28 ก.พ. 2023 เวลา 01:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทำไมเราถึงไม่ควรเล่นยึดติดกับการเล่นรอบหุ้นตามผลประกอบการประจำไตรมาสมากเกินไป ?

เชื่อว่าฤดูประกาศงบผลประกอบการบริษัททั้งบริษัทไทยและบริษัทต่างประเทศ คงทำให้เพื่อน ๆ หลายคน ได้ปรับเพิ่มพอร์ตลดพอร์ตกันเยอะเลย (เราด้วยละ 555)
อย่างล่าสุดหุ้น NVIDIA (NVDA) และ Tesla (TSLA) ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นสูงเกิน 8% หลังจากวันประกาศงบผลประกอบการไตรมาสล่าสุด (ซึ่งเป็นรายปี 2022 อีกด้วย)
(ถ้าเป็นในสัปดาห์นี้พวกกลุ่มหุ้นเทคก็จะมี Salesforce กับ Workday)
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าทุกบริษัทที่ประกาศงบออกมาได้ดี Surprise ไปจากการคาดการณ์ของเหล่ากูรู ราคาหุ้นจะต้องเด้งตอบสนองแต่เพียงอย่างเดียว...
ลองเผื่อใจอ่าน case study แบบนี้ไว้สักหน่อยก็คงช่วยเราได้บ้างเนอะ
พอดีเราได้อ่านหนังสือ ก็มีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ๆ จากหนังสือ คัมภีร์หุ้นเทค (Nothing but net) ของ Mark Mahaney ที่เพิ่งมีแบบฉบับแปลไทยของสำนักพิมพ์ The Capital ออกมา เลยขอนำหนึ่งในบทของหนังสือเล่มนี้ ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ มาสรุปแชร์ให้เพื่อน ๆ อ่านกัน
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้แนะนำการลงทุน และเนื้อหาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของเทคนิคกราฟน้า แต่เอากราฟมาแปะให้ดูให้พอเห็นภาพเฉย ๆ เด้อ
คือหนังสือเล่มนี้จะพูดเกี่ยวกับกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นเทค(แต่ไม่ได้แนะนำ)และไอเดียที่ทำให้เราเข้าธรรมชาติของหุ้นเทคมากขึ้น
(ปล. มีผสมความคิดเห็นและการวิเคราะห์ส่วนตัวของเราผสมลงไปด้วยนะ)
สาเหตุสำคัญที่ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ คุณ Mark Mahaney ไม่แนะนำ(หรือให้ระวังในการตัดสินใจ) ที่จะเลือกเล่นหุ้น โดยดักซื้อหุ้นก่อนช่วงเวลาประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส ก็คือ
- มันเป็นการเล่นกับการคาดการณ์มากเกินไป (อารมณ์ว่า เราเดาหรือรู้ได้ยังไง ว่าผลประกอบการจะเป็นบวก ? เราได้อ้างอิงจากการรับข่าวสารมากไปหรือเปล่า ? เกิด Bias หรือไม่ ? เราโดนกลุ่มนักลงทุนสถาบันออกข่าวมาโน้มในชักจูงเราหรือเปล่า ?
- ต่อให้เราเดาได้ แล้วเรามั่นใจมากขนาดไหน ว่าถ้าผลประกอบการออกมาดีเกินคาด หุ้นจะพุ่งแรง ? (เว้นแต่เพื่อน ๆ จะเป็นเจ้าของหุ้นเตรียมปั่นนะ หยอก ๆ อิอิ)
คุณ Mark Mahaney เขาเลยมองว่า เหล่านักลงทุนรายย่อยมือใหม่ที่เน้นลงทุนแบบโฉบเฉี่ยวโดยเฉพาะหุ้นเทค ก็จะติดกับดักเล่นรอบหุ้นตามผลประกอบการไตรมาสได้ง่าย ๆ
ยกตัวอย่างเช่น (จากในหนังสือน้าา)
หุ้น SNAP (บริษัท Snapchat) เจ้าของ(อดีตแอพที่เคยยอดฮิต)ของวัยรุ่นอย่าง Snapchat ที่ในปี 2019 ที่ประกาศผลประกอบการโดยมีรายได้สูงมากกว่า 5% เหนือการคาดการณ์ อีกทั้งผลประกอบการแบบ YoY ยังโตขึ้น 36% อีก !!
