18 ก.พ. 2023 เวลา 02:03 • ศิลปะ & ออกแบบ

ชีวิตต่างแดน (6) ผมเรียนรู้อะไรจากการใช้ชีวิตในต่างประเทศ

Blockdit Originals ซีรีส์บทความพิเศษ
ผมกลับมาเมืองไทยอีกครั้งหลังจากหายไปทำงานที่สิงคโปร์ ต่อด้วยนิวยอร์กหลายปี ผมกลับเมืองไทยตัวเปล่า ไม่ได้ขนทองเต็มกระเป๋ากลับมาด้วย
1
เงินในกระเป๋าน้อยเท่าเดิม แต่สิ่งที่ได้ติดหัวมากกว่าตอนไป
1
ใช่ ผมกลับบ้านด้วยโลกทัศน์ที่กว้างกว่าตอนไปครั้งแรก จากคนหนุ่มที่ไม่รู้ประสีประสาต่อโลก เป็นคนที่เริ่มเข้าใจและมองเห็นโลกและชีวิตกว้างขึ้น
2
ผมเรียนรู้อะไรจากการใช้ชีวิตในต่างประเทศ?
คำตอบคือ หากผมไม่ได้เดินทางไปใช้ชีวิตในต่างประเทศช่วงนั้นวัยนั้น ผมคงไม่ใช่ตัวตนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เพราะต่างแดนคือเบ้าหลอมชีวิตอย่างหนึ่ง
ประสบการณ์นั้นเปิดโลกทัศน์ มุมมอง เห็นมุมอื่นๆ ของคนชาติอื่น วัฒนธรรมอื่น วิธีคิด วิธีแก้ปัญหา วิธีเรียนรู้ เหล่านี้ไม่อาจเรียนได้จากตำรา
4
ประสบการณ์ที่สองคือภาษา ผมจากเมืองไทยไปพร้อมกับโหมดแปล จะพูดจากับใครต้องคิดเป็นภาษาไทยและแปลเป็นภาษาอังกฤษ แต่หลังจากหลายปีในต่างประเทศ มันก็ปรับโหมดการใช้ภาษาเป็นคิดเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง
ผลพลอยได้ของพัฒนาการเรื่องภาษาคือเปิดโลกการอ่านอีกโลกหนึ่ง ทำให้อ่านหนังสือจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหลากหลายมาก ทั้งสิงคโปร์และนิวยอร์กอุดมด้วยร้านหนังสือ โดยเฉพาะนิวยอร์ก มีหนังสือทุกประเภทในโลก ตั้งแต่หนังสือศาสนา ปรัชญา ไปจนถึงหนังสือเซ็กซ์
2
นิวยอร์กมีร้านหนังสือมือสองหลายร้าน ผมเป็นขาประจำ ซื้อหนังสือฝรั่งต่างๆ มาอ่าน ทั้งนิยายและสารคดี หลายปีนั้นเป็นช่วงเวลาที่ผมอ่านนิยายวิทยาศาสตร์มากมายจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ อ่านสารคดีต่างๆ ทั้งตำราดูหมอไปจนถึงวิทยาศาสตร์
1
นี่ก็คือเบ้าหลอมชีวิตอย่างหนึ่ง ปูทางให้เก็บฐานข้อมูลจำนวนมากและหลากหลาย และใช้ในการทำงานสายเขียนหนังสือในกาลต่อมา
1
.................
ประสบการณ์ที่สามคือการเรียนรู้ชีวิต
2
นิวยอร์กเป็นโลกร้อยพ่อพันแม่ อาจเป็นจุดที่คนทุกชาติทุกภาษามารวมกันมากที่สุด เป็นแหล่งความรู้ ศิลปะ วัฒนธรรมของชาติต่างๆ การใช้ชีวิตในโลกร้อยพ่อพันแม่นั้นทำให้เรียนรู้เรื่องสังคมมนุษย์ เรียนรู้ว่าโลกเรามีแค่โลกเดียวกัน ชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ความเชื่อเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อย นี่ทำให้มองโลกอีกแบบหนึ่ง โลกที่ไม่มีเส้นพรมแดน โลกที่เราสร้างชุดความเชื่อต่างๆ ขึ้นมาเพื่อครอบเราเอง เมื่อเข้าใจ ก็อยู่กับคนที่แตกต่างกับเราได้
2
นี่ก็เป็นเบ้าหลอมชีวิตอีกอย่างหนึ่ง
ผมนึกไม่ออกว่าผมจะได้รับประสบการณ์และมุมมองแบบนี้ได้จากการใช้ชีวิต ณ จุดจุดเดียว ไม่ได้ออกสู่โลกภายนอกได้อย่างไร
2
ดังนั้นการเดินทางไปใช้ชีวิตต่างแดนก็คือการขุดทองแล้วพบทองจริง ไม่ใช่ทองที่เป็นวัตถุเหลืองอร่าม หากคือทองแห่งประสบการณ์และความรู้ใหม่
1
ท่อนหนึ่งของการเดินทางไปหาความรู้ยุติลง การเดินทางท่อนใหม่เริ่มขึ้น
1
.................
