเลือกที่จะสื่อสารด้วยท่วงทำนองดุ่มๆที่กระตุกด้วยเครื่องหมายคำถามวนอยู่ในหัวมากมายตลอดการฟังเพลงนี้ คำถามที่ว่าเราจะเข้าใจคนไทยด้วยกันเองได้ไง ในเมื่อพวกพี่ๆกั๊กความรู้สึกไว้แบบนี้ ในขณะที่ฝรั่งก็น่าจะอิหยังวะกับอากัปกิริยาแบบไทยๆเหมือนกัน
-ในเพลง Temple Fair เป็นการผสมผสานความเป็นไทยที่ฟิวชั่นกลมกลืนที่สุดเท่าที่ผมเคยฟัง ครั้งสุดท้ายที่ผมได้สัมผัสความไทยฟิวชั่นได้อย่างใจฟูก็คืออัลบั้มชุด ทิงนองนอย ของ Moderndog เพลงงานวัดเวอร์ชั่นหนุ่มภูมิ บอกภาพรวมที่อัลบั้มนี้เป็นได้ดีที่สุด รากเหง้าความไทยมาครบ ทั้งกลองโทน เสียงฉิ่งฉับ การร้องแบบเอื้อนลูกคอที่มากกว่าครั้งไหน
-inspiration มาจาก มนต์รักทรานซิสเตอร์ หนังไทยสุดคลาสสิคของเป็นเอก รัตนเรือง (ซึ่งดัดแปลงมาจากวรรณกรรมของวัฒน์ วรรลยางกูร) อันว่าด้วยวงจรความอับโชคของไอ้แผน (ตัวเอกของเรื่อง) ที่จำเป็นต้องทิ้งเมียไปเกณฑ์ทหาร หนีทหารไปเป็นนักร้อง แล้วเจอความซวยระหว่างทาง
The strays, the gods, I've seen the lot.
They're out there screaming
We didn't grow up the same, please don't judge me by the name of my neighborhood.
Should our thoughts not align, you can politely decline, it's okay, we're good.
Temple Fair
-ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภูมิไปเจอะเจอประสบการณ์ที่เข้มข้นขนาดนั้นหรือเปล่า แต่หนังเรื่องดังกล่าวกลับทำให้ภูมิเลือกที่จะเล่าเรื่องโดย relate ความรู้สึกแปลกแยกของการเป็นเด็ก Third Culture Kid ที่สัมผัสความแตกต่างทางวัฒนธรรมตั้งแต่ที่ภูมิเป็นเด็กอยู่ที่นิวซีแลนด์ แล้วกลับมาที่ไทยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การปรับตัวทางวัฒนธรรมอาจยากลำบากเสียหน่อย
-แต่ที่แน่ๆการนั่งมองงานวัดผ่านกระจกหน้าต่างของเขา ณ ตอนนั้น กลับทำให้เขากลายเป็นคนกลางท่ามกลางความสนุกสนานและความกระทบกระทั่งที่ผสมปนเปในเทศกาลแห่งความสุขแบบไทยๆ เนื้อเพลงเป็นความประนีประนอมที่ตกผลึกอย่างดี และแลดูอบอุ่นไม่ด่วนสรุป เป็นความเนิบที่กลมกล่อมมาก (เพจเราเอาเพลงนี้ไปติดลิสท์เพลงไทยยอดเยี่ยมประจำปี 2022 ลองไปเช็คได้)
-อีกหนึ่งเพลงที่โคตรเหาะเลย Lady Papaya เป็นความซาบซ่าที่โคตรชอบ ต่อให้เป็น interlude แต่โคตรเชียร์ให้ภูมิทำเพลงลักษณะนี้อีก ยาวอีกได้มั้ย เสียดายที่สั้นไปหน่อย ชอบทุกอย่างเลย ทั้งการแซมเปิ้ล รีฟกีตาร์เร้กเก้สุดเซิ้ง การร่อนซาวนด์ที่ให้ฟีลเหมือนเสียงสับมะละกอ เป็น theme song ที่อยากไปฟังสดมากๆ ท่าทางจะสนุกน่าดู
-ตั้งแต่เพลง Hello, Anxiety ทำให้ผมได้รู้จักภูมิในมุมของศิลปินสาย conscious ที่สื่อประเด็น mental health ได้อย่างไม่ซับซ้อนและเก่งมากคนนึง ไม่ได้มีดีแค่การเป็นหนุ่ม Lover Boy ขวัญใจแม่ยกอินดี้ มีอีกหลายเพลงที่ทำให้ผมได้สัมผัสถึงความลุ่มลึกที่ดีฟมากขึ้น เป็น deep conversation ที่เข้าใจได้ไม่ยาก
-Healing House ซิงเกิ้ลแรกที่เดินเครื่องด้วยโฟล์ค-เร้กเก้ แต่มีการหักมุมด้วยการขยุ้มเบส สับไปสับมาจนคาดเดาไม่ได้ เป็นการท้าทายคนฟังกันแรกเริ่มเลย เป็นความพยายามสู้เพื่อไม่ให้ตัวเองเฉา ผ่านท่วงทำนองที่เข้มข้นและคลี่คลายด้วยประโยคแห่ง self-esteem ที่ว่า you are everything to someone เป็นการแลนดิ้งได้อย่างสวยงาม
