25 ก.พ. 2023 เวลา 01:34 • ปรัชญา
ในกาย ในจิตของคนเราทุกคน ลักษณะ ของคนดี และคนไม่ดี ซ่อนเร้นอยู่ ที่เป็นลักษณะของอารมณ์ ..เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง มันก็เกิดอารมณ์ชอบไม่ชอบเกิดขึ้น ได้อารมณ์ชอบไม่ชอบ นี่ก็ต้องสังเกตตัวเอง เหมือนตาเราไปเห็น ไปได้ยิน แล้วมันเกิดความหงุดหงิด ว้าวุ่นขึ้นมา มันมีความสับสน บ้างก็พูดระรัวออกไปตามอารมณ์นึกคิดของตน บางหงุดหงิดไม่ชอบใจ อารมณ์ทิฐิ โมโหโกรธ มันก็ไหลออกมา
มีน้องสองคน สมมุติ ชื่อ ก กับ ข ระหว่างที่นั่งทานข้าวด้วยกัน ก็คุยกัน เราก็นั่งอยู่ด้วย มีช่วงหนึ่ง ..ตาเราเห็นน้องที่ชื่อ ก.. เอ่ย ปากพูด ..ก็เป็นเหมือน เป่าเม็ดถั่วเขียวออกมา ไปกระทบ น้อง ข.. เราก็นั่งดู..เฉย ..สังเกตการณ์ ..หน้าของน้อง ข..ก็หน้าคว่ำบึ้งตึง ดูไม่อยากพูดจาอะไร ..
นั่นก็เป็นลักษณะของอารมณ์เหมือนกัน ที่เค้าสมมุติให้ดูว่ามันทำร้ายกันอย่างไร นั่นก็คือ สิ่งที่เราพูดด้วยอารมณ์ ทิฐิ อารมณ์ที่เราใช้เป็นนิสัย เหวี่ยงไปทำร้ายคนที่อยู่ใกล้ชิดเรา แม้คนที่เรารัก ..โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
แต่เป็นเพราะเรา ..คิดว่า ตัวเองดีแล้ว ใครที่เค้าเห็น ก็สงสาร แต่ก็ไปแก้ไขเค้าไม่ได้ เพราะมันเกิดจากภายในจิตใจของเค้า เรื่องความยึดถือที่ปกคลุมที่ปกคลุมภายในจิต ซึ่งเค้าก็ไม่เคยตรวจสอบ ไปอบรมอะไรมามากมาย ก็แก้ไขไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ติดมา ..ต้องใช้กรรม ใช้ตัวร้ายเหวี่ยงออกมา เหมือนมีวิญญาณร้ายสิงอยู่งั้นแหละ มีอิทธิฤทธิ์เป่าเม็ดถั่วเขียวออกมาตามลมปาก โบราณเค้าจึงมีคำว่า ผีเจาะปากให้พูด..
เรื่องที่เรารู้จักว่า ผิดกับคำพูดของตัวเอง ..เราก็ต้อง คิดตรวจสอบ ความคิดเห็นอารมณ์ของตัวเอง ก่อนที่จะพูด ..พูดด้วยอารมณ์ หรือ หยุดไม่พูดตามอารมณ์ นึกคิด ..แต่นั่นแหละ สติของคนเรา มันรู้ไม่เท่าทันอารมณ์นึกคิด..ที่บอก หรือ สั่งให้เราพูด .. เมื่อพูด..ออกไป..บางทีก็รู้สึกผิดว่า ไม่น่าพูดออกไปเลย
.. นั่นก็คือ จิตเราค่อยๆ มีสติที่จะระมัดระวัง คำพูดของเรา เอาคนดีมาพูด มันก็อยู่ในตัวตนของเรานี่แหละ ให้เราได้ทบทวนตัวเอง สังเกตตัวเอง ..ว่า เราควรใช้กายวาจาใจอย่างไร ให้เกิดเป็นลักษณะที่เป็นคำว่า สันติเกิดขึ้น มีความผาสุขทั้งเค้าทั้งเรา ในการอยู่ร่วมกัน
เรื่องที่ผ่านมาแล้ว มันไปแก้ไขไม่ได้ เราทบทวนได้ แต่ไม่ใช่ไปยึด หรือโทษตัวเอง เพราะถ้าเราโทษตัวเองเป็นแบบนั่นเท่ากับ เราพาจิตเรายึดทุกข์น่ะ เราต้องอภัยตัวเอง มันผ่านไปแล้ว ก็อย่าเอาจิตเราไปยึด ไปนึกถึงอีก แต่เราแก้ไขตัวเราเอง ในการใช้กายวาจาใจที่อยู่ปัจจุบัน เรื่องที่ผ่ามาก็มองว่า นั่นเป็นเพราะเราขาดสติ..ในการใช้วาจา เผลอสติพูดไปตามคนไม่ดี (อารมณ์) เราก็เอาคนดีมาใช้ พูดดีๆ ทำดีๆ
เรื่องราวของคำว่า คำพูด ..เราก็ไปสังเกต ..ในคำว่า วาจาเชือดเฉือน วาจาที่พูดด้วยทิฐิ ไม่ยอม ..เราดูเวลาที่เค้าประชุมสภา ที่ล้วนมีผู้ที่ ..มีเกียรติมีคุณวุฒิ เราก็ดูตัวดี ตัวร้าย ..ดูเพื่อศึกษาเรื่องราวของคำว่าอารมณ์เท่านั่น ที่เค้าแสดงให้เราดู
..(เรื่องการเมือง ทฤษฎีการเมือง ประชาธิปไตยอะไร ..เราไม่ไปวุ่นวายกับเค้า วางจิตเที่ยงๆ มั่นคง ..อย่าให้เอนเอียง (โลกธรรม สรรเสริญเยินยอ เสื่อมลาภเสื่อมยศ นินทาทุกข์)
..เราดูเพื่อศึกษาเรื่องอารมณ์ที่ออกมาจากกายมนุษย์เป็นกายประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย ที่เค้าบอกว่า มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีกรรมดี และไม่ดี
เค้าสมมุติให้เราดู เป็นตัวอย่าง ..ดีหรือไม่ดี เป็นสถานที่ ที่มีอารมณ์โลภโกรธหลง มีตัวยึดถืออะไรมากมาย ..มาประชุมพร้อมเพียงกัน..ดูให้เข้าใจ ..จะสนุกกับคำว่า โลกสมมุติ มายาสมมุติ) หากเราวางจิตเราให้เที่ยงๆ ไม่ได้ .อารมณ์ทิฐิ มันก็จะเกิดที่ตัวเราในสิ่งที่เราดู ..มันจะอุปโลกน์ขึ้นที่ตัวเรา ..นี่ก็เป็นการจับตนค้นตน ..คนดีคนไม่ดี ..ในตัวตนของเราเอง เพื่อยกกายยกจิตใจเรา ให้มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงาม
โฆษณา