Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Be(e)_Trader
•
ติดตาม
8 มี.ค. 2023 เวลา 05:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Trader มีกี่ประเภท !? | ทำไมสิ่งที่คิดกับส่งที่เป็นอาจไม่ตรงกัน..
อ้างอิงจากบทความ ซีรีย์ "อยากเป็น Trader ต้องรู้อะไรบ้าง" จะมีสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างต้นๆ ที่ต้องทำเลยคือ การหาความรู้ใน"ตัวเอง" จากการทำ Research ค้นหาตัวเอง เรียกว่า "Self-Evaluation" ซึ่งหลายๆครั้ง แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็เกิดข้อผิดพลาดได้เหมือนกัน เพราะ *บางทีสิ่งที่คิดว่าเราเป็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราเป็น*
โดยในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า Trader มีแบบไหนบ้าง มีมุมมองต่อการ Trade อย่างไร ไปในทิศทางไหน รวมถึงข้อดีและข้อเสียของแนวการ Trade แต่ละประเภท เพื่อเป็นแนวทางให้กับมือใหม่หรือคนที่สนใจ Trade โดยในบทความนี้ผู้เขียนจะอ้างอิงจากการ Trade ตลาด Forex ซะส่วนใหญ่ แต่ Stock ก็สามารถปรับใช้แนวคิดนี้ได้ครับ
*ถ้าเราเจอตัวเองเร็วและยึดกับสไตล์การ Trade นั้นๆ ก็จะทำให้เราหา วิธีการหรือปรับแบบแผน (Strategy) ที่เหมาะสมเพื่อนำไปสู่การอยู่รอดในตลาดได้ครับ
Trader จะสามารถแบ่งออกได้เป็น 4+1 ประเภทหรือ 4 ระยะใหญ่ๆ คือ Scalper / Day Trader / Swing Trader / Position Trader และอีก 1 ประเภทก็จะเรียกได้ว่าเป็น "สายผสม" จากประสบการณ์ผู้เขียนเองก็มีคนที่เป็นสายนี้และอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ ไปดูกันครับ !!
1.Scalper (นักเทรดระยะสั้น): ในประเภทนี้เรียกได้ว่าเป็นสายการ Trade ที่หลายๆคนอาจจะได้ยินมา เพราะ ขึ้นชื่อว่า "เทรดระยะสั้น" ก็สามารถจำเข้าทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น โดย Trader ประเภทนี้ก็จะเข้าซื้อขายใน Time Frame ตั้งแต่ หลักนาทีลงไปถึงหลักวินาทีครับ ซึ่งการซื้อขายแบบนี้ก็จะกดเข้าซื้อขายเปิดปิดๆๆ แบบรัวๆๆ อย่างเป็นระบบครับ
ข้อดีคือ ไม่ต้องรอเวลานาน เจอโอกาศเข้าทำการซื้อขายเยอะ ทำให้สามารถเข้าทำกำไรได้แทบจะทุกนาทีเลยถ้าตลาดเป็นใจ และ หากมี Risk Management ที่ดีก็สามารถปรับเปลี่ยนให้ใช้เวลาอยู่บนกราฟได้น้อยลง ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ใจร้อน และไม่อยากรอให้ราคาวิ่งไปถึงจุดทีต้องการเวลานาน ซึ่งจุดนี้ก็คือข้อดีเช่นทำให้ไม่มีเวลาพะวงว่ารถนี้จะล่มหรือไม่ล่มเพราะเดี๋ยวก็ได้รู้ผลไม่นานครับ
ข้อเสียคือ หากวันไหนกราฟไม่ค่อยเป็นใจจะใช้เวลาอยู่บนหน้ากราฟนานกว่าแบบอื่นๆเพราะแท่งเทียนอัพเดททุกๆนาทีหรือทุกวินาที รวมถึง ในเรื่องจิตใจ เนื่องจาก Scalper จะ Trade แบบเปิดๆปิดๆ หรือ ใช้เวลาต่อออเดอร์น้อย หากตลาดไม่เป็นใจ หรือ มี Risk Management ที่ไม่ค่อยชัดเจนหรือไม่เป็นระบบ ก็อาจจะมีวันที่แพ้รัวๆ(ซึ่งเกิดขึ้นได้เป็นปกติ) ก็จะทำให้ส่งผกระทบต่อจิตใจได้อย่างมากเลยครับ