อีกหนึ่งเพลงที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น Tail End เพราะได้พี่ฮิวโก้มาแจม เป็นเพลงที่ว่าด้วยสภาวะดาวน์ที่ช่างขมขื่นมากๆ แต่พอได้พี่ฮิวโก้มาช่วยเติมเต็ม ช่างเป็นความสุขุมที่ลดทอนความเปื่อย เสริมความสบายใจราวกับได้รับคำปรึกษาที่ดีจากผู้ใหญ่ เป็นการดูเอ็ทระหว่างรุ่นน้องและรุ่นพี่ที่สมศักดิ์ศรี ไม่ผิดหวัง
สนับสนุนเราผ่านการกดซื้อสินค้าอะไรก็ได้บน Shopee ผ่านลิ้งค์นี้ >>> https://shope.ee/cnxlRDFs
-มีเพลงที่พูดถึงความรักเต็มๆแค่สองเพลงเท่านั้น Kiko’s Letter ที่ให้ฟีลล่องลอย เนื้อเพลงก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าการพูดถึงการจำใจต้องปล่อยมือกับความรักที่ไม่มีทางเป็นจริงซ้ำไปซ้ำมา Love and Letting Go เพลงนี้มีแนวโน้มเป็นซิงเกิ้ลต่อไป ด้วย topic ที่คนหมู่มาก relate ถึงจะเป็นประเด็นที่ซ้ำซากก็ตาม แต่มวลรวมของเพลงช่างหนักแน่น เป็นความโรแมนติกที่ไม่เลี่ยน มีแต่ความเข้าใจและปล่อยไปให้เป็นไปตามธรรมชาติ ต่างคนต่างเติบโตดีกว่ายึดติดให้เจ็บปวด
-ปิดท้ายด้วย Welcome Change ซิงเกิ้ลที่สามอันเป็นการโอบกอดความเปลี่ยนแปลงที่เจอความเซอร์ไพร์สกันตั้งแต่น้ำเสียงโทนต่ำที่เราไม่เคยเห็นในเพลงไหนมาก่อน รวมไปถึงการทิ้ง Outro ด้วยท่วงทำนอง House Music ที่ช่วยให้มู้ดเพลงเกิดความคลี่คลายประหนึ่งเปิดประตูอ้าแขนรับแสงแห่งอรุณ แรงบันดาลใจของเพลงนี้ได้ไอเดียมาจากภาพถ่ายของพ่อแม่สมัยรักกันใหม่ๆ จนตอนนี้แยกทางกัน โดยภูมิโตมากับซิงเกิ้ลมัมเต็มๆ ผมก็อดที่จะเชื่อมโยงกับประเด็นความรักของสองแทร็คก่อนหน้าก่อนไม่ได้
-ไม่รู้ว่าแอบ relate โดยบังเอิญหรือไม่ ? แต่ที่แน่ๆมันคือเพลงปิดอัลบั้มที่ดีมากๆ รักองค์ประกอบที่ห้อมล้อมในเพลงนี้ตั้งแต่เสียงเครื่องเป่าสุดละห้อย Outro อย่างที่ได้กล่าวข้างต้น แม้กระทั่งเอ็มวีก็โคตรน่ารักจนดูซ้ำบ่อยๆ lyric มาน้อย แต่คมคายและโคตรลงล็อคกับสิ่งที่ The Greng Jai Piece ตั้งใจจะสื่ออกมา
You’ve got to be brave and welcome change. โคตรใช่เลยเว้ย มันคือประโยคปลดล็อคความเกรงใจทั้งหลายที่กั๊กให้เราไม่สามารถมูฟออนไปสู่จุดๆนึงได้ กล้าเท่านั้นที่เป็นจุดเริ่มต้น ลิสท์ไว้เป็นเพลย์ลิสท์ coming of age ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งเพลง
-ยังคงเป็นหนุ่มไทยใจอินเตอร์ที่เก่งในการสื่อสารเรื่องรอบตัวด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย แต่เพิ่มเติมด้วยผ่านการตกผลึกทางความคิดอย่างดี ฟังทีไรโคตรสบายใจ เป็นความหนักแน่นที่ผมรักมากๆ เขาไม่ใช่หนุ่ม Lover Boy ที่น่าเข้าหาเพียงมิติเดียว แต่มีความกล้าที่จะเปิดประเด็น deep conversation บนโต๊ะสนทนา
-ต่อให้บนโต๊ะนั้นจะเหลือขนมหรืออาหารเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ผมเชื่อว่าภูมิน่าจะพูดกับคู่สนทนาว่า “หยิบเลย จะมัวรออะไร?” นี่คืออัลบั้มที่พร้อมเปิดกว้างให้คุณเลือกที่จะหยิบหรือแชร์บางอย่างจนสุดท้ายแล้วไม่เหลือซึ่ง “ชิ้นเกรงใจ” อยู่บนถาดให้รู้สึกชะงักงันอีกต่อไป
ในเมื่อน้ำที่เขามีอยู่ไม่เต็มแก้วอยู่แล้ว
Give 7.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา