22 ก.พ. 2023 เวลา 02:45 • ประวัติศาสตร์

"งักฮุย" ยอดแม่ทัพกตัญญูและภักดีแห่งราชวงศ์ซ่ง

งักฮุย เกิดที่เหอหนาน บ้างก็ว่าเป็นลูกชาวนา บ้างก็ว่าเป็นลูกเศรษฐี แต่เขาต้องกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังเล็กเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่จากเขื่อนกั้นแม่น้ำเหลืองแตก ในครั้งนั้น พ่อของเขาเอาแม่และเขาใส่โอ่งใบใหญ่ล่องไปตามกระแสน้ำเชี่ยวหนีตาย
แม้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ชีวิตที่พลิกผันก็ทำให้เขาก็ไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนหนังสือในโรงเรียนเฉกเช่นคนอื่น โชคดีที่แม่ของเขาใส่ใจคอยสั่งสอนและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเอาผืนทรายแทนกระดาษ และกิ่งไม้แทนดินสอและปากกา รวมทั้งปลูกฝังจริยธรรมอันดีมากมาย โดยเฉพาะความรักและกตัญญูต่อชาติ
ต่อมา งักฮุยยังได้อาจารย์ดีถ่ายทอดและฝึกสอนวิทยายุทธให้จนเก่งกาจในอาวุธทั้ง 18 ชนิด ท่ามกลางความแตกแยกวุ่นวายของบ้านเมือง งักฮุยจึงตัดสินใจสมัครเป็นทหารรับใช้ชาติ
แต่ก่อนงักฮุยจะไปรับราชการทหารนั้น มารดาของเขาได้สักตัวอักษรจีนไว้ที่แผ่นหลังของเขาว่า “จิ้นจงเป้ากั๋ว” หรือแปลว่า “จงรักภักดีต่อประเทศชาติ” โดยเจตนาเขียนไม่ครบทุกเส้น และบอกว่าเมื่องักฮุยช่วยกอบกู้ชาติให้เป็นปึกแผ่นได้แล้วจะมาเขียนต่อให้
เมื่อเข้ารับราชการทหาร ก็ถูกตาต้องใจแม่ทัพใหญ่ที่ดึงเอางักฮุยมาใช้งานและกลายเป็นขุนพลคู่ใจในเวลาต่อมา ห้วงเวลานี้ทำให้เขาได้ซึมซับกลศึกและวิธีบริหารจัดการไพร่พลในกองทัพ ครั้นเมื่อแม่ทัพคนเดิมเสียชีวิตลง งักฮุยก็ถูกแต่งตั้งให้รับตำแหน่งแทน และกลายเป็นหัวเรือใหญ่ในการกอบกู้ชาติ
ด้วยความภักดีต่อประเทศชาติ และการปกครองไพร่พลดั่งพี่น้องในครอบครัว นายพลงักฮุยจึงเป็นที่เคารพรักของประชาชนและกองทัพโดยทั่วไป กองทัพของเขาก็เปี่ยมด้วยระเบียบวินัยอันดี ทุกแห่งที่กองทัพของเขาเดินทัพไป ไพร่พลจะปฏิบัติตนโดยมีธรรมาภิบาล ไม่เบียดบังเอารัดเอาเปรียบประชาชน ทุกหนแห่งที่ทหารของเขาก้าวย่างไปจึงได้รับการต้อนรับและไม่เคยต้องอดอยาก เพราะประชาชนล้วนแต่เอาอาหารและน้ำดื่มมามอบให้กองทัพอย่างเต็มใจ
ในการศึก แม่ทัพงักฮุยเลือกใช้วิธีการเจรจากับเจ้าเมืองที่จะเข้าตีก่อนการทำสงครามเสมอ จึงทำให้กองทัพของเขาไม่เสียเลือดเนื้อและแข็งแกร่งมาก ตลอดเวลาหลายปีที่ทำสงครามกอบกู้ประเทศ กวีโบราณถึงขนาดเปรียบเปรยว่า “สั่นคลอนภูเขายังง่ายกว่ากองทหารของงักฮุย”
แม้ว่านายพลงักฮุยพยายามนำทัพออกรบแย่งชิงดินแดนจนเกือบจะเป็นปึกแผ่น แต่โชคไม่ดีที่ต้องถึงคราวประสบเคราะห์กรรม ทำให้เขาหมดโอกาสในการกอบกู้ชาติ เหตุการณ์มิได้เกิดขึ้นเพราะกองทัพภายนอก แต่กลับเกิดขึ้นจากภายในราชสำนัก ดั่งวลี “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ ... ในตน” โดยแท้
ด้วยชื่อเสียงที่ขจรกระจายไป นายพลงักฮุยก็ถูกขุนนางฉิงกวุ่ยและภรรยาที่เกรงจะสูญเสียอำนาจและความสำคัญ สมรู้ร่วมคิดกับผู้พิพากษาและเจ้านายขี้อิจฉาของเขาเองเพ็ดทูลใส่ร้ายว่า นายพลงักฮุยกำลังรวบรวมไพร่พลสร้างกองทัพที่ใหญ่และแกร่งกล้าเพื่อหวังกลับมาแย่งชิงบัลลังก์จากฮ่องเต้ในอนาคต ผสมโรงเข้ากับความเปราะบางและไร้วิจารณญาณของฮ่องเต้และราชสำนักในยุคสมัยนั้น
