2 มี.ค. 2023 เวลา 11:06 • ไลฟ์สไตล์
มาเลเซีย

การเดินทางของ kornnich หาดใหญ่-มาเลเซีย ในวัย 25 ปี

จัดให้เป็นอีกทริปหนึ่งที่เราได้กล้าเปิดใจคุยกับคนที่มากหน้าหลายตา ตั้งแต่บนรถไฟ คุยกับสามีพี่ส้มอย่างเปิดใจ ยันไปออกเดทกับอียาส
เรื่องราวเป็นอย่างไรน่ะเหรอ..
ปกติแล้วในทุกวันเกิด ถ้าหากเป็นไปได้เราจะไปเที่ยว ไม่ว่าจะในประเทศ หรือต่างประเทศ แต่มีโควิดเข้ามาคั่นกลาง ทำให้เราไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนนานถึง 2 ปี พอมาวันเกิดปีนี้ เราเลยเลือกที่จะถามดวงตัวเอง ว่าเราจะไปที่ไหนดี แล้วเราก็มาจับได้เป็น ทริปนั่งรถไฟไปหาดใหญ่-มาเลเซีย จริง ๆ ถ้าหากเรามีเวลามากพอ เราแพลนที่จะเดินทางไปถึงยันสิงคโปร์เลยด้วยซ้ำ แต่นั่นแหละด้วยข้อจำกัดด้านเวลาที่เรามีไม่มากพอ ลาได้เต็มที่แค่ 6 วัน
เราเลือกที่จะแวะค้างคืนที่หาดใหญ่เพื่อไปเยี่ยมพี่ส้ม ที่รู้จักจากการไปพะงันด้วยกันเมื่อเมษาปีที่แล้ว ทีนี้เราได้มารู้จักกับพี่โอ๊ตที่เป็นสามีพี่ส้มอีกด้วย พี่โอ๊ตเป็นผู้ชายที่อบอุ่นอย่างที่ว่าเราสัมผัสได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง บทเรียนของสาวที่สิ้นอายุ 24 ในคืนนั้นได้รับก็คือ หากเราจะมีแฟนสักคนจริง ๆ อย่าใช้เวลาในการดูใจกันนานเกินไป และคนที่ใช่ ต่อให้เจอเรื่องราวที่ติดขัดมากน้อยแค่ไหน ปัญหาก็จะบรรเทาไปเอง
อย่างพี่เขาเฉียดกันไปเฉียดกันมาเป็นสิบปี พอบทที่มาคบหากันเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น พี่โอ๊ตก็ขอพี่ส้มแต่งงานเลย แต่ทั้งนี้ด้วยอายุของพี่ทั้งสองก็ถือว่าเหมาะสมต่อการแต่งงานแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น
พี่โอ๊ตได้เปิดใจถามพี่ส้มก่อนหน้านี้ว่าขอให้ปรับเรื่องคำพูด และการอยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้ได้ไหม ในใจพี่เขาบอกว่า ถ้าคำตอบคือไม่ได้ พี่เขาก็จะเลิกกับพี่ส้มไปเลย แต่พี่ส้มกลับเปลี่ยนแปลงตรงนั้นให้เขาได้
แต่ในการแต่งงานย่อมเจออุปสรรค อย่างพี่โอ๊ตติดขัดในเรื่องของเงิน และอีกอย่าง พ่อแม่ได้เสียไปหมดแล้ว แต่ญาติผู้ใหญ่ ทางพ่อแม่ยินดีที่จะมาช่วยงาน ตรงพิธีเก่าแก่ของทางใต้ที่ต้องใช้คู่ผัวเดียวเมียเดียวมายืนล้อมรอบเตียง เป็นสิบคู่ก็ยินดีที่จะมาช่วยเหลือ ทองขาดไป 1 บาท เพื่อนก็ขับรถมาให้จากกระบี่ สุดยอดแห่งมิตรภาพ..