"รีบกลับบ้านไป Trade ก่อน"
2.Day Trader (เทรดจบในวัน): ซึ่งที่เรียกว่า Trade จบในวัน เพราะ Trader ประเภทนี้จะมองการเคลื่อนที่ของราคา (Price Action) ที่ระยะยาวกว่า Scalper ขึ้นมา 1 ระดับครับ ซึ่ง Day Trader นั้นที่เรียกได้ว่า Trade จบในวัน โดยปัจจัยหลักๆคือ ต้องการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาในขณะที่ไม่ได้เฝ้ากราฟนั้นเองครับ เพราะความเสี่ยงในตอนนั้นก็อาจจะมีทั้งดีและไม่ดี เช่น ราคาไปถึงจุดที่ควรจะไปแล้วขณะที่หลับอยู่ แต่ไม่ได้ขายออกจากตลาดทำให้ราคาวกกลับมากลายว่าเป็นขาดทุนจากการซื้อขายครั้งนั้น
ข้อดีคือ ใช้เวลาในการดูกราฟกลางๆไม่มากไม่น้อย ไม่ต้องพะวงว่ากราฟจะวิ่งไปยังไงขณะนอนรือเวลาที่ไม่ได้เข้ามาดูกราฟ เพราะ จะเปิดและปิดออเดอร์ภายในวัน ซึ่งจะเหมาะสำหรับคนที่ใจเย็นมาขึ้น 1 ระดับ อาจจะไม่อยู่ในระดับที่ฝืนตัวเองจนเกินไปที่ต้องใช้เวลารอให้กราฟวิ่งไปทางทิศทางนั้น
ข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับคนใจร้อนเห็นตัวเลขขึ้นๆลงๆ เนื่องจาก Day Trader นั้นต้องใช้เวลาต่อ Order ที่ต้องรอให้ราคาไปในทิศทางนั้นระดับนึงครับ ซึ่งอาจจะกินเวลาตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น(ในวันเดียวกัน) ที่ต้องยกขึ้นตัวเลขขึ้นมาเพราะสาย Day Trader จะใช้เวลาเฝ้ากราฟกลางๆ การที่เห็นตัวเลขขึ้นๆลงๆ ก็อาจจะส่งผลต่อจิตใจทำให้ไม่ได้ทำตามแผน 100% ได้ครับ
3.Swing Trader (นักเทรดระยะกลางถึงยาว): ประเภทนี้ก็จะเพิ่มระยะเวลาต่อ ออเดอร์ ขึ้นมาอีก 1 ระดับครับ ซึ่งในระยะนี้ Trader จะมุ่งเก็งกำไรต่อรอบ ที่เรียกว่า "Swing" นั้นเองครับ เพราะในการวิเคราห์อย่างเช่น กราฟเทคนิค ในเรื่อง Structure ของราคาจาก Dow Theory หรือ Elliot ก็จะมีทั้งรอบไปต่อ (Impulse) และ รอบย่อ(Retracement) ซึ่งแน่นอนว่าระยะเวลาการจบของแต่ละรอบก็จะแตกต่างกันออกไปอาจจะตั้งแต่ภายใน 1 วันหรือยาวๆออกไป ซึ่งหากจะอ้างอิงจาก Time Frame ที่เข้าทำการซื้อขายอาจจะอยู่ในช่วงของ 1H - Daily ครับ
- โดยทั่วไปแล้ว Swing Trader จะถือ Order ข้ามวันเป็นเรื่องธรรมดา แต่จะไม่ค่อย(แต่ก็มี) การถือ Order ข้ามอาทิตย์ เพื่อลดความเสี่ยงช่วงที่เป็นวันหยุดหรือวันที่ตลาดปิด(ของ Forex) ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ Risk Management ของแต่ละคนครับ
ข้อดีคือ เหมาะกับคนมีเวลาเฝ้ากราฟน้อย เรียกได้ว่าใช้เวลาวิเคราห์กราฟน้อยกว่าระยะเวลาถือ Order เช่น 4h ก็กลับมาดูกราฟใหม่ทุก 4 ชั่วโมง จะสามารถเก็บระยะได้ค่อนข้างไกลจาก Time Frame ที่สูงครับ