แทนที่ราคาหุ้นจะเด้งขึ้นเพื่อตอบรับกับข่าวดีจากผลประกอบการไตรมาสแบบนี้
แต่ทว่า...ราคาหุ้นกลับดิ่งลงไปมากกว่า 10% เพียงแค่ 2 วันหลังจากวันประกาศงบ...
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ... เราในฐานะนักลงทุนมือใหม่ ก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตก นึกว่าเก็งข้อสอบถูก..เอ๊า แล้วทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ละ ? พอขายหุ้นออกตัดขาดทุนไป
1
ปรากฎว่า ปลายปี 2019 หุ้น SNAP ตัวนี้กลับเด้งขึ้นมามากว่า 170% เลยทีเดียว...
1
แต่ในบทนี้จากหนังสือ "Nothing but net" เขาจะมาชวนคิดที่สาเหตุว่า ทำไมผลประกอบการไตรมาสของหุ้น SNAP ในปี 2019 ออกมาเติบโต แต่หุ้นกลับไม่พุ่งขึ้นตามที่คาด ?
1
คำตอบจากผู้เขียนคือ ในกรณีของ SNAP
1. ความคาดหวังจากนักลงทุนรายใหญ่/สถาบัน ที่คาดหวังไว้สูงมาก (และสูงทะลุเกินการคาดการณ์ผลประกอบการของสถาบันการเงินซะอีก
2. ราคาของหุ้น SNAP มีความหวือหวาวูบวาปมาทั้งปี (+107% จากปีก่อนมาแล้ว และยังเคยล่วงลงไปมากกว่า -280% เหวี่ยงสุด ๆ ) จึงไม่มีใครกล้าคาดหวังว่ามันจะพุ่งสูงขึ้นไปอีก หรือ ต่อให้พุ่งก็ยังน่ากลัว...
3. CEO ของบริษัท คุณ Evan Spiegel เคยออกมาบอกกับสื่อไว้ก่อนหน้านี้ว่า ผลประกอบการของบริษัท Snapchat จะเติบโตได้มากกว่า 5% (ตรงนี้คือ เลยกลายเป็นว่า เติบโตสูงขึ้น 5% เนี่ย....มันสูงก็จริง แต่ไม่เป็นไปตามที่ CEO เคยโม้เอาไว้...)
เอ๊า...ใครจะไปรู้ละเนอะถ้ายึดติดแต่ผลประกอบการมากเกินไป ก็อาจจะ panicsell ไปก่อนตรงลูกศรสีเหลือง อาจพลาดภาพใหญ่ได้
หลังจากขึ้นฮวบๆ แต่ดูเหมือนว่าคนอาจจะไปเล่นที่กราฟกันแล้วผลประกอบการเป็นอย่างไรอาจสะท้อนไม่มาก หรือว่าง่ายๆคือจะเก็งเอาโดยดูคาดการณ์แค่ผลประกอบการรายไตรมาสเอาแน่นอนไม่ได้นะ
มาดูที่อีกหนึ่งตัวอย่างของบริษัท Chewy (ชื่อย่อหุ้น CHWY) ในปี 2020
บริษัท Chewy ทำธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์มขายของสัตว์เลี้ยงมูลค่าล้านล้านบาท คล้าย ๆ กับ pets.com (ทั้ง 2 อันนี้จะให้บริการทางฝั่งอเมริกานะ)
สถานการณ์ของบริษัทนี้ ก็คล้ายคลึงกับหุ้น SNAP ด้านบนเลย
สรุปสั้น ๆ คือ
- ผลประกอบการดี เติบโตมากถึง 4% เทียบกันไตรมาสที่ 1 ต่อไตรมาสปีก่อน(2019) และถ้าดูที่ผมประกอบการรายปี ก็ถือว่าเติบโตมากถึง 46% จากปีก่อนเลยทีเดียว