สิ่งเดียวที่จะทำให้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ก็คือการถามและตอบความจริง และอีกฝ่ายนั้นต้องรับให้ได้ คู่พี่โอ๊ตพี่ส้ม ใช้วิธีถามทุกวันอังคาร วันละ 2 คำถาม และตรงนี้แหละเราจะนำมาปรับใช้กับแฟนเราในอนาคต
สุดท้ายก่อนจากกันพี่โอ๊ตก็บอกอีกว่า ไม่แน่เรากลับมาหาดใหญ่ครั้งหน้า เราอาจจะมากับแฟนเราสักคนก็ได้ ใครจะไปรู้
เช้าวันที่ 22.02.23 สวัสดีวันเกิดอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์
เป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกด้วยรถไฟ เราเพิ่งมารู้ว่า มีรถไฟรอบ 7.30 น. ที่ออกไปแล้ว แต่เรามาถึง 7.38 น. ซึ่งทำให้เราต้องรอรถไฟขบวนถัดไป เรานั่งรอจนถึงเวลาเดินทางที่ระบุไว้ 8.55 น. เมื่อถึงเวลา 8.30 น. พนักงานก็ประกาศให้ขึ้นรถไฟ เราเลยออกไปที่ชานชาลาที่ 4 แต่ดันไม่เจอขบวนจอดอยู่ เราสังเกตเห็นแค่โบกี้ที่ไม่มีหัวท้ายแต่อย่างใด แต่มีคนถือกระเป๋าไปนั่งแล้ว ระหว่างที่รอก็มีรถไฟเอาโบกี้สุดท้ายเข้ามาชนกับข้างหน้าโบกี้เรา เราไม่เคยเห็นมาก่อน
แล้วอยู่ ๆ คุณภาคภูมิเจ้าพนักงานบนรถไฟก็มาคุยเล่นด้วย แล้วก็ไม่เชื่อว่าเราเป็นคนไทย เหมือนคนฟิลิปปินส์มากกว่า แล้วก็มีคุณลุงตำรวจรถไฟมาคุยด้วย เค้าบอกให้ไปที่ลังกาวีแล้วนั่งเฟอร์รี่กลับมาเที่ยวที่ภูเก็ต หรือกระบี่ได้ เรานี่ว้าวเลย ไว้จะเป็นแพลนต่อไปในชีวิตอย่างแน่นอน แต่รถไฟไทยก็คือรถไฟไทยที่ออกจากสถานีหาดใหญ่ในเวลา 10.10 น. ทั้งที่เวลานี้ควรจะเป็นเวลาที่เราต้องไปถึง
การเดินทางของเราดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ
จนถึงช่วงที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไปซื้อตั๋วรถไฟไปบัตเตอร์เวิร์ธ แต่ในรถไฟดันเป็นรถไฟที่มีสถานีไม่ตรงอีก เหมือนเรารถใน KL มาวิ่ง แต่แล้วเราก็ไปถามพี่สาวข้าง ๆ เพราะเราเห็นนาฬิกาเป็น "น." ซึ่งต้องเป็นคนไทยแน่ ๆ แล้วพี่บ่าวที่มาด้วยก็บอกว่าให้เราตามน้องชายของเขาลงไปยังเฟอร์รี่เลยก็ได้เพราะเขาก็จะข้ามไปปีนังเหมือนกัน
ทีนี้สิ่งที่น่าตื่นเต้นก็คือการเดินทางไปยังเฟอร์รี่เพื่อข้ามมาเกาะปีนัง มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่าไม่ตรงกับที่อ่านรีวิวการเดินทางมาเลย แต่ก็อาศัยเดินตามมนุษย์ทั่วไปจนไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ดูน่าพึ่งพาได้เหมือนเขาเคยมาเส้นทางนี้ก่อนแล้ว เราเห็นเขาตั้งแต่ซื้อตั๋วรถไฟที่ปาดังเบซาร์ และที่สำคัญคือเขาเป็นคนไทย เราจึงพยายามเดินตามเขาไปให้ได้มากที่สุด เพราะดูเหมือนเราจะมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน
ท้ายที่สุดของการเดินทางในวันแรกที่ไม่เป็นไปตามคิด คือออกจากเรือข้ามฟากแล้วยังไม่มีซิมเน็ต เราหลงทาง จากในรีวิวบอกว่ามีรถเมล์ฟรีไปตึกกอมตาร์ได้ แต่เรารอรถอยู่สักพักก็ไม่มีรถคันไหนรับเลย แล้วพอมีมาคันหนึ่งก็ขับออกขวา
จนเราไปขอความช่วยเหลือผู้หญิงมุสลิมท่านหนึ่ง เขาช่วยเจรจากับเท็กซี่ให้ ซึ่งเป็นเงินค่าโดยสารที่ 10RM เราว่ามันมากอยู่สำหรับการเดินทางไปที่พักเราที่จริง ๆ แล้วนั้นไม่ไกลเลย แต่ก็ดีกว่าที่เราพยายามหารถนั่งไปตึกกอมตาร์ทั้ง ๆ ที่ยังมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อยู่ด้วยจึงตกลงให้คุณลุงไปส่ง เขาพาซิกแซกและสอนให้ดูบ้านเลขที่ จึงเก็ทเลย เอาไว้ใช้ครั้งหน้า ถือว่าจ่ายค่าวิชาไปด้วยก็แล้วกันกรณิช
พอมาถึงที่พักบรรยากาศที่มีแต่ฝรั่งพลุกพล่านมันทำให้เรารู้สึกสดชื่นกับชีวิตอีกครั้งไม่รู้ทำไม หรือเพราะโควิดทำให้เราเจอแต่บรรยากาศเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จนน่าเบื่อ ไม่มีแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาอังกฤษหรือฝึกฝนมันด้วยซ้ำ
การเดินทางของเราครั้งนี้เราไม่ได้ขวนขวายในการไปเก็บแลนด์มาร์คเหมือนครั้งก่อนแล้ว แต่เป็นการนั่งชิลที่ที่พักเพราะมีคอมมอนรูมเยอะมากด้วย และจอร์จทาวน์เราก็เดินไปครบเกือบทุกที่ในครั้งก่อน ไม่ว่าจะสตรีทอาร์ต หรือสถานที่ที่เขาบอกว่าต้องไปสักครั้งในปีนัง เลยเป็นเหตุผลที่เราจะย้ายไปยังอีกโรงแรมหนึ่งในย่านที่ไกลจากตัวเมือง อันที่จริงเรามีแพลนว่าจะไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่ท่าน้ำแถวนั้น
เช้าวันที่ 23.02.23 เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมเดิมก่อนเที่ยงตรง
ซึ่งเราสามารถฝากกระเป๋าไว้นานเท่าไหร่ก็ได้ มีไม่มากนักที่โรงแรมจะใจดีขนาดนี้จึงออกไปซื้อโปสการ์ดกลับไทย และไปชิวเจทที้ที่ครั้งก่อนไม่ได้ไป เขาปิดไปก่อน พอไปถึงแล้วเรามองว่าไม่มีอะไรเลย เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่ราคาสินค้าของฝากแพงกว่าในย่านจอร์จทาวน์
และควรที่จะมีคนไปด้วยเพื่อให้ถ่ายรูปให้ได้ ถ้าไปคนเดียวอย่างเราแทบไม่กล้าหยิบโทรศัพท์ออกมาเลย เพราะกลัวตกลงร่องทางเดินจ๋อมลงน้ำ พอเสร็จแล้วก็ไปพักดูแผนที่ใช้ไวไฟโรงแรมต่อ เราสามารถนั่งได้เรื่อย ๆ ไม่ผิดกฎเขาแต่อย่างใด ถือว่าน่ารักมาก
จากที่เราดูแผนที่การเดินทางต้องนั่งรถสายหนึ่ง แต่แล้วเราก็ไปไม่ทัน ต้องเปลี่ยนแผนใช้วิธีการต่อรถที่กอมตาร์ ค่ารถ 1.4+2RM แต่มันแย่ตรงที่เราต้องเดินต่อไม่ต่ำกว่า 10 นาที ถึงจะถึงที่พัก ทำเอาเวลาที่เราไปถึงโรงแรมประมาณ 4-5 โมงเย็น การเดินในกูเกิลแมพที่บอกเอาไว้กับความเป็นจริงนั้นไม่เท่ากัน ส่วนหนึ่งจากกายภาพของร่างกายแต่ละคน และสถานที่ ถนนที่มีความเป็นลูกรัง ความที่ฟุตบาทปูกระเบื้องไม่ดี
พอมาถึงเราพักเล่นไอจี เจอพ่อหนุ่มคนนึงทักมา ตั้งแต่เมื่อวานแต่เรายังไม่ได้ตอบรับจนมาถึงที่พักแล้ว เขาก็ได้ทักมาอีกครั้ง เราเลยตอบรับ DM เขาถามว่าอยู่ที่ไหน เราก็บอกไม่ถูกเพราะไม่เคยอยู่ย่านนี้เลยส่งแผนที่ไป ไม่ทันได้รื้อของใช้ออกมา เขาก็มาถึงแล้ว ตอนแรกเราบอกว่าขอเวลา 20 นาที แต่มันไม่เป็นไปตามนั้นเราเลทเขาอีกประมาณ 20 นาที มันแย่เอามาก ๆ ที่เราไม่สามารถตรงเวลาได้ แต่เขาก็ยังรออยู่อย่างนั้น
ส่วนหนึ่งที่เราเลทเขาเพราะเราไม่อยากไปเจอ ความกังวลในสมองมันเยอะมาก ๆ ประมาณว่าไม่ใช่การชวนไปเดท แต่จะชวนไปฆ่ารึเปล่า เราจึงเอาชื่อของเขาไปเสริจในเฟซบุ๊คแล้วเราก็เจอเขา เป็นชาวซีเรีย แต่ดูไม่มีพิษมีภัยเท่าไหร่ จึงออกไปพบเขา
จากที่ได้พูดคุยก็รู้ว่าเขานั้นย้ายมาอยู่ที่นี่ประมาณ 6-7 ปีแล้ว เขาบอกว่าเขาเดทเยอะมากจนนับไม่ถ้วน แต่ก็เพิ่งเลิกกับแฟนไปได้ปีกว่า หลังจากนี้เขาก็ไม่คบกับใครอีกเลย ระหว่างที่เดินทางไปคอนโดเขาย่าน desiran tanjung เขาซื้อคอนโดอยู่คนเดียว ตอนแรกที่คุยกันเขาบอกว่าเขาซื้อบ้าน เราก็งงว่าต่างชาติซื้อบ้านได้ด้วยเหรอ เพราะในไทยต่างชาติยังไม่สามารถซื้อที่ดินได้ยกเว้นแต่ลงทุนเยอะ ๆ แต่สามารถซื้อคอนโดได้ไม่เกิน 40% ของจำนวนคอนโดทั้งหมด
ซึ่งเป็นอย่างที่เราคิด เป็นคอนโด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว ถือว่า ตร.ม. เยอะพอสมควรกับย่านนั้น กับราคาที่เทียบเป็นเงินไทยแล้วซื้อที่ไทยคงไม่ได้ขนาดห้องเท่านี้ในย่าน down town เป็นแน่ เต็มที่คงจะได้แค่สตูดิโอ 26 ตร.ม. เราคุยกันไปเรื่อยว่าช่วงเดือน 8 จะไปหาครอบครัวเพราะได้ลาแบบที่บริษัทยังคงจ่ายตังค์ให้อยู่ มีเวลาหยุด 2 เดือน แต่ที่ไทยเราไม่มีกฎหมายข้อนี้ วันลาพักร้อนอย่างเรายังได้ไม่กี่วัน
เรานั่งคุยกันไปเรื่อยจนถึงช่วงเที่ยงคืนก็ขอตัวกลับก่อน แล้วเขาก็ขอให้เราอยู่ต่อที่ปีนังในวันพรุ่งนี้อีกได้ไหม แต่เราไม่สามารถจริง ๆ เพราะปีนังไม่มีอะไรดึงดูดเราอีกต่อไปแล้ว เขาจึงบอกว่าถ้าเขาสามารถออกก่อนได้จะไปส่งเราที่แอร์พอร์ต แต่เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับความสัมพันธ์ฉาบฉวยนี้ว่าเขาจะออกจากงานก่อนเพื่อไปส่งเรา
วันที่ 24.02.23 เราต้องไปขึ้นเครื่อง ไปกัวลาลัมเปอร์ 
ในช่วงบ่ายหลังจากที่ไปเที่ยวห้างควีนส์เบย์ เราทักไปถามว่าเขาจะไปส่งเราได้ไหม แต่เขาก็ไม่อ่าน ไม่ตอบ เราก็เลยไม่ตัดสินใจรอ แต่ครั้งนี้แย่ตรงที่รถบัสที่แมพบอกว่าผ่าน ดันไม่มีคันไหนไปแอร์พอร์ตเลย เราเลยเรียกแกร็บ คันแรกเป็นชาวจีนที่รับเรา แต่เราดันปักหมุดผิดเราอยู่โซนใต้ ในแอพเป็นโซนเหนือ เขาให้เราเดินไปหาซึ่งไกลมาก เราเลยกดยกเลิกไป แล้วครั้งที่สอง ก็ได้คนขับที่มีลักษณะคล้ายชาวแขก เขาบอกว่ารถสีเทา เรามองหาไม่เจอ ที่ไหนได้เป็นสีน้ำตาล
ตอนเขาบอกว่ามาถึงแล้วเราก็ดันมองไม่เห็น เพราะมีรถมอไซค์จอดบังป้ายทะเบียนอยู่ เราขอให้เขาถ่ายรูปให้ แต่เราก็ชะโงกหน้าไปเห็นก่อน เลยรีบขอโทษเขา ครั้งแรกที่เจอกันเขาพูดสำเนียงดีมาก ไม่ติดไปทางแขกเหมือนคนอื่นเลย จึงทำให้เรากล้าพูดคุยกับเขามากขึ้น เพราะเราไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขนาดที่จะเข้าใจสำเนียงยาก ๆ ได้
คุณลุงบอกตอนแรกว่าเห็นว่านั่งอยู่และสวยมาก คิดอยู่ว่าจะใช่เราไหมนะ เขาถามว่าเป็นคนฟิลิปปินส์ไหม เราบอกไม่ใช่ เพียวไทยเลย แต่แกยังบอกอีกว่าเหมือนคนที่โดนผสมมาแล้ว ไม่ว่าจะจีนก็คล้าย แต่เหมือนฟิลิปปินส์มากกว่า และคำแรกคือสวัสดีครับ เขาได้เล่าว่าเคยทำงานที่ UOB พร้อมพงษ์ มีบ้านอยู่อ่อนนุช 48 และแม่เขาอยู่ที่ 60 ตอนนี้ทำงานที่ intel มาขับแกร็บช่วงว่างก่อน-หลัง ไปทำงาน
และก็ถามว่าเรามาคนเดียวทำไม เราก็บอกโสด เขาก็ยังบอกว่าเราควรมีเพื่อนมาด้วยนะ เพราะมันน่ากลัว แล้วเขาก็เพรย์ให้เรามีแฟนไว ๆ 'ขอให้คำอธิษฐานเป็นจริงนะคะ' เพราะหนูก็เหงาเหมือนกัน
แล้วเขาก็บอกว่าที่ KL เป็นเมืองที่ใหญ่มากให้ระมัดระวังตัวอย่างดีด้วยนะ และแตกต่างจากปีนังมาก เพราะความเป็นเมืองที่มากกว่าที่นี่ เรามาถึงแอร์พอร์ทก็โบกมือลาคุณลุง จนเราเดินเข้าไปคุณลุงถึงขับรถออก แอบเป็นเรื่องที่ดีที่เราไม่ได้เจออียาส ไม่ได้นั่งแกร็บคันแรก เหมือนมีญาติผู้ใหญ่มาส่งเลย ฟูลฟิลความรู้สึกมาก
นี่เป็นครั้งแรกของการเดินทางในประเทศในต่างแดน และเราไม่ได้หาข้อมูลอะไรมาก่อนเลย มิหนำซ้ำยังต้องประชุมระหว่างรอขึ้นเครื่องด้วย เอาตามตรงเราไม่มีกระจิตกระใจในการนั่งฟังการประชุมขนาดนั้น แต่ก็นั่นแหละ ทำงานถึงมีเงินเที่ยว
จนเรามาถึงกัวลาลัมเปอร์ ค่าเดินทางเข้าเมืองแพงมาก RM55 เพราะพนง.ขายแบบ express ให้เรา แต่แล้วเรานั่งผิดเป็นนั่งคัน transit แทน ส่วนหนึ่งของความผิดพลาดนี้ เพราะเราเลือกที่จะเดินตามคนหมู่มาก ไม่ได้เดินตามป้ายที่บอกว่าเป็นขบวนไหน แต่ถ้าย้อนหลับไปตอนนั้น เราเองก็มองไม่เห็นเหมือนกันว่ามีป้ายไหนที่แยกอย่างชัดเจนบ้าง
