-แน่นอนว่าผม Don’t judge a book by its cover อยู่แล้ว จากการได้ฟังผลงานเต็มประหนึ่งการอัพเดทชีวิตของภูมิไปในตัว ผมสัมผัสได้ถึงการแคร์ความรู้สึกตัวเองได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยสมชื่ออัลบั้มเลย แต่อีกมุมนึงลึกๆ เออ เราเข้าใจนายว่ะ ไอ้ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี บางทีแม่งก็ดาบสองคม ความเสียสละเอื้อเฟื้อให้ผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดี รู้จักมารยาท แต่ก็ควรให้ถูกสถานการณ์
-Healing House ซิงเกิ้ลแรกที่เดินเครื่องด้วยโฟล์ค-เร้กเก้ แต่มีการหักมุมด้วยการขยุ้มเบส สับไปสับมาจนคาดเดาไม่ได้ เป็นการท้าทายคนฟังกันแรกเริ่มเลย เป็นความพยายามสู้เพื่อไม่ให้ตัวเองเฉา ผ่านท่วงทำนองที่เข้มข้นและคลี่คลายด้วยประโยคแห่ง self-esteem ที่ว่า you are everything to someone เป็นการแลนดิ้งได้อย่างสวยงาม
อีกหนึ่งเพลงที่น่าจับตามองคงหนีไม่พ้น Tail End เพราะได้พี่ฮิวโก้มาแจม เป็นเพลงที่ว่าด้วยสภาวะดาวน์ที่ช่างขมขื่นมากๆ แต่พอได้พี่ฮิวโก้มาช่วยเติมเต็ม ช่างเป็นความสุขุมที่ลดทอนความเปื่อย เสริมความสบายใจราวกับได้รับคำปรึกษาที่ดีจากผู้ใหญ่ เป็นการดูเอ็ทระหว่างรุ่นน้องและรุ่นพี่ที่สมศักดิ์ศรี ไม่ผิดหวัง
-มีเพลงที่พูดถึงความรักเต็มๆแค่สองเพลงเท่านั้น Kiko’s Letter ที่ให้ฟีลล่องลอย เนื้อเพลงก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าการพูดถึงการจำใจต้องปล่อยมือกับความรักที่ไม่มีทางเป็นจริงซ้ำไปซ้ำมา Love and Letting Go เพลงนี้มีแนวโน้มเป็นซิงเกิ้ลต่อไป ด้วย topic ที่คนหมู่มาก relate ถึงจะเป็นประเด็นที่ซ้ำซากก็ตาม แต่มวลรวมของเพลงช่างหนักแน่น เป็นความโรแมนติกที่ไม่เลี่ยน มีแต่ความเข้าใจและปล่อยไปให้เป็นไปตามธรรมชาติ ต่างคนต่างเติบโตดีกว่ายึดติดให้เจ็บปวด
-ปิดท้ายด้วย Welcome Change ซิงเกิ้ลที่สามอันเป็นการโอบกอดความเปลี่ยนแปลงที่เจอความเซอร์ไพร์สกันตั้งแต่น้ำเสียงโทนต่ำที่เราไม่เคยเห็นในเพลงไหนมาก่อน รวมไปถึงการทิ้ง Outro ด้วยท่วงทำนอง House Music ที่ช่วยให้มู้ดเพลงเกิดความคลี่คลายประหนึ่งเปิดประตูอ้าแขนรับแสงแห่งอรุณ แรงบันดาลใจของเพลงนี้ได้ไอเดียมาจากภาพถ่ายของพ่อแม่สมัยรักกันใหม่ๆ จนตอนนี้แยกทางกัน โดยภูมิโตมากับซิงเกิ้ลมัมเต็มๆ ผมก็อดที่จะเชื่อมโยงกับประเด็นความรักของสองแทร็คก่อนหน้าก่อนไม่ได้
-ไม่รู้ว่าแอบ relate โดยบังเอิญหรือไม่ ? แต่ที่แน่ๆมันคือเพลงปิดอัลบั้มที่ดีมากๆ รักองค์ประกอบที่ห้อมล้อมในเพลงนี้ตั้งแต่เสียงเครื่องเป่าสุดละห้อย Outro อย่างที่ได้กล่าวข้างต้น แม้กระทั่งเอ็มวีก็โคตรน่ารักจนดูซ้ำบ่อยๆ lyric มาน้อย แต่คมคายและโคตรลงล็อคกับสิ่งที่ The Greng Jai Piece ตั้งใจจะสื่ออกมา
You’ve got to be brave and welcome change. โคตรใช่เลยเว้ย มันคือประโยคปลดล็อคความเกรงใจทั้งหลายที่กั๊กให้เราไม่สามารถมูฟออนไปสู่จุดๆนึงได้ กล้าเท่านั้นที่เป็นจุดเริ่มต้น ลิสท์ไว้เป็นเพลย์ลิสท์ coming of age ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งเพลง
-ยังคงเป็นหนุ่มไทยใจอินเตอร์ที่เก่งในการสื่อสารเรื่องรอบตัวด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย แต่เพิ่มเติมด้วยผ่านการตกผลึกทางความคิดอย่างดี ฟังทีไรโคตรสบายใจ เป็นความหนักแน่นที่ผมรักมากๆ เขาไม่ใช่หนุ่ม Lover Boy ที่น่าเข้าหาเพียงมิติเดียว แต่มีความกล้าที่จะเปิดประเด็น deep conversation บนโต๊ะสนทนา