26 ก.พ. 2023 เวลา 12:18 • ประวัติศาสตร์

“แคทเธอรีนที่ 2” เกือบส่งกองทหารรัสเซียช่วยอังกฤษ ปราบปราม “การปฏิวัติอเมริกา”

การปฏิวัติอเมริกา (American Revolution) คือเหตุการณ์เกิดในช่วงระยะเวลาครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 ที่มีการลุกฮือเพื่อประกาศเอกราชจากจักรวรรดิอังกฤษของประชาชนชาวอเมริกัน และสถาปนาสหรัฐอเมริกาขึ้นในเวลาต่อมาหลังจากได้รับชัยชนะในการปฏิวัติในครั้งนี้
  • เรื่องราวความเป็นมาก่อนหน้านี้
“คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส” เริ่มเดินเรือจากทวีปยุโรปมาทางทิศตะวันตกเพื่อหาเส้นทางเดินเรือใหม่ เขาเดินทางจนมาเจอแผ่นดินทวีปใหม่ (เดินเรือไปกลับทั้งหมด 4 เที่ยว ในช่วง ค.ศ. 1492 – 1504) และต่อมา “สเปน” กับ “โปรตุเกส” จึงได้แห่เดินเรือกันมาเข้าในดินแดนของทวีปอเมริกาใต้
ทำให้ “อังกฤษ” และ “ฝรั่งเศส” ซึ่งเดินเรือตามมาทีหลัง จำใจต้องขึ้นไปทางเหนือแทน จนพบดินแดนทวีปอเมริกาเหนือ โดยอังกฤษได้ขึ้นฝั่งที่บริเวณตะวันออกแถบนิวอิงแลนด์ ส่วนฝรั่งเศสเขยิบลงมาหน่อยขึ้นฝั่งแถบบริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี ทั้งสองฝ่ายได้ขยายอาณานิคมในดินแดนอเมริกาเหนือ
  • “สงครามเจ็ดปี” ค.ศ. 1756 – 1763 เกิดขึ้น โดยเป็นการทำสงครามระหว่าง 2 ขั้วอำนาจในยุโรป คือ “ฝั่งที่อังกฤษเป็นแกนนำ” กับ “ฝั่งที่ฝรั่งเศสเป็นแกนนำ” ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลกรวมถึงในส่วนที่เป็นดินแดนอาณานิคมนอกยุโรป ดังนั้นเมื่อผลของสงครามออกมาเป็น ฝรั่งเศสแพ้อังกฤษ ทำให้อังกฤษเข้ายึดดินแดนในอเมริกาเหนือที่เดิมเคยเป็นของฝรั่งเศส
  • มูลเหตุของการปฏิวัติอเมริกา
อังกฤษใช้นโยบายการค้าอย่างไม่ยุติธรรมกับอาณานิคมในอเมริกาเหนือ คือบริเวณลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีนี้เป็นแหล่งเพาะปลูกใบชาที่สำคัญ อังกฤษใช้วิธีซื้อจากอาณานิคมในราคาถูกมากแล้วนำไปขายในยุโรปในราคาเพิ่มหลายเท่า ทำให้ชาวอาณานิคมไม่พอใจ
1
ประกอบกับการที่ชาวอเมริกันได้รับแนวคิดจากนักปรัชญาชาวอังกฤษ ทำให้เหตุการณ์ลุกลามใหญ่ หนึ่งในเหตุการณ์การประท้วงใหญ่คือ ในชุมนุมงานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตัน (Boston Tea Party) ที่กรุงบอสตัน ค.ศ. 1773
  • อังกฤษจึงส่งกำลังเข้าปราบปราม ก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างหนัก ฝรั่งเศสได้แอบส่งกำลังและอาวุธเข้าช่วยเหลือฝ่ายชาวอเมริกัน นำไปสู่ “สงครามปฏิวัติอเมริกัน” จนในที่สุดอเมริกาก็สามารถประกาศอิสรภาพได้ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ที่เมืองฟิลาเดเฟีย (รัฐเพนซิลเวเนีย)
และการที่ฝรั่งเศสเข้าช่วยอเมริกานี้เอง ทำให้ทหารที่เข้ามาร่วมรบในสงครามปฏิวัติอเมริกา ได้ซึมซับแนวคิดและความต้องการอิสรภาพของชาวอเมริกันเอาไว้ และกลายเป็นพลังผลักดันที่ทำให้เกิด “การปฏิวัติฝรั่งเศส” ในเวลาต่อมา และประกอบกับสภาพการณ์ ในขณะนั้นฝรั่งเศสกำลังย่ำแย่ด้วยสภาพเศรษฐกิจ สถาบันกษัตริย์ที่อ่อนแอ จึงเข้าสู่ยุคการปฏิวัติฝรั่งเศส และกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติไปทั่วยุโรปในเวลาต่อมาอีกด้วย
6
  • ทหารรัสเซีย 20,000 นาย อาจลงเอยด้วยการเข้าร่วมในสงครามประกาศอิสรภาพของอเมริกา โดยเข้าร่วมข้างอังกฤษ
  • ทำไมต้องเป็น “รัสเซีย”?
ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1775 ชาวอังกฤษตระหนักว่าพวกเขากำลังถูกลากเข้าสู่สงครามครั้งใหญ่ในอเมริกาเหนือ ซึ่งต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก ซึ่งขณะนั้นขาดแคลนกำลังทหารราบอยู่มาก (ถูกเรียกว่า Redcoats ตามแบบยูนิฟอร์ม) “อังกฤษ” โดยปกติพึ่งพากองทัพเรือมาโดยตลอดและมีกองทัพภาคพื้นดินที่ค่อนข้างเล็ก กระจายอยู่ตามกองทหารรักษาการณ์ตั้งแต่ไอร์แลนด์ไปจนถึงแอฟริกาและหมู่เกาะแคริบเบียน
  • ขณะนั้นอังกฤษมีกษัตริย์ปกครองคือ “พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งบริเตนใหญ่และไอรแลนด์”
พระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งบริเตนใหญ่และไอรแลนด์ เครดิต: Birmingham Museum of Art/Public Domain
“ลอนดอน” เลยตัดสินใจขอกำลังทหารเพิ่มเติมจาก “รัสเซีย” ด้วยเหตุผลดังกล่าว ซึ่งเป็นเวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปีนับตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามที่ได้รับชัยชนะของรัสเซียในปี ค.ศ. 1768-1774 เหนือพวกเติร์ก ซึ่งกองทัพรัสเซียได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการสงครามได้อย่างยอดเยี่ยม
  • ขณะนั้นรัสเซียมีผู้ปกครองคือ “แคทเธอรีนที่ 2 มหาราชินี”
มหาอำนาจทั้งสองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อังกฤษเคยสนับสนุนรัสเซียในการทำสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน และตอนนี้อังกฤษหวังว่าจะได้แสดงการมีน้ำใจตอบแทนจากรัสเซีย
1
ในที่สุด “พระเจ้าจอร์จที่ 3” ก็รับรู้ว่า “แคทเธอรีนที่ 2” อ่อนไหวเพียงใดเกี่ยวกับการท้าทายอำนาจของกษัตริย์ “แคทเธอรีนที่ 2” เพิ่งจัดการบดขยี้การจลาจลของกลุ่มคอซแซคและการลุกฮือของชาวนาที่นำโดย Yemelyan Pugachev และ “พระเจ้าจอร์จที่ 3” ทรงหวังว่าเธอจะไม่ทอดทิ้งพระองค์ (จากสงครามในอเมริกาเหนือ) ไปสู่สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
แคทเธอรีนที่ 2 มหาราชินี – Public Domain
  • ความคาดหวังที่ยิ่งใหญ่
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1775 “โรเบิร์ต กันนิง” เอกอัครราชทูตอังกฤษเริ่มแสดงท่าทีอย่างระมัดระวังเพื่อดูว่าอังกฤษสามารถได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียเพื่อปราบปรามการก่อจลาจลในอเมริกาเหนือได้หรือไม่ และได้รับการตอบรับจาก “นิกิตา ปานิน” หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของรัสเซีย โดยยืนยันกับเอกอัครราชทูตถึงความพร้อมอย่างสุดหัวใจของซารินา “จะให้ความช่วยเหลือทุกประการที่ฝ่าบาททรงปรารถนาและไม่ว่าในรูปแบบหรือวิธีใดก็ตามที่ทรงเห็นว่าเหมาะสม”
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง “กันนิง” ได้รับคำแนะนำโดยละเอียดเพิ่มเติมจากลอนดอน ในจดหมายถึงเขาลงวันที่ 1 กันยายน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ “เฮนรี ฮาวเวิร์ด” เอิร์ลแห่งซัฟโฟล์คที่ 12 ขอให้เขาสื่อสารกับซารินาของรัสเซียว่า