เมื่อกลับถึงเมืองไทย ผมไม่ได้สมัครงานตำแหน่งสถาปนิกอีก ผมเบนเข็มไปในสายพาณิชย์ศิลป์ที่ตั้งใจไว้แต่แรก คือสายโฆษณา เพราะในเวลานั้นผมเห็นว่ามันเป็นพื้นที่ให้ผมใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้มากที่สุด
1
บางสิ่งในหัวใจบอกว่า นี่คือเวลาเปลี่ยนแปลง
Now or never.
ผมเดินเข้าไปในวงการโฆษณา ทั้งที่ไม่เคยทำงานในสายนี้มาก่อน ด้วยความเชื่อว่าไฟสร้างสรรค์ในหัวจะเปิดทางให้เข้าไป
แต่สิ่งที่ผมคิดไม่ตรงกับโลกของความจริงนัก ผมเคยเชื่อว่าสามารถใช้ความรู้และทักษะฝ่าวงการใหม่เข้าไปได้ แต่ในโลกของความจริง การที่มือใหม่ที่ไม่เคยทำงานในสายนี้แทรกตัวเข้าไปสู่วงการยากกว่าที่คิด
และที่น่าแปลกใจคือวงการที่เกี่ยวข้องกับการคิดนอกกรอบที่สุดกลับยังติดมั่นถือมั่นอยู่ในกรอบของใบปริญญา
2
วันหนึ่งผมไปสมัครงานในบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผู้สัมภาษณ์ที่เป็นผู้บริหารถามผมว่า “คุณไปเมืองนอกกลับมา มีใบปริญญาโทมาหรือเปล่า?”
เมื่อตอบว่า “เปล่า” การสัมภาษณ์ก็ยุติลงเพียงเท่านั้น
1
เอเจนซีใหญ่แห่งนั้นไม่ต้อนรับคนไร้ปริญญาจากต่างประเทศ แม้ว่าคนคนนั้นเรียนหลักสูตรเดียวกัน จากโรงเรียนในต่างประเทศแห่งเดียวกัน เพียงแค่ไม่รับใบรับประกันที่เรียกว่าปริญญาหนึ่งใบ
1
สองปีต่อมาหลังจากการสัมภาษณ์ครั้งนั้น ผมก็ได้รับรางวัลงานโฆษณาชิ้นแรก หลังจากแทรกตัวเข้าไปในวงการนี้จนได้ โดยไม่มีใบปริญญาเบิกทาง
1
พิสูจน์ว่ายังมีคนที่เชื่อเหมือนผมว่า โลกทัศน์และความรู้ไม่จำเป็นต้องมาพร้อมใบปริญญาบัตร
4
ผมทำงานในเอเจนซีขนาดเล็ก ซึ่งการสัมภาษณ์ไม่พูดเรื่องใบปริญญา คุยแต่เรื่องประสบการณ์ของการใช้ชีวิตที่ผ่านมา
นามบัตรของเอเจนซีนี้ไม่พิมพ์ตำแหน่ง ไม่พิมพ์ปริญญาใด
โชคดีที่ในโลกนี้ยังมีคนคิดอย่างนี้
1
ไม่กี่ปีต่อมา เมื่อผมก้าวขึ้นสู่ระดับผู้บริหาร และยืนอยู่บนจุดที่ต้องสัมภาษณ์รับเด็กใหม่ ผมไม่เคยขอดูใบปริญญาและเกรด
2
“Show me what you can do.”
4
ในมุมมองของผม ปริญญาไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
1
ผมเชื่อเสมอว่าการเรียนไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในห้องเรียน ไม่จำเป็นต้องผ่านมหาวิทยาลัย
1
.................
