1 มี.ค. 2023 เวลา 14:18 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

9 สมมติฐาน ที่ใช้อธิบายว่าทำไมเราถึงไม่หามนุษย์ต่างดาวไม่เจอสักที!!!

เมื่อ 60 กว่าปีที่แล้ว เอนริโก แฟร์มี นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลชาวอิตาเลียน มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วถามว่า
‘พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน?’ แน่นอนว่าเขากำลังพูดถึงมนุษย์ต่างดาวอยู่นั่นเอง
ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ทราบว่ามีดาวเคราะห์หลายล้านดวงในจักรวาล ที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดังนั้นในประวัติศาสตร์อันยาวนานสำหรับทุกสรรพสิ่ง จึงมีคำถามว่าเพราะเหตุใด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับมนุษย์อย่างพวกเราได้ หรืออาจจะเป็นเพราะจักรวาลนั้นกว้างใหญ่เกินกว่าที่เดินทางไปมาหาสู่กันได้
อาจเป็นไปได้ว่ามนุษย์ต่างดาว (ที่บางส่วนน่าจะมีเทคโนโลยีสูงกว่าเรา) เพิกเฉยต่อเรา หรืออาจเป็นไปได้ว่าทุกอารยธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นมา ล้วนจะต้องก้าวไปสู่การทำลายตัวเองอย่างถาวร
หรือบางที ก็อาจจะมีเหตุผลอะไรแปลก ๆ ที่ถูกคิดขึ้นมา โดยที่เราอาจคาดไม่ถึง และนี่คือ 9 เหตุผลแปลก ๆ ของนักวิทยาศาสตร์ ที่ถูกนำมาใช้อธิบายว่าเพราะอะไร มนุษย์โลกอย่างพวกเราถึงไม่สามารถติดต่อกันมนุษย์ต่างดาวได้สักที
1.มนุษย์ต่างดาวหลบซ่อนตัวอยู่ใต้มหาสมุทรน้ำแข็ง
ในกลุ่มดาวเคราะห์บางดวง หรือดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเรา จะมีลักษณะเป็นดาวเคราะห์น้ำแข็ง ที่ภายใต้เปลือกน้ำแข็งมีมหาสมุทรซ่อนอยู่ ซึ่งถ้าหากมนุษย์อย่างพวกเราต้องการติดต่อกับพวกเรา พวกเราจำเป็นต้องส่งเรือตัดน้ำแข็งสักสองสามลำขึ้นไปบนดาวดวงนั้น
จากสมมติฐานดังกล่าว นักวิทยาศาสตร์กล่าวภายใต้พื้นผิวน้ำแข็งบนดาวเคราะห์หรือดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์เหล่านี้ จะมีมหาสมุทรขนาดใหญ่ถูกซ่อนเอาไว้ ไม่ใช่แค่ในระบบสุริยะของเรา แต่ยังมีดาวเคราะห์ประเภทนี้อีกมากมายนับไม่ถ้วนในทางช้างเผือก
อลัน สเติร์น นักฟิสิกส์ของนาซาคิดว่าโลกน้ำแข็งเหล่านี้ สามารถเป็นพื้นที่ ที่มีความสมบูรณ์แบบต่อการพัฒนาสิ่งมีชีวิต แม้ว่าสภาพพื้นผิวอาจไม่เอื้ออำนวยนัก
โดยสเติร์นได้กล่าวว่า ‘ผลกระทบจากเปลวเพลิงสุริยะ ซูเปอร์โนวาในบริเวณใกล้เคียง วงโคจรของดาวเคราะห์ ชั้นบรรยากาศและพลังของสนามแม่เหล็ก หรือบรรยากาศที่เป็นพิษ สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้พื้นดิน’
1
หากเป็นเช่นนี้จริง หมายความว่าเราไม่สามารถค้นหาพวกเขาด้วยกล้องโทรทรรศน์ และเราคงไม่สามารถคาดหวังว่าพวกเขาจะติดต่อกลับมาหาเราเอง จะมีแค่ฝ่ายมนุษย์อย่างพวกเรา ที่ต้องไปติดต่อกับพวกเรา
1
โดยสเติร์นกล่าวทิ้งท้ายว่า หากพวกเขาอาศัยอยู่ในมหาสมุทรใต้เปลือกน้ำแข็งจริง พวกเขาน่าจะอยู่ลึกลงไปมากเลยทีเดียว และบางที พวกเขาอาจไม่รู้ว่ามีท้องฟ้าอันกว้างใหญ่อยู่บนพื้นผิวดาวเคราะห์ของพวกเขาก็ได้
2. มนุษย์ต่างดาวติดอยู่บน ‘Super-Earths’
สำหรับซุปเปอร์เอิร์ธ (Super-Earths) ในทางดาราศาสตร์ หมายถึงดาวเคราะห์ประเภทหนึ่ง ที่มีมวลมากกว่าโลกถึง 10 เท่า และการสำรวจอวกาศที่ผ่านมาของมนุษย์ ทำให้เราค้นพบซุปเปอร์เอิร์ธจำนวนมาก และบนดาวเคราะห์เหล่านี้ อาจมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้
แต่น่าเสียดาย ที่เราอาจไม่ได้พบกับมนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ จากการศึกษาพบว่า ซุปเปอร์เอิร์ธจะมีความเร็วหลุดพ้นมากกว่าโลก 2.4 เท่า และการเอาชนะแรงดึงดูดขนาดนั้น อาจทำให้การปล่อยจรวดและการเดินทางในอวกาศเป็นไปไม่ได้
ไมเคิล ฮิปป์เค นักวิจัยชาวเยอรมนี ที่ได้ร่วมวิจัยกับหอดูดาว Sonneberg ได้กล่าวว่า ‘บนดาวเคราะห์ขนาดใหญ่แบบนั้น การเดินทางในอวกาศนั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมนุษย์ต่างดาวบนซุปเปอร์เอิร์ธ จะมีข้อจำกัดในระดับหนึ่งบนดาวบ้านเกิดของพวกเขา’
3. มนุษย์โลกอย่างพวกเราเข้าใจผิดไปเอง (แท้จริงมนุษย์ต่างดาวคือหุ่นยนต์)
1
มนุษย์โลกประดิษฐ์วิทยุได้สำเร็จราวทศวรรษที่ 1900 และสร้างคอมพิวเตอร์เครื่องแรกได้สำเร็จในปี ค.ศ.1945 และปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจจำพวกอุปกรณ์พกพาที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นจำนวนมาก และได้พัฒนาต่อยอดขึ้นมาจนกลายเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ซึ่งอีกไม่นานต่อจากนี้ เราอาจได้เห็นระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ A.I. ที่จะก้าวขึ้นมามีอิทธิพลต่อชีวิตของเรามากยิ่งขึ้น
เซ็ธ โชสแต็ค นักดาราศาสตร์อาวุโสของสถาบัน SETI Shostak ได้กล่าวว่านั่นเป็นเหตุผลที่เพียงพอ ที่จะเปลี่ยนกรอบความคิดในการค้นหามนุษย์ต่างดาวที่ชาญฉลาด หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ เราควรมองหาเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์จากต่างดาว มากกว่ามนุษย์ต่างดาวที่มีเลือดเนื้อ มีชีวิต
โดยโชสแต็คได้ให้เหตุผลว่า ‘ในสังคมมนุษย์ต่างดาวใด ๆ ก็ตาม ที่สามารถคิดค้นวิทยุได้ มนุษย์อย่างพวกเราน่าจะสามารถติดต่อกับพวกเขาได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กีศตวรรษต่อจากนี้ โดยสิ่งเหล่านี้คือตัวแทนของมนุษย์ต่างดาว เป็นผู้สืบทอดของพวกเขา’
1
ในสังคมมนุษย์ต่างดาวที่ก้าวหน้าอย่างแท้จริงอาจเต็มไปด้วยหุ่นยนต์อัจฉริยะ แทนที่เราจะทุ่มเททรัพยากรทุกอย่างในการค้นหาดาวเคราะห์ดวงอื่น ๆ ที่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ บางทีเราน่าจะมองหาสถานที่ ที่น่าดึงดูดสำหรับเครื่องจักรกลมากกว่า เช่นสถานที่ ๆ ที่มีพลังงานสูง อย่างศูนย์กลางของกาแล็กซี
