ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2017 การเปิดเสรีดังกล่าวจะมีส่วนเหมือนหรือคล้ายกับการเปิดเสรีกิจการไฟฟ้า (ตามที่ได้นำเสนอใน Power of the Act EP 23) หรือไม่และอย่างไร และที่สำคัญคือประเทศไทยจะสามารถเรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ของประเทศญีปุ่นได้บ้าง เราลองมาค้นคำตอบกันใน EP 24 นี้
*ความเป็นมาในอดีต
ก๊าซธรรมชาติถูกค้นพบในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ก่อนปี ค.ศ.1645 ในช่วงเวลาดังกล่าวก๊าซธรรมชาติถูกใช้ประโยชน์โดยครัว เรือนในบริเวณที่มีการค้นพบก๊าซธรรมชาติเท่านั้น ต่อมาการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตแสงสว่างเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1872 (ข้อมูลจาก Hideo Taki, ‘The Gas Industry in Japan’ (Columbia Business School, June 1996)
อย่างไรก็ตาม กรณีมีข้อสังเกตว่าประเทศญี่ปุ่นไม่ได้มีแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติเป็นของตัวเอง ดังนั้น ก๊าซธรรมชาติที่บริโภคใน ประเทศ (ร้อยละ 97) เกิดจากการนำเข้าจากต่างประเทศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้) (ข้อมูลจาก Ronald Soligo, ‘Facilitating Development of the Natural Gas Market in Japan: Pipelines and Gas Law)
โดยมีผู้ประกอบกิจการก๊าซ ธรรมชาติรายใหญ่จำนวน 4 รายได้แก่ Tokyo Gas, Osaka Gas, Toho Gas และ Saibu Gas ซึ่งเป็นผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติ ประมาณ 3 ใน 4 ของปริมาณก๊าซธรรมชาติในตลาดก๊าซธรรมชาติ (และเป็นเจ้าของระบบโครงข่ายก๊าซธรรมชาติอีกด้วย)
ในแง่ของการกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาตินั้น ประเทศญี่ปุ่นได้ตรา Gas Business Act (1954) ขึ้นเพื่อกำกับดูแล กิจการก๊าซธรรมชาติในส่วนของกิจการค้าปลีกและกิจการขนส่งก๊าซธรรมชาติโดยจะต้องขึ้นทะเบียนหรือขอรับใบอนุญาตจากกระทรวง เศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (Ministry of International Trade and Industry หรือ “METI” แล้วแต่กรณี ใน ส่วนของกิจการก๊าซธรรมชาตินั้น Gas Business Act (ค.ศ. 1954) เปิดโอกาสให้มีการประกอบกิจการและการแข่งขันในกิจการก๊าซ ธรรมชาติต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
Japan Gas Association (หรือ JGA) อธิบายว่าเมื่อมีการเปิดเสรีกิจการค้าปลีกก๊าซธรรมชาติอย่างเต็มรูปแบบแล้วการ ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติในเขตเมืองของประเทศญี่ปุ่นนั้นจะสามารถแบ่งออกเป็นการประกอบกิจการผลิตก๊าซธรรมชาติ (LNG Terminals) ผู้ประกอบกิจการท่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ (Gas Pipelines) และผู้ประกอบกิจการค้าปลีกก๊าซธรรมชาติ