ข้อเสียคือ อาจจะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับระยะเวลาที่ถือต่อออเดอร์ เพราะสาย Swing จะถือ Order ข้ามวันข้ามคืนเป็นเรื่องปกติ กรณีที่ Target หรือ รอบ Swing ที่วางไว้อาจยังไม่ถึงตามแผน ช่วงที่นอนอยู่นั้นบางทีอาจจะมี Volume พิศดารขึ้นมาระหว่างที่นอนอยู่ก็อาจจะทำให้ควบคุมในส่วนนั้นไม่ได้ครับ และ สายก็จะไม่เหมาะกับคนใจร้อนเช่นเคยครับเพราะสาย Swing เรียกได้ว่าใช้เวลาถือนานกว่าเวลา วิเคราห์กราฟ(ในบางกรณี) การที่เห็นเลขขึ้นๆลง ก็อาจทำให้เกิดความไม่มั่นคงของจิตใจได้ครับ
4.Position Trader (นักเทรดระยะยาววว): Trader ประเภทนี้จะถือได้ว่าจะใช้ระยะเวลาการในเข้าและออกออเดอร์หลายวัน หลายเดือนถึงเป็นปีเลยทีเดียว แต่ยังอาจจะเรียกไม่ได้ว่าเป็น Invester ที่จะเน้นถือยาวเป็นหลักปีหรือที่รู้จักกันในสายการลงทุนแบบ VI หรือการลงทุนเน้นคุณค่าของการถือสินทรัพย์ครับ ซึ่ง Position Trader ก็จะใช้ Time Frame ในการเข้าทำการซื้อขายตั้งแต่ Daily - Monthly เลย
ยกตัวอย่างเช่นหากวิเคราห์กราฟทางเทคนิคใน TF Daily ระยะเวลาต่อ 1 แท่งเทียนก็คือ 1 วันในการสร้างเสร็จดังนั้นเวลาดูกราฟวิเคราห์ทางเทคนิคก็จะดูแค่เพียงวันละ 1 ครั้งเท่านั้นครับ
ข้อดีของการ Trade ในระยะที่นานขนาดนี้คือ เวลาที่ใช้การวิเคราห์กราฟทางเทคนิคจะสวนทางกับระยะเวลาการถือออเดอร์ครับคือใช้ระยะเวลาน้อยมากๆๆๆ เพราะ ดูกราฟแค่วันละครั้ง เดือนละครั้ง แต่จะถือ Order ยาวๆมากๆ จะทำให้เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือ คนที่อยาก Trade แบบชิวๆ ไม่อยากเร่งรัดอยู่หน้าจอเหมือน Scalper หรือ Day Trader ครับ
ข้อเสียคือใช้ระยะเวลานานมากๆๆๆ ในการที่จะรอ 1 ออเดอร์ว่า รถคันนั้นล่มหรือไม่ รวมถึง หากว่า รุ่ง ก็ใช้เวลานานมากๆเช่นกันกว่าที่จะรู้ว่า Order นั้นผลเป็นแบบไหน คุ้มรอไหมครับ
"รอนานจนหน้าเหี่ยวหมดละ"
*5.Mixed (ผสม): Trader ประเภทนี้จากประสบการณ์ของตัวผู้เขียนเองก็อาจจะมี Trader ที่เป็นประเภทนี้ไม่มากก็น้อย รวมถึงตัวผู้เขียนเองก็อาจจะเป็นประเภทนี้เช่นกันครับ โดยในประเภทนี้จะใช้ Time Frame ที่วิเคราห์จุดเข้าทางเทคนิค ออกไปในหลายๆ Time Frame ซึ่งหมายความว่า Trader ประเภทนี้จะทำการซื้อขายโดยจะหวังผลทั้งในระยะสั้น ระยะยาว และ ระยะย๊าวยาว ออกไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะเพิ่มกำไรต่อออเดอร์ โดยการเข้าทำการซื้อขายใน Time Frame ที่ตกต่างกันออกไปครับ (เรียกสั้นๆว่า "รันเทรนด์")
ดังที่กล่าวไป การ "รันเทรนด์" ของ Trader ประเภทนี้จะแตกต่างกับ Trader ประเภทอื่นตรงที่ว่าสามารถ "ทำการซื้อขายใน Time Frame ที่ต่ำแต่ก็จะหวังผลในระยะยาว" เช่น ทำการเข้าซื้อขายที่ 1m ซึ่งเป็นระยะที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Scalper เมื่อราคาไประดับนึง ซึ่งถ้าเป็น Scalper ก็จะออกจากตลาด แต่ในรูปแบบ Mixed จะหวังให้ราคารันต่อๆไปในทางนั้นซึ่งอาจจะเป็น จุด Structure ของ 10m/15m/1h/4h ที่เป็น Time Frame ที่สูงกว่าและจะปล่อยรอให้ไปถึงจุดนั้นๆตามแผนครับ