- ไม่พอนะ จำนวนลูกค้าที่ใช้งานก็เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบ 10% ในเรื่องของอัตรากำไรขั้นต้นและ EBITDA ก็สูงเกินกว่าการคาดการณ์ของสถานบันต่าง ๆ
แต่...ก็มาเข้ารูปแบบเดิม...ทุกอย่างคือดูดีมาก
ทว่า...หุ้นกลับพุ่งตัวลงมากถึง 10% ในวันที่ผลประกอบการออกเฉยเลย
1
สาเหตุในกรณีของ Chewy อาจมาจาก
1. ความคาดหวังที่สูงเกินไปของเหล่านักลงทุน คล้ายๆกับหุ้น SNAP ด้านบนเลย
2. Chewy เป็นบริษัทที่ได้รับอานิสงจากช่วงที่โรคระบาดโควิด-19 กำลังพีค เพราะผู้บริโภคหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงคลายเหงามากขึ้น ทำให้ต้องสั่ง
ถึงแม้ว่าในปี 2020 ผลประกอบการโดยรวมของบริษัท Chewy จะออกมาดูดีมากก็ตามที...แต่ความคาดหวัง (ที่ไม่เคยได้ดั่งหวังซะที) ของเหล่านักลงทุนที่มองต่างออกไป และพุ่งเป้าไปหาเป้าหมายตัวอื่นกันแทน (พวกหุ้นฟื้นตัว)
ตัวอย่างผลประกอบการรายไตรมาสที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์และกำไร (เค้าก็มีกัตุนกันไว้ก่อนเบาๆ ถ้าเราไปเล่นตามรอบแบบมือใหม่แล้วออกไม่ทันอาจ panic ได้ง่ายๆเลย)
หุ้นตัวนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องประกาศผลมากเท่าไรแล้วละ (ตัวด้านบนจะเป็นตัวเลข%ที่โชว์ว่าเหนือการคาดการณ์ไปเท่าใด)
ตัวอย่างสุดท้ายที่ในหนังสือได้หยิบยกมาคือ บริษัท UBER คิดว่าบริษัทนี้คงไม่ต้องบอกว่าเค้าทำธุรกิจอะไรนะ (คิดว่าเพื่อน ๆ คงทราบกันดีและต้องเคยใช้บริการกันมาบ้าง)
สถานการณ์ของ UBER ในช่วงปี 2019 ที่เพิ่งทำ IPO ไป แต่ปรากฎว่า.. อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน IPO ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
จนกระทั่งมาถึงช่วงหลังเกิดวิกฤติโควิด-19 ในข่วงปี 2020 ที่หุ้นของ UBER พุ่งขึ้นมากภึง 65% ด้วยความคาดหวังที่ว่าหุ้นเรียกรถออนไลน์ตัวนี้จะฟื้นตัวเมื่อผู้คนออกมาจากบ้านมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี ตัวผลประกอบการของ UBER ในรอบปี 2019 ที่ผ่านมา ค่อนข้างย่ำแย่ กล่าวคือ กระแสเงินสดอิสระติดลบ ขาดทุนสุทธิย้ำไปอีก 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฟื้นตัวปี 2020 ที่การประกาศผลกำไรในไตรมาสที่ 4 ปี 2020 UBER เริ่มมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังคงขาดทุนอยู่ที่ 585 ล้านเหรียญ ซึ่งนั่นสูงกว่าการคาดการณ์ที่นักวิเคราะห์ของกลุ่มสถาบัน +30%