การเดินทางในเมืองหลวงที่นี่ไม่ง่ายเลย เราออกมาจากสถานีแล้วเจอกับโถงใหญ่ ๆ มีคนพลุกพล่านมากกว่าปีนังหลายเท่าตัว อาจจะเพราะที่นี่เป็น KL central ที่เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางด้วยล่ะมั้ง เรางงกับการซื้อตั๋วรถไฟฟ้าของที่นี่พอสมควร แต่ก็จับจุดตาม Google map แล้วเลือกลงสถานีได้ถูก แต่เราดันลืมไปว่าที่พักแนะนำการเดินทางของเราให้ไปอีกสถานีหนึ่ง ที่แลดูแล้วเมื่อมาถึงเราจะเดินทางง่ายกว่า
แต่ความที่เราเป็นลูกรักพระพิรุนทุกประเทศที่เราเดินทางไปในวันแรก จะต้องเจอกับฝนที่ตกมาต้องรับเราเสมอให้เดินทางยากเข้าไปอีก แต่ชื่นชมเมืองนี้ตรงที่ทางเดินมีหลังคาคลุมเกือบตลอดทำให้เราไม่เปียกไปมากกว่าที่คิด  มาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่าทำไมเราไม่เรียกแกร็บเพราะระยะทางที่เราดูตอนแรก ขึ้นไปเป็น RM12 จาก RM7 เราเลยมองว่าเราสามารถเดินได้ ประมาณ 10 นาที บางทีอาจจะเป็นเพราะความงกของเรา
เราก็เดินไปถึงยังที่พัก เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าพักของเราในทริปนี้เลยก็ว่าได้ และเราชอบที่เขามีคอมมอนรูมที่ดูอบอุ่น มีน้ำและกาแฟบริการแต่ก็ช่วยไปอย่างละ RM2 ตามโน๊ตที่แปะไว้ ชาวต่างชาติมากมายไม่แพ้กับโรงแรมแรกที่ปีนัง บรรยากาศที่คิดถึงแต่มันมีความเหงาเข้ามาแทนที่ตลอดทั้งทริปที่อยู่ที่นี่
และเป็นการเปิดพิธีกรรมของการมาเมืองใหม่ เราต้องไปที่แลนด์มาร์คของเมืองนั้น นั่นก็คือ twin tower เราเดินไปประมาณ 15 นาทีจากที่พักก็ถึง พอเดินไปไม่ไกลมากก็มีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชียประมาณ 5 คนก็ขอให้เราถ่ายรูปให้ หนึ่งในนั้นมาจากญี่ปุ่น ที่ดูหน้าตาน่ารักและดูออกทันทีว่าเป็นชาวญี่ปุ่น
พอเราเดินกลับที่แยกหนึ่งที่ไม่มีรถคันไหนจอดให้เราเดินข้ามไปก่อน ก็มีรถคันหนึ่งที่ยอมจอด พอเราเดินข้ามไปแล้วก็ได้ยินเสียงผู้ชายตะโกนกันเลยหันไปมอง กลับเป็น 5 คนนั้นที่เราถ่ายรูปให้กำลังโบกมือให้เรา ยิ้มให้แบบเป็นมิตรมาก ๆ
พอมาถึงห้องสิ่งที่เราคิดคือ เราจะไปไหนต่อดี จึงมาดูที่เคยถามอียาสไว้ก่อนหน้าว่าเราควรที่จะไปที่ไหนบ้าง และเราจะไปตามนั้นดู
ลองไปตามไกด์สักครั้งว่าเราจะได้ไปเจออะไรที่ไหนบ้าง
บางที่ก็ไม่ได้เป็นที่ตามในอินเตอร์เน็ตที่เรา search เจอ
แต่ทุกที่เราว่าเราก็ชอบนะ เป็นสถานที่ที่เข้ากับบริบทของความเป็นเมือง
ไม่ได้เดินทางไปอย่างวัด หรือมัสยิดเท่าไหร่นัก
วันที่ 25.02.23 เราตื่นสายขนาดที่ทำอะไรเรียบร้อยก็ปาไป 14.30 น. แล้ว ตอนแรกเราจะไป Bukit Bintang แต่ Google map ดันพาเราไปผิดฝั่ง จากที่ควรไปถึงง่าย ๆ กลับเดินอ้อมไปเจอ twin tower ก่อนแล้วถึงจะเดินไปตั้งหลังย่านสี่แยกเรา แล้วเดินต่อไปอีก 30 นาทีก็มาถึงย่านนี้แล้ว เราเห็นทางข้ามหน้าห้าง Isetan เหมือนที่ญี่ปุ่นเลย มากไปกว่านั้น เราได้เดินเข้าไปดองกี้ ราคาคือแพงกว่าที่ไทยในสินค้าหลาย ๆ อย่าง
พอเดินไปมาสักพักก็หิว เลยกินราเมงที่ชั้นบน สิ่งที่คนเหงาอย่างเรานั่งมองก็คือคนที่เดินเข้า-ออก และได้กวาดสายตาไปเห็นกลุ่มคนมาเลที่แอบชิมน้ำซุปเพื่อน เลยทำให้รู้ว่าวัฒนธรรมแบบนี้ไม่ได้มีแค่ที่ไทย พอทานไปได้สักพักก็รู้สึกต้องการชาเขียวเย็น สิ่งที่ได้คือ ชามใบเล็กที่มีน้ำแข็งมาให้ แล้วให้เราเอาน้ำแข็งใส่แก้วชาเขียวอีกที ก็แปลกดีเพราะเราไม่เคยเจอมาก่อน พอนั่งเล่นสักพักก็ออกไปที่ Jalan Lane เป็นถนนที่ขายอาหารเยอะมาก
ช่วงเย็นเรากลับมาอาบน้ำ เปลี่ยนชุด เพื่อเดินไปดูการแสดงหน้าตึกซูเรีย พอช่วง 20.00 น. ก็มีการแสดง โดยแต่ละรอบจะประมาณ 4.30 นาที รอบละ 2 ครั้ง เรามองว่าที่นี่ไม่ได้สวยเท่ากับที่สิงคโปร์เท่าไหร่
เราใช้เวลาที่นั่นสักพักก็กลับที่พัก และก็เจอเมกที่บอกว่าเจอเราที่ Bukit Bintang ก่อนหน้าแล้ว ได้นัดเจอกัน ไปกินเบียร์ที่ข้างโรงแรม เขาเป็นนักศึกษาจากเยอรมัน มาเรียน Ph.D. ที่นี่ได้ 2 ปีแล้ว แพลนจะกลับช่วงสิ้นปี ที่เยอรมันเป็นเมืองที่สวย แต่บ้านของเขาออกจากตัวเมืองออกมา เรานั่งพูดคุยสักพักแล้วเราก็กลับที่พัก
วันที่ 26.02.23 วันสุดท้ายของการอยู่ที่มาเลเซีย
เราเช็คเอาท์ช่วงเวลาเที่ยง แต่ระหว่างนี้ ไฟล์ทเราค่อนข้างดึก 21.35 น. เลย เราเลยไปที่ Pavillion ตามคำแนะนำของอียาส เหมือนกับ Paragon บ้านเรา แต่สินค้าถูกกว่ามาก แต่ก็ไม่ได้ tax refund เหมือนอย่างเกาหลี เราเดินเล่นไปอย่างนั้นจนเริ่มหิวแล้วก็ไปหาร้านอาหารเรื่อย ๆ
จนเจอร้านข้าวมันไก่ที่ก่อนหน้านี้ก็เจอสาขาหนึ่งที่ปีนัง เราจึงแวะลองทานดู วิธีการสั่งอาหารก็คือการสแกน Qr code รอไม่นานอาหารก็มาถึง ไก่ที่นี่อร่อยกว่าบุญตงกี่ต้นตำหรับที่สิงคโปร์เสียอีก เราชอบความฉ่ำน้ำของไก่ที่นี่มาก เขาเสิร์ฟมาพร้อมน้ำส้ม และกระเทียมป่นกับเครื่องเทศ ถือว่าอร่อยมาก นอกจากนี้ยังมี wonton soup ที่เกี๊ยวที่นี่กับทางสิงคโปร์จะคล้าย ๆ กัน
พอถึง 17.00 น. เราก็เลยเดินทางออกไปยังสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นอะไรที่เราแอบไม่ชอบที่นี่ เพราะเลือกขบวนรถยากมากเกินไป และหากซื้อที่สถานีนี้ก็จริง แต่ต้องเดินใต้ดินไกลมาก
