21 ก.พ. 2023 เวลา 03:02 • ประวัติศาสตร์

“สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War)”

“สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง (First Sino-Japanese War)” เป็นเหตุการณ์สำคัญที่หลายคนอาจจะไม่รู้
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สำคัญก่อนจะไปสู่ "สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง (Second Sino-Japanese War)" โดยสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นในปีค.ศ.1894 (พ.ศ.2437) อาจจะเรียกว่าเป็นก้าวแรกที่ญี่ปุ่นแสดงความมั่นใจในตนเองให้นานาชาติเห็น
1
เหตุการณ์นี้ถึงแม้จะไม่ค่อยมีคนรู้และพูดถึงนัก แต่ก็เป็นเหตุการณ์สำคัญและเป็นครั้งแรกๆ ที่ญี่ปุ่นได้ลิ้มรสชัยชนะและเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพตน
2
เรื่องราวเป็นอย่างไร ลองมาดูกันครับ
ที่ผ่านมานับร้อยปี ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่ปิดประตูสู่โลกภายนอก มีกองทัพเป็นกำลังหลักในการปกครอง ไม่สนใจเรื่องราวของโลกภายนอก
แต่เมื่อมาถึงศตวรรษที่ 19 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ระบอบโชกุนและซามูไรกำลังถูกคลื่นแห่งความทันสมัยและโลกตะวันตกเข้ามาแทนที่ และเมื่อญี่ปุ่นเริ่มลืมตามองโลกภายนอกในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นก็ตระหนักถึงภัยคุกคามจากชาติมหาอำนาจอื่นๆ
1
ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นก็ถูกบีบบังคับให้เปิดประเทศ และญี่ปุ่นก็ตระหนักว่าหากตนต้องการจะยืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างสง่าผ่าเผยและปลอดภัย ตนก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองสู่ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ
1
“การฟื้นฟูเมจิ (Meiji Restoration)” นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เปลี่ยนญี่ปุ่นสู่ความทันสมัยในชั่วข้ามคืน และเมื่อญี่ปุ่นปรับตัวเองสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นก็เริ่มจับตามองไปยังประเทศหนึ่ง
"เกาหลี"
ที่ผ่านมา เกาหลีนั้นอยู่ใต้อำนาจของจีน หากแต่เกาหลีในเวลานั้นก็ยังอ่อนแอและล้าหลัง ไม่สามารถปรับตัวเองสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรม
ญี่ปุ่นกังวลว่าเกาหลีอาจจะตกเป็นเป้าของมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งที่ผ่านมา กองเรืออเมริกันก็เคยบุกเข้ามาในญี่ปุ่น บังคับให้ญี่ปุ่นต้องเปิดประเทศ
ทำไมเหตุการณ์เดียวกันจะเกิดกับเกาหลีไม่ได้ล่ะ?
ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจตะวันตก หากต้องการจะขยายอำนาจเข้าไปในเกาหลี ก็สามารถทำได้ไม่ยากเลย
ญี่ปุ่นเกรงว่าหากเกาหลีตกอยู่ใต้อำนาจของชาติมหาอำนาจอื่น ก็ย่อมเป็นภัยแก่ตน ซึ่งที่ผ่านมา ฝรั่งเศสก็เพิ่งจะยึดครองอินโดจีน และความสำเร็จของฝรั่งเศสก็ทำให้ญี่ปุ่นนั่งไม่ติด
หากฝรั่งเศสหรือประเทศใดก็ตามยึดครองเกาหลี ก็อาจจะใช้เกาหลีเป็นฐานในการรุกรานดินแดนอื่นต่อ ซึ่งนั่นก็รวมถึงญี่ปุ่นด้วยที่อาจจะเป็นเป้า และญี่ปุ่นจะยอมไม่ได้เด็ดขาด
หากญี่ปุ่นต้องการจะอยู่อย่างปลอดภัยและมั่นคง ก็ต้องทำให้เกาหลีเป็นพันธมิตรกับตน หรือถ้าให้ดีกว่า ก็คือให้เกาหลีตกเป็นของญี่ปุ่นเลย
เกาหลีนั้นอยู่ใกล้ญี่ปุ่นมาก และญี่ปุ่นก็ต้องการจะขยายอำนาจเข้าไปในเกาหลี
1
ในปีค.ศ.1894 (พ.ศ.2437) ได้เกิดเหตุกบฏขึ้นในเกาหลี ทำให้ญี่ปุ่นมีข้ออ้างในการเข้าแทรกแซงเกาหลี โดยในเวลานั้น กองทัพชาวนาในเกาหลีได้ลุกฮือขึ้นก่อจลาจล สร้างความวุ่นวายไปทั่วในแถบชนบทของเกาหลี
เกาหลีได้ขอความช่วยเหลือจากจีน ซึ่งจีนก็ได้ส่งกองทัพเข้ามาในเกาหลีเพื่อช่วยปราบปรามกลุ่มกบฏ
ญี่ปุ่นก็ส่งกองทัพเข้ามาโดยอ้างว่าต้องการจะช่วยปราบปรามกลุ่มกบฏเช่นกัน โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เข้ามาถึงเจมุลโพ ประเทศเกาหลี เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ.1894 (พ.ศ.2437)
ในไม่ช้า กองทัพกบฏซึ่งถูกทั้งกองทัพจีนและกองทัพญี่ปุ่นโจมตี ก็ถึงคราวต้องล่มสลาย และภายหลังการปราบปรามกบฏ ทั้งเกาหลีและจีนก็เรียกร้องให้กองทัพญี่ปุ่นออกไปจากเกาหลี