ดูทรงยังไงช่วงหลังประกาศงบไตรมาสที่ 1 ปี 2021 น่าจะเป็นช่วงสะสมที่ดีแต่ปรากฎว่า หุ้น UBER แต่ว่าคงต้องบอกว่าเสียใจด้วย ที่หุ้นของ UBER ได้ทำจุด ATH ไปเรียบร้อย (ก็คือคนที่พลาดการพุ่งขึ้น 65% ในช่วง ไตรมาสที่ 4 / 2020 ไป ก็คงพลาดจริงๆ)
ภาพรวมของ UBER ตั้งแต่ทำ IPO ปี 2019
ไปเก็งเข้าละก็...เรียบร้อย
สาเหตุในกรณีของ UBER อาจมาจาก
1. ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นและความผันผวนของกราฟราคา ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
2. มีแรงขายอย่างหนักและแปลกประหลาด ในบางช่วงหลังปี 2020 (คาดว่าเป็นการปลดล็อคการขายกลุ่มคนวงใน)
3. ข้อ 2 + 1 จึงทำให้นักลงทุนเริ่มไม่เชื่อในการเคลื่อนไหวของหุ้นตัวนี้ ถึงแม้ว่าพื้นฐานของบริษัทจะดูดีและผลประกอบการที่ออกมาดูดีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ไตรมาสก็ตาม
(จนถึงไตรมาศล่าสุด Q4/2022 ผลประกอบการก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งรายได้ กำไรขั้นต้น ต้นทุนก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ว่า...เรากลับไม่ได้เห็นการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นที่น่าสนใจขนาดนั้น ตัวนี้หลังประกาศเมื่อวันที่ 8 กุมภา 2023 ที่ผ่านมา ก็แผ่วลงทันที ถ้าเราสะสมเล่นรอบเอาไว้ก่อนตั้งแต่เดือนมกราคม ก็คงพอเก็บได้บ้างเนอะ แต่...ใครจะไปคาดเดาได้ละ)
พอหอมปากหอมคอ จริง ๆ ในหนังสือ(ในบทนี้) ยังมีรายละเอียดที่ผู้เขียนเล่าไว้อีกเยอะมาก
แต่โดยสรุปของบทนี้ที่น่าจะเป็นคำตอบของหัวข้อบทความนี้คือ
1. การเล่นรอบหุ้นตามรอบผลประกอบการอย่างเดียว อาจทำให้เราไม่เห็นภาพกว้างหรือแนวโน้มระยะยาว
2. เราอาจโดนปั่น โดนดึงความสนใจไปด้วยผลประกอบการดูดี(ในสายตาเรา) แต่ไม่ได้ดูดีในสายตาของนักลงทุนเจ้าใหญ่ หรือเราอาจโดนปั่นด้วยข่าวที่เหล่านักวิเคราะห์รุมให้ความเห็นมากมายก่อนช่วงประกาศงบ
3. เว้นแต่ว่า เราจะเป็นนักลงทุนสายเทคนิค แบบนั้นเราคิดว่าคงไม่ต้องไปสนใจอะไรมากเท่าไรในเรื่องนี้
ถ้าเพื่อน ๆ ชอบเล่นรอบแนวนี้กัน คงต้องอย่าเผื่อส่วนต่างและเผื่อใจกันไว้สักเล็กน้อยด้วยเด้ออ (จริง ๆ เราก็เป็นหนึ่งคนละที่ชอบดักรอ 555)
หลังจากผ่านมรสุมชีวิตไปได้ คราวนี้เราจะเริ่มกลับมาเขียนบทความแล้วเด้ออ หวังว่าต่อจากนี้คงจะมีบทความที่มีสาระดีดีให้เพื่อน ๆ ใน blockdit ได้อ่านเพิ่มกันด้วย)
แหล่งอ้างอิง
- หนังสือ Nothing But Net เขียนโดย Mark Mahaney (ฉบับภาษาไทย โดยคุณปัณณวิชญ์)
โฆษณา