เรามาถึงที่จุดขายตั๋วรถไฟไปสนามบิน แล้วจึงรู้ว่า ราคาของ transit เท่ากับ express จากคำบอกกล่าวของสาวมุสลิมที่ช่วยเจรจาให้ เพราะคนขายตั๋วไม่พูดภาษาอังกฤษกับเราเลย เราเดินทางมาถึงสนามบินก็ดันเจอว่าไฟล์ทเราที่จะต้องขึ้นเครื่องวันนี้ อยู่ ๆ ก็หายไปจากหน้าออร์เดอร์ เราพยายามมีสติให้ได้มากที่สุดแล้ว search จากเลข booking ก็เลยได้เช็คอิน แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะแบตมือถือเรากำลังจะหมดลง
เหมือนโชคจะร้ายตลอดทั้งทริปนี้เลยก็ว่าได้ เพราะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากรอต่อแถวเข้า ตม. จากแบตของเราที่ 15% หล่นลงมาจนเหลือเพียง 7% เท่านั้น พอเข้าเกทได้เราก็รีบหาที่ชาร์จ แต่ที่ชาร์จที่มีตามเสานั้นแบตไม่ขึ้นเลย เราเลยไปยืนชาร์จใกล้ ๆ ชาวอินเดียท่านหนึ่ง แต่เขาเห็นว่าเราต้องเอามือดันสายชาร์จไว้ตลอดเพราะปลั๊กไม่ดี เขาเลยสลบที่ชาร์จให้เรา ต้องขอบคุณเขาเอามาก ๆ
ไม่นานเกินแบตที่ขึ้น 70% เราก็เลยเดินไปเกทของเรา แต่ความพีคคือ ต้องตรวจกระเป๋าอีกรอบ (ทำไม?) ทำเอาเสียเวลาไปไม่หยอกเลย
พอมาถึงหน้าเกท เครื่องบินลำของเราก็ดีเลย์ไปประมาณ 15 นาที แต่พอเทคออฟแล้วกัปตันซิ่งมาก มาถึงดอนเมืองไวกว่ากำหนดเล็กน้อย แต่เรื่องราวมันไม่จบที่เท่านี้ เพราะนักท่องเที่ยวขาเข้าเยอะเช่นกัน จนทำให้เราออก 23.00 น. เราเดินทำเวลานานพอควรกว่าจะถึงรถไฟฟ้าสายสีแดงเพื่อที่จะไปต่อ MRT และไป BTS เพื่อกลับย่านลำลูกกาของเรา
ทำไมเราถึงไม่นั่งแท็กซึ่หรือเรียกแกร็บน่ะเหรอ
เพราะเราเงินหายตั้งแต่หาดใหญ่ไปจำนวนนึงเลยน่ะสิ
แต่ความสายสีแดงขึ้นชื่อเรื่องขบวนน้อยและช้า แต่เราก็ไม่คิดว่าเราจะรอขวนนึงนานเป็น 15 นาที จนมาถึงสถานีบางซื่อ 00.05 น. และ MRT ไม่เปิดประตูให้บริการอีกต่อไป เราเดินตามทางออกมา เผื่อว่าจะเจอแท็กซี่นั่งไปหน้าจัตุจักร แต่ก็ไม่มีเลย
เราเลยขอความช่วยเหลือพี่วินที่รอลูกค้าอยู่นั้นให้ไปส่ง โดยโชว์เศษเหรียญที่เรามีอยู่ทั้งหมด แล้วก็มาถึง BTS ในเวลา 00.15 น. เราวิ่งไปถามพนักงานที่เคาท์เตอร์ว่ายังขอไปด้วยคนได้ไหม ซึ่งคำตอบก็คือ
ได้ค่ะ
เหมือนสวรรค์อย่างไรไม่รู้ เพราะไม่อย่างนั้นเราต้องรอจนกว่าจะ 6 โมงเช้าเลยทีเดียว เรารอสักพักขบวนหนึ่งก็มา ในนี้มีผู้โดยสารเต็มเลย เรากลับถึงบ้านในเวลา 01.30 น. ของวันที่ 27.02.23 และเมื่อทำอะไรเรียบร้อยก็ต้องตื่นในเวลา 07.30 น. เพื่อเข้างานในเวลา 09.00 น.
โฆษณา