27 ก.พ. 2023 เวลา 06:06 • การเมือง

ความจริงที่ถูกบิดเบือน

ไขข้อข้องใจ ‘ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ มุมมองอีกด้านที่คนไทยทุกคนต้องรู้
ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ตำแหน่ง อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ….
ที่ผ่านมา สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกโจมตี ใส่ร้าย บิดเบือนเป็นอย่างมาก และทำเป็นกระบวนการ ไม่มีอะไรที่จะสยบความบิดเบือน การใส่ร้ายป้ายสีได้ดีเท่าการเอาความจริงเข้ามานำเสนอ เพื่อจะได้ทุบกะลาให้แตกออกมา และเมื่อความจริงปรากฏ ก็จะทำให้คนตาสว่างและเข้าใจในข้อเท็จจริงได้
สถาบันพระมหากษัตริย์ : ความจริงที่ถูกบิดเบือน
ผศ.ดร.อานนท์ ได้กล่าวว่า ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมชอบใส่ร้ายเรื่องเงินทอง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องของความบาดใจ เพราะบางคนที่ไม่มีก็จะอิจฉาคนที่มีมากกว่า ก็เลยรู้สึกว่า เรื่องที่โดนบิดเบือนเยอะที่สุดก็คือ เรื่อง ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ กับ ‘ภาษีกู’ ที่เป็นประเด็นหลัก
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ต้นกำเนิดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาจาก ‘เงินถุงแดง’ ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านทรงค้าขาย และเอาเงินเก็บไว้ที่ข้างพระแท่นบรรทม จึงเรียกว่า ‘พระคลังข้างที่’ ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านได้มีการลงทุนปล่อยกู้ คนก็เอาที่ดินมาจำนอง ที่ดินงาม ๆ ในกรุงเทพฯ เยอะแยะมากมาย ถูกจำนองและถูกยึด เพราะว่าไม่ใช้หนี้ และได้มีการลงทุนในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ทรงลงทุนในปูนซิเมนต์ไทย ซึ่งหุ้นปูนซิเมนต์ไทย พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ท่านทรงถือหุ้นอยู่ประมาณ 25% และหุ้นปูนซีเมนต์ไทย
2
เป็นหุ้นที่มีมูลค่าเกินกว่า 100 เท่า นับตั้งแต่วันที่เข้าตลาด เพราะฉะนั้น ลองคิดดูว่า มันงอกเงยขึ้นมากี่เท่า ที่ดินแปลงงาม ๆ ในกรุงเทพฯ บวกกับหุ้นปูนซีเมนต์ไทย หรือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยก็ตาม จึงทำให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์งอกเงยจากการลงทุนขึ้นมามากมาย
3
ทรัพย์สินส่วนพระองค์
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นของราชวงศ์จักรี หมายความว่าจะสืบทอดต่อไปกับพระเจ้าแผ่นดินในอนาคต คนละส่วนกับทรัพย์สินของแผ่นดิน เพราะทรัพย์สินของแผ่นดิน อยู่ที่กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ หรือกระทรวงการคลัง แยกขาดจากกัน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน จากจตุสดมภ์ 4 เวียง วัง คลัง นา และเปลี่ยนเป็น 12 กระทรวง
กษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลก
เมื่อถามว่า พระเจ้าแผ่นดินจะร่ำรวยไม่ได้หรือ ในเมื่อบรรพบุรุษค้าขายมาเก่ง เก็บเงินเก่ง ลงทุนเก่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าการที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ จริง ๆ ก็เป็นของที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง คือ สามารถพระราชทานช่วยเหลือประชาชนได้ในยามที่ประชาชนเดือดร้อนลำบาก ในช่วงโควิดที่ผ่านมา ทรงซื้อเครื่องช่วยหายใจไปเป็นหลายร้อยเครื่อง ถ้าไม่มีเครื่องช่วยหายใจที่ซื้อพระราชทานให้ โควิดจะมีคนตายมากกว่านี้
1
พระตำหนักที่เยอรมัน
นั่นก็เป็นเงินส่วนพระองค์ ที่ทรงซื้อไว้ตั้งแต่ยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ซื้อไว้ตอนที่ถูกมาก ในเมืองทุทซิง ซึ่งอยู่ในทำเลดีมาก และติดกับทะเลสาบ และส่งเสียภาษีที่ดินอย่างถูกต้องมาโดยตลอด แต่ระบบเยอรมันนั่น เป็นระบบที่แปลก คือ ปีภาษีจะครบทุก 4 ปี คราวนี้พอ 3 ปี ยังไม่ได้จ่าย ก็เลยมีคนบอกว่า ท่านไม่จ่ายภาษี จริง ๆ คือมันยังไม่ครบกำหนดที่จะต้องจ่าย นี่คือพวกหาเรื่อง ก็พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชทรัพย์ตกทอด
