Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นักวาดเขียน
•
ติดตาม
23 ก.พ. 2023 เวลา 08:17 • ไลฟ์สไตล์
ถ้าใช้มือขวาข้ามหัวไปแตะหูซ้ายได้ก็ไปโรงเรียนได้
ฉันได้ชมภาพยนตร์จาก Netflix เรื่อง "ชัยชนะของไอ้หนู The Boy Who Harnessed the Wind" เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริง หรือที่เรียกว่า Base on true story
ภาพยนตร์ถ่ายทอดชีวิตของชาวชนบทในประเทศ Malawi ทวีปแอฟริกาใต้ ในช่วงปี 2001 ที่มีอาชีพเกษตรกรรม ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก ระบบชลประทานไม่ทั่วถึง ต้องพึ่งฝนฟ้าที่ไม่ค่อยตกต้องตามฤดูกาล อ่านแล้วรู้สึกคุ้นๆมั้ยคะ
วิลเลียมเป็นเด็กผู้ชายวัยประมาณมัธยมต้น ในครอบครัวที่มีพ่อแม่และลูก 3 คน วิลเลียมเป็นคนกลาง มีพี่สาว 1 คนเรียนจบมัธยมและกำลังรอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย และน้องวัยแบเบาะ 1 คน
วันหนึ่งพ่อและแม่ได้เซอร์ไพรส์เขาด้วยการวางชุดนักเรียนไว้ให้และพ่อพูดกับเขาว่า "เคยมีคนบอกพ่อว่า ถ้าใช้มือขวาข้ามหัวไปแตะหูซ้ายได้ก็ไปโรงเรียนได้" แต่ตอนนั้นพ่อเด็กเกินไปแตะไม่ถึง เลยไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียน คำพูดของพ่อมีความหมายลึกซึ้งมาก เขาไม่มีโอกาสได้เรียนจึงต้องมาทำไร่ทำสวน แต่อยากให้ลูกได้เรียน และมีความหมายซ่อนอยู่ว่าทุกคนควรได้เรียนนั่นเอง วิลเลียมตื่นเต้นดีใจมากที่จะได้ไปโรงเรียน เขารีบแต่งตัวหล่อและไปโรงเรียน
ระบบการศึกษาที่รัฐบาลจัดให้นี้ไม่ฟรี ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเอง ทำให้ครอบครัวซึ่งค่อนข้างยากจนไม่มีเงินที่จะส่งวิลเลียมให้เรียนได้อีกต่อไป เขาถูกครูใหญ่เชิญให้ออกจากห้องเรียนเพราะพ่อยังไม่จ่ายค่าเล่าเรียน โดยให้เหตุผลว่าถ้าเขายังมาเรียนอยู่จะเป็นการทำผิดต่อเพื่อนคนอื่นที่จ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว วิลเลียมเสียใจมาก เพราะเขาอยากเรียนหนังสือมาก เขาเป็นเด็กช่างคิด ช่างสังเกตและฉลาด ส่วนพี่สาวของเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัยสักที
ปีนั้นเกิดภาวะแล้งหนัก ชาวบ้านอดอยาก ข้าวโพดก็ปลูกไม่ได้เพราะไม่มีเมล็ดพันธุ์และขาดแคลนน้ำเนื่องจากฝนไม่ตก ครอบครัวของเขาก็ลำบากมาก ได้กินอาหารซึ่งเป็นแป้งบดเพียงวันละ 1 มื้อเท่านั้น
วิลเลียมมีความสามารถพิเศษในทางช่าง เขาซ่อมวิทยุให้พ่อและรับจ้างซ่อมวิทยุให้เพื่อนบ้าน เขามักจะไปหาเก็บของเก่าในกองขยะเพื่อหาอะไหล่มาซ่อมของใช้ เขาสังเกตเห็นว่ามีปั๊มน้ำเก่า สายไฟ ใบพัด แบตเตอรีเเก่า เลยเก็บกลับบ้านมาเผื่อจะมีประโยชน์
เขานั่งมองรถจักรยานที่ปั่นแล้วมีไฟติด จึงได้ไปถามครูวิทยาศาสตร์ว่ามันทำงานอย่างไร เขาได้ความรู้เรื่องไดนาโมในการปั่นไฟ และได้ขอแอบใช้ห้องสมุดโรงเรียนเพื่ออ่านหนังสือและค้นคว้าเรื่องนี้เพิ่มเติม
จนวันหนึ่งเขาได้ชวนเพื่อนๆมาช่วยทำการทดลองอย่างหนึ่ง มันคือสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกว่า "กังหันลม" การทดลองได้ผล เขาจึงมีไอเดียที่อยากจะสร้างกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้ามาปั่นไฟให้กับเครื่องสูบน้ำ เขาต้องการสูบน้ำจากบ่อเพื่อมาให้พ่อปลูกข้าวโพดนั่นเอง
เขาดีใจกับการทดลองที่ได้ผลและเอาไอเดียนี้ไปบอกพ่อด้วยความตื่นเต้น และบอกพ่อว่าเขาจะหาน้ำให้พ่อปลูกข้าวโพดได้ แต่สิ่งที่เขายังขาดอยู่คือไดนาโมและโครงเหล็กซึ่งจะได้จากรถจักรยานของพ่อ เขาจึงเอ่ยปากขอจักรยานซึ่งเป็นพาหนะคันเดียวที่มีในบ้านและเป็นของรักของพ่อ
ทายสิคะว่าพ่อเขาจะให้มั้ย ... เฉลยค่ะ...นอกจากไม่ให้แล้วยังโกรธ ดุด่า ทำลายสิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกและผลักเขาล้มลงอีกด้วย พ่อไม่คิดว่าเขาจะทำได้ ถึงแม้วิลเลียมจะอ้อนวอนและให้เหตุผลอย่างไรพ่อก็ไม่สนใจและเดินจากไป
ย้อนไปนิดนะคะ ก่อนหน้านี้พี่สาวของวิลเลียมต้องจำใจหนีออกจากบ้าน โดยเขียนจดหมายทิ้งไว้ว่า "ลดไปหนึ่ง" ความหมายของเธอก็คือลดไปหนึ่งคน คนที่เหลือจะได้มีอาหารพอกิน มันช่างหดหู่เสียเหลือเกิน
ก่อนที่วิลเลียมจะหมดหวัง แม่ของเขาได้พูดกับพ่อว่าอยากให้หายไปอีกหนึ่งหรืออย่างไร พ่อเขาเลยต้องยอมยกจักรยานแสนรักให้เขานำมาใช้ทำกังหันลม
วิลเลียม เพื่อนๆ ชาวบ้านและพ่อของเขาช่วยกันสร้างกังหันลมด้วยวัสดุจากกองขยะ และชำแหละจักรยานของพ่อจนไม่เหลือเค้าเดิม ทายสิคะว่เขาทำสำเร็จมั้ย... ถูกต้องค่ะ เขาทำสำเร็จ เดิมพันครั้งนี้ด้วยชีวิตเลยทีเดียว เพราะถ้าทำพลาด ไม่เพียงรถหรูคันเดียวของพ่อจะเป็นเศษเหล็กแล้ว ความหวังว่าชีวิตของชาวบ้านในชุมชนจะดีขึ้นเพราะสามารถปลูกพืชได้ก็คงดับวูบ
ผลงานของวิลเลียมใช้งานได้เป็นอย่างดี ผลผลิตงอกงามเพราะมีน้ำซึ่งได้จากการสร้างกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าของเขา ผู้นำของประเทศมาชมผลงานของเขา จนในที่สุดเขาก็ได้ทุนการศึกษาจนเรียนจบมหาวิทยาลัยและมีชีวิตที่ดีในที่สุด
ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ชัยชนะของไอ้หนู ทาง Netflix
ในช่วงท้ายได้นำเสนอภาพของวิลเลียมตัวจริงและคำพูดของเขาในการปาฐกถา "I try and I made it" วิลเลียมทำเช่นนั้นจริงๆ เขาพยายามและสร้างจนสำเร็จ
ดูละครแล้วย้อนดูตัว เรามีทรัพยากรที่มีความพร้อมมากกว่าวิลเลียมมากมาย แต่ทำไมเรายังไม่มีผลงานที่น่าทึ่งแบบนั้น มองได้หลายมุม ถ้าในมุมมองของทรัพยากรที่เป็นวัตถุดิบเราอาจจะไม่ขาด บางทีอาจจะเกินเสียด้วซ้ำ แต่สิ่งที่เราขาดน่าจะเป็นความพยายามหรือความมุ่งมั่นที่ยังพร่องอยู่ หรือเรายังอยู่ดีกินอิ่มนอนหลับเลยไม่รู้จะต้องดิ้นรนไปทำไม นั่นก็ส่วนหนึ่ง
เราจะรอให้ถึงวันนั้นก่อนจึงจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง หรือควรทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้ถึงวันนั้น วันที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ทำทั้งที่ไม่อยากทำ ตอนนี้เรายังมีโอกาสเลือกได้นะคะ ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ตั้งใจเตือนตัวเองล้วนๆค่ะ
พัฒนาตัวเอง
ข้อคิด
ความคิดเห็น
บันทึก
4
4
10
4
4
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย