6 มี.ค. 2023 เวลา 00:16 • กีฬา

เมื่อผีแพ้แดงเดือดย่อยยับ สิ่งที่ทำได้คือจับมาเป็นบทเรียน

ก่อนอื่นเลย ผมอยากขอแสดงความยินดีกับแฟนบอลลิเวอร์พูลอีกครั้ง ที่ได้เห็นทีมรักได้ชัยชนะในเกมแดงเดือดที่สวยหรูที่สุดตลอดกาล
สกอร์ขาดลอย 7-0 มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเจอกันของ 2 ทีมนี้ และนี่คือเกมที่ทีมหงส์แดงชนะแบบขาวสะอาด ในสนามมีผู้เล่น 11 คนเท่ากัน ไม่มีประตูใดที่ได้จากการตัดสินน่ากังขา และพวกเขาเล่นเพื่อตอบสนอง เดอะ ค็อป ที่อยู่ในสนามจนกระทั่งนาทีสุดท้ายอย่างแท้จริง
1
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นนักเตะที่ยิงให้สโมสรได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก (129 ประตู) ทำลายสถิติเดิม 128 ประตูของ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คือพระเอกของเกมแดงเดือดนัดล่าสุดที่ลิเวอร์พูลถล่ม แมนฯ ยูไนเต็ด 7-0 ด้วยผลงานยิง 2 แอสซิสต์ 2
นักเตะที่กำลังจะกลายเป็นตำนานแห่งความทรงจำของทีมอย่าง โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ก็ยิง 1 แอสซิสต์ 1 ได้ในเกมแดงเดือดหนสุดท้ายของตัวเอง แม้จะมีเวลาในสนามแค่ 11 นาทีก่อนเข้าช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
ตัวรุกความหวังใหม่ทั้ง โคดี้ กัคโป กับ ดาร์วิน นูนเญซ ก็เหมาคนเดียว 2 ประตู ส่วนเกมรับก็เก็บคลีนชีตได้ 5 นัดติดต่อกันในลีก ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์แบบเท่านี้อีกแล้วสำหรับทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์
3 คะแนนเต็มนัดนี้ หลังจากที่เมื่อวานทีมอย่าง นิวคาสเซิ่ล และ สเปอร์ส พบกับความพ่ายแพ้ ยิ่งทำให้โมเมนตัมเข้าทางหงส์แดงในการลุ้นติดท็อปโฟร์มากขึ้นไปอีก 13 แต้ม 13 ประตู 5 คลีนชีตจาก 5 เกมหลังสุดในลีก นี่มันคือฟอร์มของทีมลุ้นแชมป์ชัดๆ
1
และถ้านับตั้งแต่ฤดูกาล 2016-17 เป็นต้นมาที่คล็อปป์ได้คุมลิเวอร์พูลแบบเต็มซีซั่นเป็นครั้งแรก มาตรฐานของยอดกุนซือชาวเยอรมันจะต้องทำให้ทีมมีช่วงไร้พ่ายในลีกอย่างน้อย 10 นัดติดต่อกันได้ทุกฤดูกาล นั่นบ่งบอกว่าถ้าพวกเขาอยู่ในช่วงมั่นใจและเข้าฝัก ก็พร้อมเจอทุกทีมได้เหมือนกัน
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถอ้างเรื่องความไม่พร้อมของตัวเองในเกมนี้ได้เลย เพราะ 11 ตัวจริงที่ลงเล่นที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์ มันก็คือ 11 ตัวจริงชุดเดียวกับนัดชิง คาราบาว คัพ ที่ชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2-0 เป๊ะๆ ครบทุกตำแหน่ง
จะอ้างเรื่องความเหนื่อยล้าที่กรำศึกหนักต่อเนื่องมา มันก็ดูฟังไม่ขึ้นสักเท่าไร เพราะฝั่งลิเวอร์พูลก็ลงเตะ 5 นัดรวมทุกรายการในเวลาห่างกัน 15 วันเหมือนกันนั่นแหละ
นักเตะอย่าง ราฟาแอล วาราน, ลิซานโดร มาร์ติเนซ, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ คาเซมิโร่ ลงเล่นไม่ถึง 45 นาทีในเกม เอฟเอ คัพ เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วถ้าแกนหลักคนไหนลงสนามแบบไม่พักมานานถึง 2-3 เดือน มันก็เป็นเพราะการตัดสินใจของ เอริค เทน ฮาก เอง
1
ขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูลพักแค่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน,โคดี้ กัคโป และอาจรวมถึง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน รวมกันเป็น 3 คนเท่านั้นในเกมลีกคืนวันพุธ นอกนั้นตัวหลักทั้ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ฟาบินโญ่, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ รวมไปถึง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลงตัวจริงต่อเนื่องมาหลายนัดแล้ว แต่ยังไม่แสดงให้เห็นถึงเรี่ยวแรงที่ลดลงไปเลยในเกมนี้
แฟนผีจำนวนไม่น้อยวิพากษ์วิจารณ์ เทน ฮาก ว่าจัดวางแท็กติกและตำแหน่งแปลกๆ เขาจับเอา บรูโน่ แฟร์นันด์ส ไปยืนทางซ้าย, ให้ เว้าท์ เว็กฮอร์สท์ ถอยลงมาเป็นกองกลางตัวรุกคอยพักบอล แล้วดัน มาร์คัส แรชฟอร์ด ขึ้นไปยืนหน้าเป้า ซึ่งกลายเป็นการยืนผิดที่ผิดทางจนเสียของกันทั้ง 3 คนในเกมนี้
1
เอริค เทน ฮาก พบกับความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดในอาชีพกุนซือในเกมนี้
อันที่จริง ก่อนที่เจ้าถิ่นจะได้ประตูนำ 1-0 จาก โคดี้ กัคโป ถือว่าลิเวอร์พูลก็ยังไม่ได้ถึงขั้นกดทีมเยือนจนโงหัวไม่ขึ้น แถม แมนฯ ยูไนเต็ด มีโอกาสใกล้เคียงที่จะได้ประตูแรกของเกมมากกว่าด้วยซ้ำ แม้จะได้ครองบอลน้อยกว่า แต่จังหวะบุกดูจะเข้าทำได้เสียวกว่า ทว่าพวกเขาไม่ดีพอที่จะส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายเอง
จังหวะที่ คาเซมิโร่ โหม่งเข้าไปแล้วก็ล้ำหน้าชัดเจนซะอีก แล้วก็โดนหงส์แดงตั้งเกมบุกลุยขึ้นมาจนขึ้นนำแทนซะงั้น
เกมนี้ ดีโอโก้ ดาโลต์ กลายเป็นบ่อน้ำมัน และประตูแรกที่ทีมเสียก็เป็นเพราะโดน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จ่ายทะลุช่องโหว่ทางฝั่งขวา ก่อนที่ โคดี้ กัคโป จะโชว์ลูกเก่งแต่งบอลจากซ้ายเข้าในแล้วซัดด้วยขวาเสียบเสาไกล เป็นการจบสกอร์แบบที่ชวนให้นึกถึง เธียร์รี่ อองรี ยังไงยังงั้น
จากนั้นพอครึ่งหลังเปิดฉากมาไม่นาน เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด มาโดนยิง 2 ลูกติดๆ กันใน 5 นาทีแรก ทำให้แข้งปีศาจแดงออกอาการ "ปล่อยจอย" ทันที นั่นจึงกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่หงส์แดงจะยิ่งได้ใจ บุกเข้ากรอบเขตโทษบ่อยเท่าไรก็เหมือนจะจบด้วยการได้ประตูเพิ่มทุกครั้ง
ดาบิด เด เคอา ตลอดทั้งเกมเซฟได้เพียงครั้งเดียว ที่เหลือเขาป้องกันไว้ไม่ได้เลย แถมสถิติการผ่านบอลเข้าเป้าแค่ 50% เตะสาดยาวแทบไม่มีได้เปรียบ นี่คือเกมที่แย่ที่สุดในฤดูกาลนี้ของเขาแล้ว
1
อีกจุดสำคัญที่ส่งผลให้เกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด เสียประตูง่ายดายเพราะมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง คาเซมิโร่ ฝืนอาการบาดเจ็บมาตั้งแต่ครึ่งแรก แล้วด้วยสภาพที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ชัดเจน ทำให้เขาไม่สามารถช่วยสกรีนแนวรับได้ดีเหมือนก่อน สุดท้ายบอลจึงทะลุผ่านแดนกลางเข้าไปสู่พื้นที่สุดท้ายได้สบายๆ แล้วทีมเยือนก็เละเป็นโจ๊ก
1
สิ่งเดียวที่แฟนผีแดงไม่ได้เป็นรองทีมคู่ปรับตลอดกาลในศึกแดงเดือดหนนี้ ก็คืออันดับบนตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกทั้งก่อนและหลังแข่ง แต่นั่นไม่อาจปิดบังความจริงที่ว่าถ้านับเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นใน 90 นาที ทีมที่ดีกว่าชัดเจนคือลิเวอร์พูลไปได้