เมื่อถูกเป่าหูมากเข้า ฮ่องเต้ก็ไม่อาจทัดทาน ยอมโอนอ่อนตามความเห็นของขุนนางกังฉินและพรรคพวก ตัดสินใจมีหนังสือเรียกทัพของนายพลงักฮุยกลับเมืองหลวงเพื่อหวังสลายกำลัง
นายพลงักฮุยเห็นว่า ท่ามกลางสนามรบที่กองทัพหลวงกำลังเป็นต่อ การเดินทัพต่ออีกไม่นานก็จะสามารถรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นถวายแด่ฮ่องเต้ได้ตามพระราชหฤทัยที่ตั้งไว้ โดยส่งม้าเร็วนำข้อมูลที่เป็นปัจจุบันไปกราบทูลฮ่องเต้ในทุกครั้งที่ฮ่องเต้ทรงมีหนังสือเรียกทัพกลับ
แต่ความพยายามดังกล่าวก็ยิ่งเข้าทางของขุนนางกังฉินและพวก โดยใส่ความเพิ่มเติมว่า การไม่ยกทัพกลับของนายพลงักฮุยเป็นสิ่งยืนยันที่แสดงถึงการกระด้างกระเดื่องและขัดต่อพระราชอำนาจ รวมทั้งยังพยายามเตะถ่วงเวลาเพื่อหวังรวบรวมไพร่พลเสริมสร้างกองทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หากยิ่งปล่อยให้เวลาเนิ่นนานต่อไป ก็จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อราชบัลลังก์
ในการเดินทัพกลับเมืองหลวงตามหนังสือครั้งที่ 12 นายพลงักฮุยเร่งเดินทัพอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เมื่อกองทัพเข้ามาถึงชานเมืองหังโจวในช่วงเย็น เขาก็เห็นว่าการยกทัพเข้าเมืองหลวงในช่วงกลางดึกดูจะไม่เหมาะสม จึงสั่งให้กองทัพหยุดพักค้างแรมที่วัดแห่งหนึ่ง และวางแผนเดินทางเข้าเมืองในเช้าวันรุ่งขึ้น
ในค่ำคืนนั้นเอง นายพลงักฮุยก็ฝันว่ามีสุนัข 2 ตัวทำท่าจะกัดกัน และเห่ากันจนเสียงอื้ออึง
ครั้นรุ่งเช้า นายพลงักฮุยนำเรื่องนี้ไปให้เจ้าอาวาสซึ่งเป็นเพื่อนของเขาทำนายฝัน เจ้าอาวาสทำนายว่า การเดินทางกลับไปเมืองหลวงคราวนี้จะเดือดร้อนถึงติดคุกติดตาราง เป็นไปตามตัวอักษรจีนที่คำว่า “สุนัข” 2 ตัวหันเข้าหากันมีลักษณะคล้ายตัวอักษร “คุกตาราง”
แม้จะรู้ว่าการกลับเมืองหลวงครั้งนี้อาจหมายถึงความเสี่ยงต่อชีวิต แต่ด้วยความจงรักภักดี นายพลงักฮุยก็ยังนำทัพกลับไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ซึ่งก็ตามมาด้วยการถูกขังคุกในข้อหากบฏตามคำทำนายฝันจริง
หลายคนอาจเกิดคำถามว่า ภรรยาของฉิงกวุ่ยมาเกี่ยวข้องได้อย่างไร เพราะปกติผู้หญิงในจีนยุคโบราณจะมีบทบาทด้านการเมืองน้อย ก็มีเรื่องเล่าว่า อันที่จริงแล้ว ในการไต่สวนคดีที่ใส่ความไว้ ขุนนางกังฉินและพวกก็ถูกทัดทานจากขุนนางตงฉินและกระแสคัดค้านของประชาชนที่เห็นในความจงรักภักดีของนายพลงักฮุย จนไม่รู้จะใส่ความเอาผิดนายพลงักฮุยอย่างไรดี
ในค่ำคืนหนึ่งที่เหล่าขุนนางกังฉินและพวกกำลังสมคบคิดกันอยู่นั้น บางคนจึงเริ่มถอดใจและคิดอยากปล่อยตัวแม่ทัพงักฮุย แต่ภรรยาของขุนนางกังฉินก็แสดงความเห็นคัดค้านโดยกล่าวว่า “จับเสือน่ะยาก แต่ปล่อยเสือเข้าป่าไปกลับยิ่งยากกว่า” จนเป็นคำพังเพยที่โด่งดังในสังคมจีนจนทุกวันนี้ ท้ายที่สุดแม่ทัพงักฮุยและครอบครัว ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตในข้อหากบฏท่ามกลางความอาลัยของประชาชน