โดยโชสแต็คได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ‘เราควรมองหาความคล้ายคลึงกับตัวเราในจักรวาล แต่ผมไม่รู้หรอกนะว่านั่นจะถูกต้องหรือเปล่าในมุมมองของจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้’
4. เราค้นพบมนุษย์ต่างดาวแล้ว (เพียงแต่ยังไม่รู้ตัว)
ต้องขอบคุณวัฒนธรรม Pop Culture โดยเฉพาะคำว่า ‘Alien’ ที่ทำให้เรามีภาพจำเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวในลักษณะของ สิ่งมีชีวิตที่มีศีรษะหัวโล้นและมีขนาดใหญ่ นั่นเป็นเรื่องปกติสำหรับฮอลลีวูด แต่จากการวิจัยของกลุ่มนักจิตวิทยาชาวสเปน อาจทำให้ภาพจำของมนุษย์ต่างดาวในหัวของเราเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ในการศึกษาขนาดเล็ก นักวิจัยขอให้อาสาสมัคร 137 คน มองดูรูปภาพของดาวเคราะห์ดวงอื่น และสแกนภาพเพื่อหาสัญญาณโครงสร้างของมนุษย์ต่างดาว โดยภาพที่ซ่อนอยู่ในหลาย ๆ ภาพคือภาพของชาวร่างเล็กในชุดกอริลลา ในขณะที่อาสาสมัครพยายามค้นหาจากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการว่ามนุษย์ต่างดาวจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่มีอาสาสมัครราว 30 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ที่สังเกตเห็นมนุษย์กอลริลลา
ต้องบอกก่อนว่า ในความเป็นจริง มนุษย์ต่างดาวอาจดูไม่เหมือนลิง พวกเขาอาจไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยแสงและคลื่นเสียง แล้วประเด็นที่นักวิจัยกลุ่มนี้ต้องการจะสื่อคืออะไรกันแน่?
คำตอบก็คือ โดยพื้นฐานแล้ว จินตนาการและช่วงความสนใจของเราจำกัดแค่การค้นหามนุษย์ต่างดาว หากเราไม่เรียนรู้ที่จะขยายกรอบอ้างอิง เราอาจจะพลาดกอลริลลาที่จ้องหน้าเราก็ได้
5. มนุษย์อาจทำลายล้างอารยธรรมอื่น (โดยไม่รู้ตัว)
อเล็กซานเดอร์ เบเรซิน นักฟิสิกส์ชาวรัสเซีย เคยกล่าวเอาไว้ว่า ‘ยิ่งเราเข้าใกล้มนุษย์ต่างดาวมากเท่าไร เราก็ยิ่งเข้าใกล้ในการทำลายล้างพวกเขามากเท่านั้น’
เหตุผลที่เบเรซินกล่าวเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากสมมติฐานที่ว่า อารยธรรมใดก็ตามที่สามารถสำรวจนอกระบบสุริยะของตัวเองได้ จะต้องอยู่บนเส้นทางแห่งการเติบโตและการขยายอารยธรรมอย่างไร้ขีดจำกัด โดยอ้างอิงจากปลวกที่อยู่บนโลกของเรา
เบเรซินกล่าวว่า ‘ผมไม่ได้จะบอกว่าอารยธรรมทีเหนือกว่าจะทำลายอารยธรรมที่ด้อยกว่าโดยไม่รู้ตัว เป็นไปได้มากกว่าว่าพวกเขาอาจไม่ทันสังเกต ยกตัวอย่างเช่นปลวก ที่มักจะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือน โดยที่เราไม่ทันสังเกต หรืออาจไม่ได้หาทางป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ’
และหากมองในมุมกลับ ถ้าหากวันหนึ่งที่มนุษย์ต่างดาวค้นพบพวกเรา ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะสร้างปัญหาให้กับพวกเราได้อย่างคาดไม่ถึงด้วยเช่นกัน
1
6. มนุษย์ต่างดาวมีจริง และพวกเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (และเสียชีวิต)
เมื่อประชากรเผาผลาญทรัพยากรอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่โลกจะรองรับได้ เมื่อนั้นเองที่หายนะจะปรากฏขึ้น พวกเราตั้งสมมติฐานนี้ขึ้นมาจากวิกฤตการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นบนโลกของเราเอง จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าสังคมของมนุษย์ต่างดาวที่ก้าวหน้าในจักรวาลอันแสนกว้างใหญ่นี้ จะพบกับปัญหาเดียวกับที่พวกเรากำลังพบเจอ
อดัม แฟรงก์ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวอเมริกัน กล่าวยืนยันด้วยตัวเองว่า สมมติฐานดังกล่าวเป็นไปได้มาก โดยก่อนหน้านี้ แฟรงก์ได้สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์หลายชุดเพื่อจำลองว่าอารยธรรมของมนุษย์ต่างดาวอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้อย่างไร เนื่องจากมันมีการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรของโลกให้กลายเป็นพลังงานมากขึ้นเรื่อย ๆ
1
ข่าวร้ายก็คือ 3 ใน 4 ของสถานการณ์จำลอง สังคมล่มสลายและประชากรส่วนใหญ่เสียชีวิต เว้นเสียแต่เมื่ออารยธรรมเหล่านั้นหาทางแก้ปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และหันไปใช้แหล่งพลังงานอื่นที่สะอาดกว่า ปลอดภัยกว่า และมีความยั่งยืนมากกว่า อารยธรรมนั้นก็จะสามารถอยู่รอดได้ ดังนั้น ถ้าหากมนุษย์ต่างดาวมีอยู่จริง บางทีพวกเขาส่วนใหญ่ อาจจะก่อความผิดพลาดจนทำให้อารยธรรมของพวกเขาล่มสลายลงไป ก่อนที่มนุษย์โลกอย่างพวกเราจะได้พบกับพวกเขา
‘ในอวกาศและห้วงเวลาของจักรวาล คุณจะพบกับผู้ชนะ ที่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและหาทางออกได้ และผู้แพ้ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันเวลา และอารยธรรมของพวกเขาก็ล่มสลายลงกลางทาง คำถามก็คือ อารยธรรมของมนุษย์โลกอย่างพวกเรา ควรจัดอยู่ในหมวดหมู่ไหนกันแน่?’ อดัม แฟรงก์ ทิ้งท้าย
7. มนุษย์ต่างดาวไม่สามารถวิวัฒนาการได้เร็วพอ (และตาย)
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ อาจเต็มไปด้วยดาวเคราะห์ที่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าพวกมันจะคงสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้นานพอ ที่สิ่งมีชีวิตบนดวงดาวจะวิวัฒนาการตัวเองขึ้นมาได้
จากการศึกษาในปี ค.ศ.2016 โดย Australia National University ได้ระบุว่า ดาวเคราะห์หินที่เปียกชื้นเช่นโลก ไม่มีความเสถียรที่มากพอนักในช่วงแรกของการกำเนิดขึ้นมา หากมีสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ประเภทนี้ พวกเขาจะมีเวลาเพียงไม่กี่ร้อยล้านปีเท่านั้น ในการใช้ชีวิต วิวัฒนาการตัวเองขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอด ก่อนที่ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะตายลงไป
เหตุผลเพราะช่วงพันล้านปีแรกของดาวเคราะห์ประเภทนี้ ยกตัวอย่างเช่นโลกของเรา มีความแปรปรวนสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อน ความเหน็บหนาว ปัญหาก๊าซเรือนกระจก การใช้ชีวิตในช่วงพันล้านปีแรกบนดาวเคราะห์ประเภทนี้เป็นอะไรที่ยากลำบาก
แน่นอน ว่าสิ่งมีชีวิตอาจหายากในจักรวาล ไม่ใช่เพราะมันยากที่จะเริ่มต้น แต่มันยากที่จะเอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนเช่นนี้ได้
8. Dark Energy กำลังแยกเราออกจากกัน
จักรวาลอันกว้างใหญ่กำลังขยายตัว กาแล็กซีต่าง ๆ กำลังเคลื่อนตัวห่างออกไปอย่างช้า ๆ แน่นอนว่าดวงดาวที่ห่างออกไปจากเราปรากฎแสงสลัว ๆ บนท้องฟ้าให้เราได้พบเห็น ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการดึงของสสารลึกลับที่มองไม่เห็น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกมันว่า ‘Dark Energy’
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในอีกไม่กี่ล้านล้านปี Dark Energy จะแผ่ขยายจักรวาลออกไป จนมนุษย์โลกไม่สามารถมองเห็นแสงของกาแล็กซี่ใด ๆ ได้อีกต่อไป นอกจากเพื่อนบ้านในจักรวาลที่ใกล้ที่สุดของเรา และนั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะถ้าหากเราไม่สำรวจจักรวาลให้ได้มากที่สุด ความรู้เกี่ยวกับกาแล็กซี่ที่อยู่ไกลออกไปของเราอาจสูญหายไปตลอดกาล
แดน ฮอปเปอร์ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวอเมริกันจาก Fermi National Accelerator Laboratory ในรัฐอิลลินอยส์ ของสหรัฐอเมริกา ได้ระบุว่า ‘ดวงดาวไม่เพียงแค่มองไม่เห็นเท่านั้น แต่ยังเข้าถึงไม่ได้เลย’ นั่นหมายความว่าเรากำลังอยู่บนความสุ่มเสี่ยงในการค้นหาสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก
ก่อนที่ Dark Energy จะแยกกาแล็กซี่ต่าง ๆ ให้ห่างจากกันมากไปกว่านี้ มนุษย์จำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อที่เราจะสามารถขยายอารยธรรมของมนุษยชาติไปสู่กาแล็คซี่ต่าง ๆ ให้ได้ ก่อนที่กาแล็กซี่พวกนั้นจะหลุดหายไปจากพวกเรา
ถ้าหากเกิดเหตุการณ์นี้จริง บางทีนักวิทยาศาสตร์อาจจะต้องเรียบเรียงตำแหน่งดวงดาวในจักรวาลกันใหม่ทั้งหมดก็ได้
9. Twist Ending : เรานี่แหละคือมนุษย์ต่างดาว!!!
ในทฤษฎีแพนสเปอร์เมีย (Panspermia theory) คือทฤษฎีที่กล่าวว่าการกำเนิดชีวิตมาจากต่างดาว ถูกเสนอเป็นครั้งแรกโดยนักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ เฟรด ฮอยล์ โดยระบุว่าสารอินทรีย์ที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตนั้นมีอยู่ทั่วไปนอกโลก และแพร่กระจายไปในห้วงอวกาศอันแสนกว้างใหญ่ ก่อนที่จะติดมากับเทหวัตถุที่ตกลงมาสู่โลก
หากทฤษฎีดังกล่าวเป็นเรื่องจริง หมายความว่ามนุษย์โลกอย่างพวกเราทั้งหมด ก็คือมนุษย์ต่างดาว แต่ปัญหาก็คือ นักดาราศาสตร์ยังไม่สามารถค้นพบแบคทีเรียที่มี DNA ของมนุษย์บนดาวเคราะห์ใกล้เคียงกับโลกของเรา จึงทำให้ทฤษฎีดังกล่าวดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก
ข้อมูลจาก :
โฆษณา