  • “ความช่วยเหลือที่ทางอังกฤษต้องการนั้น ประกอบด้วยทหารราบที่ได้รับการฝึกจำนวน 20,0000 นาย พร้อมอุปกรณ์ครบครัน (ยกเว้นเฉพาะชิ้นส่วนภาคสนามเท่านั้น) และพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการทันทีที่การเดินเรือในทะเลบอลติกเปิดในฤดูใบไม้ผลิ ขึ้นเรือขนส่งซึ่งจะถูกส่งจากที่นี่ และจากนั้นก็แล่นเรือไปพร้อมกับกองทหารส่วนใหญ่ยังแคนาดา เพื่อเข้าอยู่ในบังคับบัญชาของผู้บัญชาการทหารสูงสุดของอังกฤษ”
โรเบิร์ต กันนิง เอกอัครราชทูตอังกฤษ เครดิต: Wikimedia Commons
นอกจากนี้ “กันนิง” ยังได้รับจดหมายจาก “พระเจ้าจอร์จที่ 3” ที่ส่งถึง “แคทเธอรีนที่ 2” แสดงความขอบคุณและนำเสนอสิ่งต่างๆ ราวกับว่าซารินาตัดสินใจที่จะส่งทหารรัสเซียไปยังทวีปอื่นแล้ว
การมีส่วนร่วมของกองทหารรัสเซียย่อมต้องได้รับ “ค่าตอบแทน” และมีการเสนอให้หารือเรื่องราคาในขั้นต่อไปของการเจรจา อย่างไรก็ตามเป็นที่ปรากฎในไม่ช้า คำสัญญาของผู้ปกครองรัสเซียที่จะให้ “ความช่วยเหลือแก่อังกฤษ” กลับถูกตีความโดยพวกเขาค่อนข้างไม่ถูกต้อง
  • การปฏิเสธที่ไม่ได้คาดคิด
“แคทเธอรีนที่ 2” ติดตามความคืบหน้าในอเมริกาเหนืออย่างใกล้ชิด แม้ว่าพระองค์จะไม่ชอบการท้าทายต่ออำนาจของกษัตริย์ แต่พระองค์ก็เห็นความแตกต่างอย่างมากระหว่างกลุ่มต่อต้านนำโดย Pugachev และ กลุ่มกบฏในอาณานิคมอเมริกาเหนือของอังกฤษ
  • โดยอย่างแรก (กบฏ Pugachev) แอบอ้างว่ามีพระเจ้าซาร์ปีเตอร์ที่ 3 แห่งรัสเซียซึ่งรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ (ปีเตอร์ที่ 3 ถูกแคทเธอรีนปลดออกจากตำแหน่งในการรัฐประหารในปี ค.ศ. 1762 และเสียชีวิตอย่างลึกลับหลังจากนั้นไม่นาน) ดังนั้นจึงเป็นที่แน่ชัดว่ามุ่งหมายจะเอาชีวิตพระองค์
  • ส่วนอันหลัง (กบฏอาณานิคมในอเมริกาเหนือ) ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามต่อสถาบันกษัตริย์ หรือ “พระเจ้าจอร์จที่ 3” เองหรือแม้แต่ราชวงศ์ของอังกฤษ
“แคทเธอรีนที่ 2” ทรงแน่ใจว่าอังกฤษจะกลายเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่สำคัญกับรัสเซียในอนาคต และยิ่งตอนนี้จมอยู่กับเหตุการณ์ในอเมริกาเหนือและยิ่งอ่อนแอลง ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับรัสเซีย พระองค์ไม่มีความปรารถนาให้ทหารรัสเซียยอมแลกด้วยเลือดเนื้อเพื่อช่วยลอนดอนจัดการกับปัญหาอาณานิคม
สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาด้วยว่ามหาอำนาจชั้นนำของยุโรป ซึ่งขณะนี้ทราบดีถึงคำขอของอังกฤษแล้ว จะตอบสนองต่อการส่งกองกำลังที่เดินทางออกไปอย่างไร และสงครามที่ยากลำบากกับพวกเติร์กและกบฏ Pugachev ที่สร้างความเสียหายได้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ที่รัสเซีย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับการพักสงครามไว้ก่อน
“แคทเธอรีนที่ 2” จึงได้ตอบกลับ “พระเจ้าจอร์จที่ 3” ไปว่า
  • เรา [รัสเซีย] เพิ่งเริ่มมีความสุขกับความสงบ และฝ่าบาทน่าจะรู้ว่าอาณาจักรของฉันต้องการการพักฟื้น ฝ่าบาทรู้ดีว่ากองทัพที่เสร็จสิ้นจากสงครามอยู่ในสภาพใด แม้ว่าจะได้รับชัยชนะจากสงครามที่ยาวนานและขมขื่นในบรรยากาศที่เลวร้าย