ดังนี้ ที่ต้องเรียกว่าเป็นรูปแบบ Mixed เพราะการที่จะถือสั้นถือยาวนั้นอาจอ้างอิงอยู่กับการเคลื่อนที่ของราคา ในตลาดหรือหน่วยการลงทุนนั้นๆ ทำให้อาจจะไม่ได้เป็น Scalper Day Trader Swing หรือ Position Trader ซะทีเดียวครับ ซึ่งที่กล่าวมาจะแตกต่างกับ Trader ประเภทอื่นที่จะมีระยะเวลาการเข้าออกออเดอร์แน่นอน รวมถึงมีกฎในเรื่องเวลาที่เคร่งครัดมากกว่าครับ (เช่น Day Trader ก็จะปิดเพียงในวันเดียว)
อธิบายเข้าใจง่ายๆ ประมาณว่า เข้าแบบ Scalper แต่ออกแบบ Swing Trader เพราะ เห็นโอกาศ(Opportunity) ที่ราคาจะไปต่อ จึงปล่อยต่อๆๆ ยาวออกไปตามระยะครับ
ทั้งนี้ข้อดีของการซื้อขายประเภทนี้ คือ ปรับเปลี่ยนระยะเวลาได้ตามใจตัวเองว่าจะจะถือสั้นหรือยาว อัตราความเสี่ยง Risk to Reward ก็จะสูงกว่าเพราะ สามารถเข้าใน Time Frame ต่ำและเล็งเป้าการออกทำกำไรที่ TF สูง และ จะปรับตัวกับตลาดได้ง่ายเพราะจะเล่นสั้นยาวได้หมด หรือมีความยืดหยุ่นนั้นเองครับ
แต่ข้อเสียคือก็มาจากข้อดี คือความยืดหยุ่นอาจทำให้ไม่มีการจำกัด Risk Reward ที่ชัดเจนว่าเข้าได้แต่ออกตรงไหนจะทำให้สับสนได้ง่ายกว่าประเภทอื่นๆ และ ถ้าใจไม่มั่นคง หรือ การวิเคราห์ไม่ได้มีแบบแผนมากพอก็จะส่งผลทำให้การเข้าทำการซื้อขายไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่คาดหวัง รวมถึงปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆของประเภทอื่นๆก็จะมีส่วน เช่น ความเสี่ยงเมื่อถือ Order ข้ามคืน ข้ามสัปดาห์ ความเสี่ยงจากข่าวหรือความผันผวนเมื่อเข้าทำการซื้อขายที่ TF เล็กๆ และอื่นๆ
จากที่อ่านมาก็จะเห็นคร่าวๆว่าแต่ละแบบเป็นยังไงมีสไตล์การ Trade อย่างไร คนที่ผ่านมาเห็นก็มาแชร์กันครับว่า ตัวเองเป็นแบบไหน และอะไรทำให้รู้ว่าตัวเองเป็นแบบนั้น Comment มาแชร์กันครับ
ส่วนตัวผู้เขียนเองที่บอกว่าเป็น แบบ Mixed คือผู้เขียนเองค่อนข้างใจร้อนเห็นตัวเลขขึ้นๆลงนานไม่ได้จะกินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดว่าจะเป็น กึ่งๆ Scalper แต่ด้วย แผน หรือ Strategy ที่ใช้จะเป็นสายปล่อยครับ
-ผู้เขียนถึงผู้อ่าน-
1. Time Frame ที่เข้าทำการซื้อขายนั้น อาจจะไม่ใช่ Time Frame ที่วิเคราห์กราฟเทคนิค แล้วแต่วิธีของแต่ละบุคคลครับ ในส่วน Time Frame จะมีการเขียนเป็นบทความอธิบายที่ลงรายละเอียดมากขึ้นในอนาคต ฝากติดตามกันด้วยนะครับ (ไหว้ย่อ)...
2. ขอบคุณผู้อ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
*บทความดังกล่าวเป็นเพียงการให้ความรู้จากมุมมองและ ความเห็นผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น ไม่ใช่การแนะนำการลงทุน
*การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน
พัฒนาตัวเอง
การลงทุน
การเงิน
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย