18 ก.พ. 2023 เวลา 11:48 • บันเทิง

you are not a monster, you just need help!

หลังผ่านวันแย่ๆ
วันรุ่งขึ้น พยายามฮึดแค่ไหน
เหมือนต้นข้าวที่ล้มด้วยแรงลมฝนเมื่อคืนก่อน
พยายามดันตัวเองขึ้นมา…ไม่สำเร็จ
วันใหม่เริ่มต้นอย่างริบหรี่
หลอมใจอย่างไรก็ไม่ขึ้นเป็นรูปทรง
ไม่มีแม้แต่ความหวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้น
ทว่างานที่ตั้งไว้ ก็สัมฤทธิ์ผลได้ด้วยฝีมือเพื่อนและน้องร่วมทีม
ขอบคุณมาก ไม่รู้ว่าออกเสียงไปมากแค่ไหน แต่ในใจชัดแจ่ม
“Because you are not a monster, you need help and I’m coming”

Peter , Your Place Or Mine
บางครั้ง ก็แค่บอกว่าต้องการความช่วยเหลือ
หรือเช่นเดียวกับที่เด๊บบี้ นางเอก และเราเจอก็คือ ไม่ได้บอก
แต่มีคนมองออกว่าต้องการความช่วยเหลือและยื่นมือเข้ามาทันที
ทำให้เราเข้าใจว่า นี่แหละที่เราต้องการ
ที่น่ากลัวคือ ดูเหมือนเราไม่กล้าแม้แต่ยอมรับว่าอยู่ในสภาพนั้น
และไม่รู้เลยว่ามีคนพร้อมยื่นมือช่วยเหลือ
แล้วก็ทุกข์ทน
บอกว่าโอเค แต่ไม่เคยโอเค ทั้งที่รู้สึกไม่โอเค
ความรู้สึกกับความเป็นจริง หลายครั้งก็เป็นคนละเรื่อง
ส่วนเรื่องหนัง Your Place Or Mine
เป็นโรแมนติกคอมเมดี้ที่นำแสดงโดย Reese Whitherspoon
และ Ashton Kutcher
ใช่ค่ะราชินีรอมคอมและหนุ่มในฝันของหญิงทั้งโลกในยุคสองพัน
เปิดเรื่องด้วยการย้อนยุคแบบ Y2K กับความรู้สึกแบบฉับพลัน
รักหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าเร่าร้อนในช่วงวันวัยไฟฝัน
แต่จบอย่างรวดเร็ว ทันควัน
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินบนเส้นทางของตนเองกว่า 20 ปี
แต่ในช่องคู่ขนานก็มีเส้นมิตรภาพเชื่อม ด้วยการวิดีโอคอลหากันทุกวัน
เล่าเรื่องโน้นนี้คล้ายคุยกันทุกอย่าง
เป็นความสัมพันธ์ระยะไกล
แต่ก็ดูใกล้ชิด
และเข้าอกเข้าใจมากกว่าความสัมพันธ์อื่นๆ ที่ทั้งคู่มี
ทว่า กว่าเราจะได้อยู่ในพื้นที่ของกันและกันจริงๆ ละมั้ง
ถึงจะเข้าใจได้ว่าทั้งตัวเอง และอีกฝ่าย รู้สึกอย่างไร
รู้ว่าสิ่งที่คิดว่ารู้ หรือเข้าใจ ก็อาจจะทั้งไม่รู้ และไม่เข้าใจ
หรืออย่างน้อยก็เปิดใจยอมรับทั้งตัวเองและคนอื่นสักที
Your Place Or Mine
ไม่ใช่หนังที่แนะนำว่าต้องดู
ดูแล้วไม่ได้มีอะไรซับซ้อน
แต่ที่ช้อนใจเราได้
ซึ่งอาจใกล้เคียงกับหนังโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องอื่นๆ ก็คือ
เสียงเพลงที่ดัง
และถ้อยคำที่ซัดตรงเข้ามาที่ใจ
อาจจะดูเหมือนรำพึงรำพัน แต่ว่ารันซึ้งถึงแก่น
“Because you are not a monster, you need help and I’m coming”

เธอไม่ใช่ปีศาจ เธอแค่ต้องการความช่วยเหลือ และฉันก็กำลังไปช่วย
จบนะ
มีประโยคอื่นอีกแหละ รวมทั้งกลวิธีจัดการชีวิตแบบใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง
แต่ว่าเราจำประโยคนี้ขึ้นใจทันทีที่ได้ยิน
อีกเรื่องที่โดนใจเราเองก็เป็นการตัดสินใจเลือกทางชีวิต
ตามสถานการณ์มากกว่าตามใจตัวเอง
ทั้งที่รู้ว่าไม่มีความสุข แต่ก็มักจะแก้ตัวแก้ใจว่าเพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข
หรือนั่นคือทางที่ดีที่สุดแล้ว
ทั้งที่ผ่านไปอีกยี่สิบปี ความฝันเดิม หรือสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็ยังคงเดิม
แต่มัวทำอย่างอื่นอยู่
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด หรือด้วยนิสัยที่ไม่เสี่ยง
แบบ “I don’t take chances.”
อย่างที่ Debbie หรือนางเอกกล่าว
ในหนังหรือละคร มีตอนที่จังหวะชีวิตพลิก ช่วงเวลาผันให้ตัดสินใจใหม่
แต่ในชีวิตจริงมีหรือไม่ และเราจะทำเช่นไร
ไม่ต้องตอบหรอก ทำสักที
ป.ล.
1.เพลงของ The Cars ที่พระเอกชอบรวมถึงอีกหลายศิลปิน
ก็ขับเคลื่อนทั้งตัวเรื่องและการรำลึกถึงท่วงทำนองวัยรุ่นของเราได้ดี
2.แน่นอนว่าสิ่งยึดเหนี่ยวคนดูหนังยุคสองพัน ได้เห็นรีสกับแอชตันในหนังคอมเมดี้ยุคนี้
เซอร์ไพรส์กับการคัมแบ็ก แน่นอนว่าร่องรอยแห่งวัยชัด แต่ที่ชัดกว่าคือยิ่งดูแล้วทั้งคู่
ก็ยังมีเสน่ห์แบบที่เราหลงมาตั้งแต่วัยรุ่นนั่นล่ะ ;)
โฆษณา