แต่แทนที่จะถอนทัพ ญี่ปุ่นกลับส่งข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลเกาหลี ต้องการให้เกาหลีปฏิรูปและเป็นดินแดนใต้อารักขาของญี่ปุ่น
แน่นอนว่าเกาหลีได้ปฏิเสธ กองทัพญี่ปุ่นจึงมุ่งไปยังกรุงโซล และจัดตั้งรัฐบาลของตนเอง
ภายหลังจากญี่ปุ่นตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดของตนแล้ว จีนภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิงก็เดือดดาลเป็นอย่างมาก และไม่ยอมปล่อยเกาหลีไปหาญี่ปุ่นง่ายๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ สงครามจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้
กองทัพจีนนั้นมีจำนวนมากกว่าญี่ปุ่นเกือบสามเท่า หากแต่ในไม่ช้า กองทัพจีนก็รู้ตัวว่าญี่ปุ่นนั้นไม่ใช่ชาติที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ
กองทัพญี่ปุ่นใช้ยุทธวิธีการรบที่ทันสมัย พร้อมด้วยกองเรือที่เกรียงไกร และการโจมตีที่รุนแรงห้าวหาญ ซึ่งความห้าวหาญของญี่ปุ่นก็ได้สร้างความตระหนกตกใจให้แก่จีน
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกคำสั่งให้กองทัพเร่งปราบปรามกองทัพจีนในเกาหลีโดยเร็ว ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นก็ได้มุ่งหน้าขึ้นเหนือ และบดขยี้กองทัพจีนที่เมืองอาซัน ทำให้กองทัพจีนต้องล่าถอย
กองทัพจีนได้ล่าถอยไปถึงแม่น้ำยาลู ซึ่งอยู่ทางเหนือของเกาหลี (เกาหลีเหนือ) และได้ตั้งค่ายขนาดใหญ่ขึ้น
หากแต่ญี่ปุ่นก็อาศัยความมืดในเวลาค่ำคืน บุกเข้ามาใต้จมูกกองทัพจีน และทำให้ค่ายแตกจนกองทัพจีนต้องล่าถอยไปอีก
จากนั้น ญี่ปุ่นก็เริ่มบุกแมนจูเรียอย่างจริงจัง
1
กองทัพจีนได้พยายามจะลุกขึ้นสู้กลับ หากแต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ญี่ปุ่นทุกครั้ง โดยญี่ปุ่นสามารถคว้าชัยเหนือจีนได้ทั้งทางบกและทางน้ำ
ในเวลาไม่กี่เดือน ญี่ปุ่นก็สามารถไล่กองทัพจีนออกไปจากเกาหลี อีกทั้งกองทัพญี่ปุ่นก็กำลังเริ่มบุกเข้าไปยังแมนจูเรีย หากแต่ญี่ปุ่นยังไม่ได้พอใจแค่นี้
เมื่อเห็นถึงความอ่อนแอของกองทัพจีน กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่รอช้า เริ่มวางแผนการที่จะเข้ายึดครองไต้หวันและหมู่เกาะต่างๆ ที่เชื่อมทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และจีน
ความสำเร็จของญี่ปุ่น ทำให้ราชวงศ์ชิงซึ่งปกครองจีนต้องยอมเจรจาสันติภาพกับญี่ปุ่น โดยมีการทำสนธิสัญญาระหว่างสองชาติ ทำให้เกาหลีเป็นอิสระจากจีน หากแต่ก็อยู่ใต้อำนาจของญี่ปุ่น
นอกจากนั้น ญี่ปุ่นยังได้รับไต้หวัน คาบสมุทรเหลียวตง และหมู่เกาะเผิงหู มาครอบครองอีกด้วย
ภายในเวลาไม่ถึงสองปี ญี่ปุ่นก็ได้แผ่อิทธิพล ขยายอำนาจเข้าไปในพื้นที่กว้างใหญ่ โดยสนธิสัญญาที่ทำให้สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่งจบลง ก็คือ "สนธิสัญญาชิโมโนเซกิ (Treaty of Shimonoseki)"
ทั่วโลกต่างตื่นตะลึงและอดที่จะยกย่องกับความเก่งกาจของญี่ปุ่นไม่ได้ หากแต่ในเวลาต่อมา กลุ่มมหาอำนาจตะวันตกก็ได้บีบให้ญี่ปุ่นยอมยกคาบสมุทรเหลียวตงคืนแก่จีน เนื่องจากมหาอำนาจตะวันตกนั้นมีผลประโยชน์ในคาบสมุทรเหลียวตง และญี่ปุ่นก็ตระหนักดีว่าตะวันตกยังคงมีอำนาจมาก และก็จ้องจะเข้ามาแทรกแซงเอเชีย
สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์
ญี่ปุ่นตระหนักดีว่าจีนและเกาหลีกำลังอยู่ในช่วงที่อ่อนแอ จึงอาศัยจังหวะนี้ในการขยายอำนาจ และรัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่บีบให้ญี่ปุ่นต้องยกคาบสมุทรเหลียวตงคืนแก่จีน ก็คือเป้าหมายต่อไปของญี่ปุ่น
และสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่ง ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะชนะ แต่ญี่ปุ่นก็ยังคงรู้สึกค้างคา
2
ญี่ปุ่นนั้นพิชิตราชวงศ์ชิงได้อย่างง่ายดาย ทำให้ญี่ปุ่นคิดว่าตนนั้นน่าจะได้มากกว่านี้ และด้วยความคิดนี้เอง ทำให้ในเวลาต่อมาในยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) ญี่ปุ่นก็ได้รุกรานจีนอีกครั้ง
เรียกได้ว่าสงครามนี้เป็นจุดเริ่มต้นความอหังการของญี่ปุ่น และเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญในเอเชียเลยทีเดียว
โฆษณา