  • ก่อนอื่นฉันต้องสารภาพกับฝ่าบาทว่าช่วงเวลาจากปัจจุบันถึงฤดูใบไม้ผลิสั้นเกินไปที่จะให้โอกาสกองทหารของเราพักฟื้นจากงานที่พวกเขาทำและหามาตรการเพื่อจัดระเบียบใหม่อย่างเหมาะสม
  • นอกจากนี้หากคำนึงถึงความไม่สะดวกที่จะเกิดขึ้นหากกองทหารจำนวนมากดังกล่าวถูกนำไปใช้ในซีกโลกอื่น ซึ่งจะพบตัวเองอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่แทบไม่คุ้นเคยเลย และที่ซึ่งเกือบจะขาดการติดต่อกับกษัตริย์บ้านเกิด ความเชื่อของฉันเองในสันติภาพซึ่งทำให้ฉันสูญเสียความพยายามดังกล่าว ในทางบวกห้ามไม่ให้ฉันพรากส่วนสำคัญของกองทหารไปในเวลาอันสั้นเช่นนี้…
  • ทางรัสเซียได้เสนอทางเลือกอื่นคือ จะส่งกองทหารรัสเซียไปป้องกันฮันโนเวอร์ (อาณาเขตปกครองหนึ่งของอังกฤษในยุโรป) เพื่อที่ว่ากองกำลังปกป้องฮันโนเวอร์เดิมของอังกฤษจะถูกส่งไปยังอเมริกาเหนือแทน
อย่างไรก็ตาม แผนดังกล่าวไม่เหมาะสมและอังกฤษไม่ต้องการ “กันนิง” ที่ท้อแท้ใจตัดสินใจลาออกหลังจากภารกิจของเขาล้มเหลวในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และนักการทูตอังกฤษถูกส่งไปยัง Hesse (ส่วนหนึ่งในเยอรมนี) อย่างรวดเร็วเพื่อค้นหาทหารที่นั่น
  • แสดงความเป็นกลาง?
หลังไม่ประสบความสำเร็จในการขอกำลังทหารจากรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1777 ผู้บัญชาการกองกำลังทางบกของอังกฤษในอเมริกาเหนือ “ลอร์ดวิลเลียม ฮาว” รู้สึกหงุดหงิดที่ได้รับกำลังเสริมไม่เพียงพอจากยุโรป เขียนระบายว่า “กองทหารรัสเซียที่พร้อมรบ 10,000 นายจะรับประกันความสำเร็จของสงครามสำหรับสหราชอาณาจักร”
ในปี ค.ศ. 1780 “รัสเซีย” ได้ออกคำประกาศวางสถานะความเป็นกลางซึ่งหมายความว่า รัฐที่ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งสามารถค้าขายกับคู่ขัดแย้งใดๆ ได้อย่างเสรี และในไม่ช้ารัสเซียก็เข้าร่วมกับ เนเธอร์แลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก ออสเตรีย ปรัสเซียและโปรตุเกส “อังกฤษ” ถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่เป็นมิตร
“แคทเธอรีนที่ 2” เป็นนักการเมืองที่ระมัดระวังและจริงจัง ไม่รีบเร่งที่จะยอมรับอธิปไตยของสหรัฐอเมริกา แม้ข้อเท็จจริงที่ว่าพระนางจะทรงเห็นอกเห็นใจชาวอาณานิคมอเมริกาเหนือในความขัดแย้งก็ตาม ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองรัฐ [อเมริกากับรัสเซีย] เพิ่งเริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1809 ในช่วงการปกครองของพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 หลานชายคนโปรดของ “แคทเธอรีนที่ 2”
บทความโดย Right SaRa
26th Feb 2023
  • แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
  • เครดิตภาพปก:
(พื้นหลัง) The Battle of Bunker’s Hill, June 17, 1775 by John Trumbull, 1786 - Yale University Art Gallery
Catherine II, oil on canvas by Richard Brompton, 1782; in the collection of the State Hermitage Museum, St. Petersburg
โฆษณา