ราว 21 ปีต่อมาเมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงให้มีการชำระคดี ซึ่งสามารถนำแทนฉิงกวุ่ย ภรรยา และพวกมาดำเนินคดีได้ในที่สุด และต่อมาฮ่องเต้ยังได้ให้ก่อสร้างสุสานของแม่ทัพงักฮุยและครอบครัว โดยพระราชทานบรรดาศักดิ์ระดับอ๋อง ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดในบรรดาพลเรือนที่จะมีได้
ในบริเวณศาลเจ้า เราจะเห็นรูปปั้นนายทหารใหญ่จำนวนมากยืนอารักขาให้แก่ท่าน และมีแผ่นป้ายหินอ่อนแกะสลักถ้อนคำที่แม่ทัพงักฮุยพูดไว้ก่อนถูกประหารชีวิตว่า “จิตใจอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า มีฟ้าและดินเป็นพยาน” ซึ่งเป็นอีกวลีเด็ดที่ชาวจีนยังนิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
แต่เนื่องจากไม่สามารถหาศพของภริยาของงักฮุยได้ จึงมีเฉพาะหลุมศพของแม่ทัพงักฮุยและลูกชายเท่านั้น มีเรื่องเล่าอีกว่า แม้กระทั่งกระดูกของแม่ทัพงักฮุยก็ต้องไปขุดหาจากยอดเขา เพราะประชาชนที่เทิดทูนท่านแอบขโมยศพขึ้นไปฝังและปลูกต้นสนเป็นสัญลักษณ์ไว้ ส่วนของลูกชายก็ได้แค่เสื้อและหมวกที่เขาชอบใส่มาแทนตัว
นอกจากนี้ เบื้องล่างก็มีรูปปั้นเหล็กของขุนนางกังฉินและพวกตั้งอยู่ในกรงขังในสภาพที่นั่งคุกเข่าอยู่ในพันธนาการ โดยฉิงกวุ่ยและภรรยาอยู่ในกรงขังหนึ่ง ขณะที่ผู้พิพากษาและอดีตเจ้านายของงักฮุยอยู่ถัดไปในอีกด้านหนึ่ง
แม้ว่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นี้จะเกิดขึ้นยาวนานเกือบพันปีแล้ว แต่คนจีนก็ยังคงเชิดชูนายพลงักฮุยและเกลียดชังทุรชนทั้ง 4 อยู่ดังเดิม ขณะที่ผมเดินชมรูปปั้นเหล็กดังกล่าวในศาลเจ้าอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นคนจีนที่เดินผ่านมาถ่มน้ำลายและก่นด่าใส่รูปปั้นเหล็ก บางคนมาพร้อมกับครอบครัวก็ยังบอกลูกหลานให้ถ่มน้ำลายใส่และร่วมประนามสาบแช่งอีกด้วย
มีเรื่องเล่าว่า ในการประหารชีวิตทุรชนทั้ง 4 ดังกล่าว ประชาชนต่างอยากแสดงออกถึงความเกลียดชังและร่วมลงโทษให้สาสม จึงเอาแป้งมาปั้นและตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ และแปะติดกันลงทอดในน้ำมันร้อน จนเป็นที่มาของ “อิ่วจาก้วย” ในภาษาแต้จิ๋ว หรือ “โหยวจ๋าฮุ่ย” ในภาษาจีนกลาง (น้ำมัน-ทอด-แป้ง) หรือคนไทยเรียกว่า “ปาท่องโก๋” และเอร็ดอร่อยในยามเช้ากันจนทุกวันนี้นั่นเอง
นอกจากนี้ ภายในศาลเจ้ายังมีสะพานโค้งขนาดย่อมที่ฮ่องเต้ใช้ทดสอบความซื่อตรงในการทำงานของข้าราชบริพาร ทั้งนี้เนื่องจากจีนในสมัยนั้นมีปัญหาเรื่องการคอรัปชั่นกันมากจนประชาชนต่างเอือมระอา ฮ่องเต้ในยุคนั้นจึงได้ออกกุศโลบายว่า สะพานแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อข้าราชการคนใดที่คอรัปชั่นโกงบ้านกินเมืองเดินขึ้นสะพานจะลื่นหกล้มและไม่สามารถเดินข้ามสะพานได้ เหล่าขุนนางกังฉินต่างไม่กล้าเดินขึ้นสะพานดังกล่าว ทำให้ฮ่องเต้ทรงทราบว่าขุนนางคนใดบ้างที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
แม้ตัวหนังสือบนแผ่นหลังของนายพลงักฮุยจะไม่มีโอกาสได้ถูกเติมขีดจนครบตัวอักษร แต่ความมุ่งมั่นในความภักดีและซื่อตรงต่อประเทศชาติก็ให้ข้อคิดและเป็นต้นแบบในการดำรงตนที่ดีของชาวจีนจวบจนปัจจุบัน ...
เรียบเรียงเนื้อหา/นำเสนอบทความโดย :
"สาระหลากด้าน"
ขอบคุณที่มา, เครดิต : https://www.thansettakij.com/content/columnist/423654
โฆษณา