3
เนื่องจากราชสกุลมหิดล มีทรัพย์สินส่วนพระองค์ค่อนข้างเยอะ เพราะสมเด็จพระศรีสวรินธราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เป็นพระมเหสีที่ประหยัด ขยัน อดออม และฉลาดในการค้าขาย ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดให้ทอผ้าขายในพระราชวังสวนดุสิต และโปรดทรงทำนา และโปรดทำโรงสีข้าว ยกตัวอย่างเช่น หมู่บ้านสัมมากรทั้งหมู่บ้าน เป็นที่ดินของสมเด็จพระพันวัสสาฯ เป็นที่นาเก่าของสมเด็จพระพันวัสสาฯ
4
และสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงเห็นว่า อยากให้ประชาชน คนที่มีสัมมาชีพ ได้มีสัมมาการอยู่อาศัย จึงได้พระราชทานมาจัดสรรเป็น ‘หมู่บ้านสัมมากร’ เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ทั้งนั้น
3
เปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชน
พระองค์ท่านทรงเปลี่ยนหลายอย่าง อย่างที่ 1 คือ พระราชทานทรัพย์สินที่ดินจำนวนมากให้กับหน่วยราชการ เช่นตรงซอยมหาดเล็กหลวง 1-3 ตรงราชดำริ มูลค่านับแสนล้าน ทรงพระราชทานให้วชิราวุธวิทยาลัย ค่ายนเรศวรของตำรวจตระเวนชายแดน ก็คือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน กระทั่งสำนักข่าวกรองแห่งชาติ หรือว่ากรมตำรวจที่วังปารุสก์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ดินพระราชทานจำนวนมากมายมหาศาล ที่เดิมเป็นที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และหน่วยราชการไปขอใช้ ท่านก็ทรงพระราชทานโฉนดให้หน่วยราชการนั้น
2
อย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และหน่วยราชการอื่น ๆ กระทรวงศึกษาธิการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ทั้งกองก็ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังสวนดุสิต เพราะพระราชทานที่ดินให้ และอย่างทรัพย์สินแปลงใหญ่ ที่สุดในกรุงเทพฯ ตอนนี้ ก็กลายเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ เหมือนกัน นั่นก็คือ สนามม้านางเลิ้ง
4
แก้กฎหมายให้พระมหากษัตริย์ต้องเสียภาษี
ทรงแก้กฎหมายให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ต้องเสียภาษีเหมือนกับทรัพย์สินประชาชน เพราะว่า พ.ร.บ. ทรัพย์สิน 2491 ยกเว้นภาษี พระองค์ท่านทรงไม่เห็นด้วย แต่นั่นก็เป็น พ.ร.บ. ที่ทำไว้ตั้งแต่สมัย นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งแต่ละปีก็ทรงเสียภาษีเป็นจำนวนมาก
4
ในหลวงและพระราชินี ทรงไม่รับเงินปี
ทรงไม่รับเงินปี ซึ่ง ‘เงินปี’ ถือว่าเป็นเรื่องซีเรียส เป็นเงินที่ทุกประเทศทั่วโลก จัดถวายพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ ให้ทรงใช้เป็นการส่วนพระองค์ จะทรงใช้ทำอะไรก็ได้ พระเจ้าอยู่หัวเมื่อครองราชย์ ท่านก็ทรงไม่รับ และพระราชทานคืนให้รัฐบาล ซึ่งรัฐบาลจะเอาไปใช้ทำอะไร ตนก็ไม่อาจทราบ
4
หน่วยงานราชการในพระองค์
รัชกาลนี้มีการเปลี่ยนแปลง คือ มีการรวมหน่วยงานที่อารักขาทั้งหมด เข้ามาเป็นหน่วยงานเดียวกัน เช่น เดิมทีอาจจะอยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่กองทัพบก อยู่กองทัพเรือ อยู่กองทัพอากาศ และมีนาย 2 คน คือ นายที่ต้นสังกัด กับการมาถวายอารักขาเป็นราชองครักษ์ ปรากฏว่ามีปัญหาขาด Unity of Command เอกภาพในการบังคับบัญชา
พระเจ้าอยู่หัวท่านจึงโปรดให้รวมหน่วยงานทั้งหมดที่เคยกระจัดกระจาย ขึ้นมาเป็นหน่วยงานเดียวกัน ชื่อว่า ‘หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘นผ.ปพ.รอ.’ ซึ่งขึ้นตรงกับพระเจ้าอยู่หัว และมีพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด รองผู้บัญชาการ คือ สมเด็จพระนางเจ้า พระราชินี และเสนาธิการ คือ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา
คราวนี้ นผ.ปพ.รอ. ก็โอนเงินเดือนจากสังกัดต่าง ๆ ที่เดิมทีประจำอยู่กรมตำรวจฯ อยู่กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ก็เป็นเงินเดือนของราชการเดิม ในหน่วยราชการในพระองค์ มีข้าราชการประมาณ 14,000 คน ในหน่วยงาน 3 หน่วยงาน คือ ‘สำนักพระราชวัง’ ถามว่า ประเทศไม่มีสำนักพระราชวังได้หรือไม่ คำตอบคือ ‘ไม่ได้’ ทุกประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ ก็มีสำนักพระราชวัง ทำหน้าที่คอยประสานระหว่างรัฐบาลกับพระเจ้าแผ่นดิน และ นผ.ปพ.รอ. ทำหน้าที่เป็นรอยัลการ์ด (Royal guard) ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกมีเช่นนี้หมด
1
ยกตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ใช้เงินประมาณ 30,000 ล้านเหรียญต่อปี ในการอารักขาประธานาธิบดีคนเดียว ซึ่งประเทศไทยใช้อยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมาก และ 8,000 ล้านนี้ รวมสำนักพระราชวังแล้ว สำนักงานองคมนตรี หน่วยราชการในพระองค์ 3 หน่วย ได้งบรวมกัน ประมาณ 8,000 ล้าน และเป็นค่าจ้างเงินเดือน เดือนละประมาณ 7,900 ล้านบาทด้วยซ้ำ ซึ่งน้อยมาก แต่งานเยอะ เงินที่จะจ้างไม่พอ อัตรากำลังไม่พอ
2
พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงใช้เงินส่วนพระองค์ ที่เรียกว่า ‘ททน.’ ที่ย่อมาจาก ‘ท้ายที่นั่ง’ ทรงจ้างข้าราชการรับใช้ส่วนพระองค์เอง ด้วยเงินส่วนพระองค์ ในการดูแล เช่น หากสำนักพระราชวังต้องการที่จะซื้อคอมพิวเตอร์ ก็ต้องขอพระราชทานเงินส่วนพระองค์ เพราะทุกอย่างเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษีประชาชนเลย
3
โครงการพระราชดำริกับงบประมาณ 30,000 ล้านบาท
โครงการพระราชดำริ เป็นโครงการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงริเริ่ม เพราะว่าถ้ารอราชการมันช้า เมื่อทำเสร็จแล้ว จึงกลับไปโอนเป็นของราชการเหมือนเดิม ยกตัวอย่างเช่น ขุนด่านปราการชล ป้องกันน้ำท่วมจังหวัดนครนายก สร้างโดยพระราชดำริ คนได้รับงบสร้าง คือ กรมชลประทาน ค่าดูแลเขื่อน 1 ปี สมมุติ 50 ล้านบาท กรมชลประทานเป็นคนจัด พระเจ้าแผ่นดินไม่ได้จัด
แต่คนที่เอามาใส่ร้าย ก็เอางบเหล่านี้มารวมกัน ทั้ง ๆ ที่ถามว่า เขื่อนเป็นประโยชน์กับใคร เป็นประโยชน์กับพระเจ้าอยู่หัวหรือ คำตอบคือ เขื่อนนั้นเป็นประโยชน์กับประชาชน เพียงแค่เป็นพระราชดำริ ก็เอาเงินมารวม ที่บอกว่า โครงการพระราชดำริ 30,000 กว่าล้านบาทนั้น จึงไม่ใช่ เพราะมีพระราชดำริว่า โครงการพระราชดำริ เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้หน่วยราชการเป็นคนดูแล เป็นงานประจำ ท่านเป็นคนริเริ่ม และหน่วยงานราชการเป็นคนรับสนองพระบรมราชโองการ แต่หน่วยงานราชการทุกที่จะทำได้ดีหมดหรือไม่ ตนก็ไม่เชื่อ
2
งบประมาณแผ่นดินกับสถาบันพระมหากษัตริย์
เงินที่ประชาชนถวาย ทรงทำบัญชีแยกไว้ต่างหากเป็นกอง ๆ แยกเงินออก ไม่ได้นำไปใช้ส่วนพระองค์ เงินที่เป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เองก็มีเป็นจำนวนมาก เช่น โครงการราชทัณฑ์ปันสุข เป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทั้งนั้น คราวนี้ เงินที่พระราชทานให้กับโรงพยาบาลศิริราช
เป็นเงินที่ประชาชนร่วมเรียนทูลเกล้าถวาย ตอนงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้หลายร้อยล้าน ทรงพระราชทานให้กับโรงพยาบาลศิริราช และมีเงินที่ประชาชนทูลเกล้าถวาย โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัยแล้ว แต่ว่าประชาชนถวายมา เพื่อวัตถุประสงค์อะไร ก็ทรงแยกเงินเป็นกอง ๆ และทรงใช้ตามวัตถุประสงค์ ตามที่ประชาชนถวาย
1
ผศ.ดร.อานนท์ กล่าวต่อว่า การที่พระเจ้าแผ่นดินร่ำรวย ถือเป็นเรื่องดี เพราะ ทำให้ทรงมีพระราชทรัพย์ที่จะช่วยเหลือประชาชน ในกรณีที่ประชาชนเดือดร้อน ถ้าพระเจ้าแผ่นดินเป็นยาจกยากจน จะช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจะเข้าใจได้ ลองไปดูสิว่า มหาเศรษฐีเมืองไทยคนไหน ที่มีทรัพย์สินประมาณเท่ากับพระองค์ท่าน แล้วทำบุญช่วยเหลือประชาชนได้เท่ากับพระองค์ท่าน ตนกล้าท้าได้เลยว่าไม่มี
4
โฆษณา