ไม่กี่เดือนหลังจากผมกลับมาทำงานในเมืองไทย ผมรู้สึกว่าเวลาในเมืองไทยยาวผิดปกติ ทั้งที่โลกก็ไม่ได้หมุนช้าลง
มันคงเป็นสิ่งที่ไม่เคยชินและยังปรับตัวไม่ได้ หลังจากทำงานในต่างประเทศหลายปี ผมพบว่าโลกของการทำงานในเมืองไทยเชื่องช้ามาก ผู้คนดูเหมือนจะเดินชีวิตแบบสบายๆ ไม่รีบร้อน เสร็จงานเมื่อไรก็เมื่อนั้น ภาพคนอยู่สำนักงานดึกๆ ทำงานล่วงเวลา เป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นตอนทำงานที่ต่างประเทศ
2
ผมทำงานเร็ว จึงเลิกงานตรงเวลา จึงไม่เห็นว่าทำไมต้องอยู่ดึกกัน
1
ผมสัมผัสจากสายตาของคนอื่นว่า การก้าวออกจากออฟฟิศเมื่อถึงเวลาเลิกงานคือ 17.00 น. เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างหนึ่ง!
4
ในฐานะหนุ่มโสด ผมใช้เวลาหลังเลิกงานในร้านหนังสือบ่อยๆ แต่พบว่าไม่มีหนังสืออะไรให้อ่านอีก เพราะอ่านมาหมดแล้ว
2
‘ชีวิตต่างแดน’ ของผมดำเนินต่อไป แม้จะกลับมาเมืองไทยแล้ว
1
ชีวิตต่างแดนไม่จำเป็นต้องเป็นการใช้ชีวิตในประเทศอื่นๆ การไปต่างแดนไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องการท่องเที่ยว แต่คือการออกจาก comfort zone การเข้าไปในพื้นที่ใหม่ๆ ที่ไม่เคยไป เข้าไปสู่สายงานที่ไม่เคยทำ รวมไปถึงการอ่านหนังสือใหม่ๆ การเรียนวิชาใหม่ๆ การขบคิดเรื่องที่ไม่รู้ ก็ล้วนเป็นการใช้ชีวิต ‘ต่างแดน’
3
ผมเข้าๆ ออกๆ ระหว่าง comfort zone กับ ‘ต่างแดน’ มากครั้งกว่าที่คาด
หลังจากเรียนโดยไม่เอาปริญญาในนิวยอร์ก ผมก็ดำเนินแนวทางนี้ต่อไป ตลอดมาจนถึงวันนี้
อยากรู้อะไรก็เรียนเอง จากแหล่งความรู้ต่างๆ
2
ผมพบว่าชีวิตในแต่ละท่อนแต่ละช่วงเปลี่ยนไป บางเรื่องก็ถูกทิ้งไป แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ควรทิ้งเด็ดขาดก็คือการไม่หยุดแสวงหาความรู้
2
ผมโชคดีที่โตในครอบครัวที่เห็นความสำคัญของการเรียน มันฝังในสายเลือด
หลังจากกลับจากต่างประเทศ ผมยังคงอ่านหนังสือภาษาอังกฤษในศาสตร์ต่างๆ ที่ผมไม่รู้มาก่อน ล้วนเป็นสาขาวิชาที่ผมไม่เคยคิดจะอ่านมาก่อน เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา พันธุกรรมศาสตร์ ดาราศาสตร์ จักรวาลวิทยา ศาสนา ปรัชญา ฯลฯ ยิ่งอ่านก็ยิ่งพบว่าศาสตร์ทั้งหลายเกี่ยวร้อยกัน
2
ผมอ่านตำราเองแทบทุกสายโดยไม่ต้องผ่านห้องเรียน ผมอ่านจักรวาลวิทยาตั้งแต่ไม่รู้อะไรเลย จนพอเข้าใจ อ่านทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นสิบๆ เล่ม จนมองเห็นภาพ อ่านเรื่องศาสนา ปรัชญา ฯลฯ
4
จนถึงจุดจุดหนึ่ง เมื่อมองทุกอย่างในภาพรวม ก็สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของวิชาต่างๆ หลายคำถามที่ผมตั้งไว้ตอนเด็กก็พบคำตอบ หรืออย่างน้อยก็ชัดเจนขึ้น เข้าใจโลก ชีวิต และจักรวาลดีขึ้นกว่าเดิม
1
การอ่านสะสมเหล่านี้ยังช่วยในเรื่องข้อมูลพื้นฐานที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตนักเขียนในกาลต่อมา
1
ผมพบว่าความรู้ทั้งหมดที่ผมเลือกเรียนมา ทั้งจากห้องเรียนกลางคืนกับที่เรียนเอง ล้วนช่วยสร้างผมขึ้นมา วิธีคิด มุมมอง โลกทัศน์
1
วันหนึ่งบางสิ่งในหัวใจก็บอกให้ผมจับปากกาขึ้นมาเขียนหนังสือ ผมอยากเขียนเรื่องสั้นที่ผมอยากอ่าน แต่ไม่มีในร้านหนังสือ
1
เป็นก้าวแรกสู่โลกนักเขียน
ดูเหมือนว่ายังมีไฟอีกกองหนึ่งที่รอให้ผมราดเชื้อเพลิงลงไปให้ลุกโพลง
.................
