18 ก.พ. 2023 เวลา 17:12 • ไลฟ์สไตล์
ผมชอบคำกล่าวที่ว่า
“ชีวิตจะไม่เป็นไปอย่างที่คิด
 
แต่ชีวิตจะเป็นไปอย่างที่ทำ!”
และ
“Hope for the best and be prepared for the worst.”
1
Maya Angelou,
1) ผมลองพิจารณา “ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดกับการลงมือทำ” แบบง่ายๆดังนี้ครับ
i) คิดลบ & ทำลบ:
อันนี้ผลจะออกมาเป็นบวกคงยาก
1
ii) คิดบวก & ทำลบ:
อันนี้เปรียบเหมือนคนที่อยากลดน้ำหนัก เลยไปซื้อตำราลดน้ำหนัก
และ “ดู” ช่อง Youtube ที่สอนการออกกำลังกายแบบ “HIIT” ที่มาจากชาว Fitness ระดับ Celebrity
แต่ “ไม่เคยลงมือออกกำลังกาย” เลย!
1
iii) คิดลบ & ทำบวก:
อันนี้คือ “pessimism” หรือคนที่มองโลกในแง่ร้าย
แต่คนลักษณะนี้ กลับใช้ “พลังความคิดด้านลบ” เพื่อพลักดันชีวิตโดยการ “ลงมือทำ” ในสิ่งที่ “สร้างสรรค์” โดยใช้ “ปัญญาแก้ปัญหา” ที่มาจากความคิด “ลบๆ” นั้น!
คล้ายๆกับ
“คนที่ใส่หมวกกันน็อกหรือคาดเข็มขัดนิรภัย หรือคนที่ใส่ชุด PPE (personal protective equipment)”
คนลักษณะนี้ ไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน เพราะ “คิด” ว่ามันจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นแน่ๆ
แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาและเธอ “ไม่รู้” ว่ามันจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่
จึงได้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน เป็น “การทำบวก” จาก “ความคิดลบ” ที่ว่า “โอกาสในการเกิดอุบัติเหตุนั้นมีความเป็นไปได้”
2
และนั่นจึงทำให้พวกเขาและเธอ “ปลอดภัย”
iv) คิดบวก & ทำบวก:
อันนี้ผมขอสรุปด้วยคำกล่าวที่ว่า
“Things turn out best for the people who make the best of the way things turn out.”
John Wooden,
และ
ผมยังชอบคำกล่าวของท่านอดีต CEO ของ “Intel” ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
“Bad companies are destroyed by crises; good companies survive them; great companies are improved by them.”
Andy Grove,
ลองจินตนาการดูสิครับว่า
ตอนที่ “สองพี่น้องตระกูล Wright” กำลังงประดิษฐ์ “เครื่องบินต้นแบบ” ขึ้นใน “ร้านจักรยาน” ของพวกเขา
หรือ
ตอนที่ Steve Jobs กับ Steve Wozniak
กำลังช่วยกันสร้างเครื่องต้นแบบของ “Apple” ใน “โรงจอดรถเก่าๆ” ในเขต
Palo Alto ที่ว่ากันว่าเป็น
“The Birthplace of Silicon Valley”
ไม่ว่าพวกท่านเหล่านั้นจะ “คิด” บวกหรือลบ
แต่สิ่งที่เป็น “ผล” จากการกระทำ หรือ “กรรม” สามารถพิสูจน์ได้ว่า เป็นการ
“ทำบวก”
2) แน่นอนครับว่า
ความเชื่อโยงระหว่าง “ความคิด” และ “การลงมือทำ” นั้น ย่อมมีอยู่
และนี่เองที่ “แรงจูงใจ” หรือ “ใจที่บันดาลแรง” ให้ “ลงมือทำ” นั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญ
1
ผมขอมอบ “สมการ” ที่ผมคิดค้นขึ้นจากประสบการณ์ตรงของผม ที่เป็นแหล่งกำเนิดแห่ง “แรงบันดาลใจ” ให้ใน post นี้ ของผมครับ
3) “Thinkers VS Doers”
3.1) ผมมองว่า
มันมีทั้ง thinkers กับ doers ครับ แต่ thinkers นั้น อาจจะคิดอย่างเดียวโดยไม่ต้องลงมือทำ ส่วน doers นั้นทำแน่ๆขึ้นอยู่กับว่าต้องคิดเองทั้งหมดหรือมีคนคิดให้ พูดง่ายๆคือ doers สามารถสวมบท thinkers ในเวลาเดียวกันได้ด้วย
3.2) ข้อดีของการเป็น doers คือ เขาจะมีประสบการณ์จากการลงมือทำ และเขาสามารถนำข้อมูลจากประสบการณ์นั้น feedback กลับไปสู่กระบวนการคิด ณ เวลาที่เขาสวมบท thinkers ได้ด้วย ซึ่งถ้าข้อมูลถูก updated เขาสามารถคิดได้ดีขึ้น นั่นคือ เขาจะเป็น better thinkers ต่อไปครับ
3.3) ภาพยนตร์เรื่อง Captain Phillips สร้างจากเรื่องจริงเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วครับ เขาถูกจับเป็นตัวประกันโดยโจรสลัดสามคน แน่นอนว่า thinkers หลายๆท่านคิดเหมือนกันว่า ควรจะส่ง “ใคร” ไปช่วยกัปตันออกมาจากสถานการณ์นั้น
“ใคร” ที่ว่าคือ doers และ doers ในกรณีนี้คือ หน่วยสงครามพิเศษที่มีชื่อว่า SEALs เขาใช้พลแม่นปืน (snipers) สามคน เล็งสามเป้าหมายในเวลาเดียวกัน เข้าใจว่าเรียกว่า synchronised shooting โดยเป็นการยิงในเวลากลางคืน มีคลื่นลม เพราะเป้าหมายอยู่ในเรือกลางทะเล และพลาดไม่ได้ เพราะถ้าพลาด โจรสลัดที่รอดจะจัดการกัปตันทันที
ครับ นายทหารหน่วยนี้ neutralised threats ทั้งสามได้โดยการเหนี่ยวไกพร้อมกันเพียงจังหวะเดียว!
4) “Take responsibility with your life”
คุณเคยได้ยินสมการนี้มั้ยครับ
O = S + A
O: Outcome
S: Situation
A: Action
คือผมมองว่าไม่ว่าคุณจะเป็นโรคซึมเศร้าหรือสอบตกหรือนำ้หนักเกินหรือมีหนี้สิน ฯลฯ ซึ่งในสมการด้านบนคือ Outcome คุณมีหน้าที่ หรือ responsibility ที่จะจัดการ หรือ Action ในสมการด้านบน เพื่อที่จะบริหารจัดการ (crisis management) กับสถานการณ์ในชีวิตของคุณ ซึ่งก็คือ Situation ในสมการด้านบนนั่นเอง
2
พูดง่ายๆคือ คุณอาจเลือกที่จะเจอกับ Situation ไม่ได้ แต่คุณเลือกที่จะจัดการโดย Action ของคุณ เพื่อให้ได้ Outcome ที่จะนำพาชีวิตคุณและคนที่มีค่าต่อคุณไปในเส้นทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่เลวลง!
1
5) เมื่อคุณอยากเดินทางออกจาก
“comfort zones”
6) เมื่อคุณเผชิญหน้ากับ “อุปสรรค”
7) เมื่อคุณอยากที่จะ “คิด” ให้ดีขึ้น
8) เมื่อคุณเผชิญความผิดพลาด
โฆษณา