ช่วงที่เรียนสถาปัตย์ฯ ผมเคยเป็นนักเขียนการ์ตูนเล่มละบาท มันเป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะต้องแต่งเรื่องด้วย
1
แน่ละ เรื่องที่แต่งในช่วงนั้นยังห่างไกลจากงานมาตรฐาน แต่มันก็ทำให้เรียนรู้วิธีการเล่าเรื่อง การคิดพล็อต
ดังนั้นเมื่อมาเริ่มเขียนนิยายมาตรฐานอย่างเป็นทางการ ต้องมีพล็อต มีบทสนทนาที่สมจริง ก็ไม่รู้สึกเหมือนคนเริ่มต้นตั้งไข่
จุดเดียวที่ยังใช้การไม่ได้คือภาษา
แต่ก็เช่นเดียวกับการวาดรูป ไม่มีใครใช้พู่กันเป็นตั้งแต่วันแรก ต้องฝึกๆๆๆ จนกระทั่งเข้าที่
1
ผมใช้เวลาฝึกเรื่องภาษาราวยี่สิบปีจึงรู้สึกว่าพอคุมได้ ผ่านไปสามสิบปี จึงรู้สึกเหมือนกำลังเริ่มเป็นนายของภาษา
โชคดีที่ผมไม่ได้รีบไปไหน เขียนไปเรื่อยๆ
ในช่วงแรกผมฝึกงานเขียนแบบ plot-based เป็นหลัก โดยเขียนงานหักมุมจบ โดยใช้งานของปรมาจารย์ โอ. เฮ็นรี กีย์ เดอ โมปาสซังก์ ปกรณ์ ปิ่นเฉลียว ฯลฯ เป็นมาตรวัด
หลังจากพอคุมงานแบบ plot-based ได้ ก็เริ่มเขียนงานแนว ‘วรรณกรรมจ๋า’ เป็นความท้าทายอีกแบบหนึ่ง
‘วรรณกรรมจ๋า’ คือเรื่องสั้นและนวนิยายที่ลุ่มลึกกว่านิยายเริงรมย์ทั่วไป
ผมสนุกกับการแต่งสั้นนี้มาก รู้สึกว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็เก็บไว้ในลิ้นชัก ไม่กล้าให้ใครอ่าน อาจเพราะอาการ Inferiority Complex กำเริบ
1
ผ่านไปช่วงหนึ่ง เมื่อมีงานในมือหลายเรื่อง ผมลองส่งเรื่องสั้นที่เขียนไปที่นิตยสารบางฉบับ ส่วนใหญ่ลงตะกร้า
2
ทว่ามีเรื่องสั้นหนึ่งที่หลุดรอดเข้าไปในวงการ นั่นคือเรื่องสั้นหักมุมจบชื่อ ไฟ (ต่อมารวมในชุด สมุดปกดำกับใบไม้สีแดง) มันปรากฏตัวเงียบๆ บนหน้านิตยสารอิมเมจ ฉบับเดือนมิถุนายน 2534
2
เป็นเรื่องสั้นผ่านเกิดเรื่องแรก
1
ทำเอานอนไม่หลับไปหลายคืน เพราะความตื่นเต้น ทำให้นึกถึงครั้งที่ผมเห็นงานการ์ตูนเล่มละบาทของผมบนแผงหนังสือ
มองด้วยสายตานักเขียนอาชีพสามสิบปีหลัง ผมพบว่า ไฟ ไม่ใช่เรื่องสั้นดีที่สุดที่เคยเขียน แต่มันฉายภาพความตั้งใจของคนเขียน และความคิดสร้างสรรค์ในระดับหนึ่ง
2
การที่เรื่องสั้นได้รับการตีพิมพ์เป็นตัวจุดประกายให้ขุดความคิดสร้างสรรค์ที่ฝังอยู่ออกมาในรูปอักษร
ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ ผมเขียนหนังสือทุกวัน มันกลายเป็น passion ฝังในวิญญาณ
1
อีกครั้งโลกของผมเปลี่ยนไป
2
(สัปดาห์หน้าอ่านประสบการณ์ในโลกหนังสือ)
2
โฆษณา