มีสถิติเลวร้ายมากมายที่เกิดขึ้นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมนี้ ต่อให้ไม่น่าจดจำ แต่มันจะยังคงอยู่แบบนั้นตลอดไปทั้งชาติ
1. นี่คือความพ่ายแพ้ที่ยับเยินที่สุดในอาชีพการคุมทีมของ เอริค เทน ฮาก โดยสถิติเดิมก่อนหน้านี้เกิดขึ้นสมัยที่เขาคุมอูเทร็คท์ แพ้ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น คาบ้าน 1-7 ในศึกเอเรดิวิซี่เมื่อเดือนกันยายน 2017
1
2. นี่คือการปราชัยให้ทีมหงส์แดงด้วยสกอร์ขาดลอยที่สุดตลอดกาล ในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ พลพรรค เร้ด อาร์มี่ ไม่เคยแพ้เกมแดงเดือดด้วยผลต่างถึง 7 ประตูมาก่อน สถิติเลวร้ายที่สุดก่อนหน้านี้ต้องย้อนไปสมัยที่พวกเขาใช้ชื่อสโมสรว่า "นิวตัน ฮีธ" และแพ้ที่แอนฟิลด์ 7-1 ในศึกดิวิชั่น 2 เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1895 หรือ 128 ปีที่แล้วเลยทีเดียว
3. นี่คือความพ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีกที่ย่อยยับที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยในประวัติศาสตร์ของสโมสร การแพ้ด้วยสกอร์ 7-0 เคยเกิดขึ้นแค่ 3 ครั้งเท่านั้น และทั้ง 3 ครั้งที่ว่ามันเกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ครั้งแรกคือการบุกแพ้ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในศึกดิวิชั่น 1 เดิม เมื่อวันที่ 10 เมษายน 1926
ครั้งที่ 2 คือการบุกแพ้ แอสตัน วิลล่า ในศึกดิวิชั่น 1 เดิม เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1930 ซึ่งจบฤดูกาลนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ตกชั้น
ครั้งที่ 3 คือตอนที่พวกเขายังเล่นในดิวิชั่น 2 (เทียบเท่าแชมเปี้ยนชิพในปัจจุบัน) และบุกแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ในวันบ็อกซิ่งเดย์ของปี 1931
1
4. นี่คือฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกันแล้ว ที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำประตูที่แอนฟิลด์ไม่สำเร็จ เท่ากับว่า 8 นัดหลังสุดรวมทุกรายการที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เปิดบ้านรับมือผีแดง พวกเขาเสียประตูให้ เจสซี่ ลินการ์ด คนเดียวในเกมที่หงส์แดงชนะ 3-1 ในฤดูกาล 2018-19 ซึ่งนั่นคือนัดสุดท้ายที่ โชเซ่ มูรินโญ่ คุม แมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนโดนไล่ออก
เท่าที่ผมนึกออกตอนเขียนบทความนี้ ก็มีแค่นี้ก่อนครับ แต่ผมอยากจะบอกว่าต่อให้มันคือการแพ้ด้วยสกอร์ที่ชาตินี้แฟนบอลทุกคนในโลกจะไม่มีวันลืม แต่มันไม่ใช่จุดสิ้นสุด และมันไม่ได้หมายความว่าเกมนี้คือทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเอามาตัดสินว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นอย่างไร
1
ฟุตบอล 1 ฤดูกาลไม่ได้ตัดสินด้วยเกมเกมเดียว หรือแค่ช่วงเวลาไม่กี่เดือน
ลองนึกดูว่าเมื่อเดือนมกราคม ตอนที่ลิเวอร์พูลโดนไบรท์ตันถล่ม และแพ้วูล์ฟแฮมป์ตันเละเทะ 3-0 ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ในช่วงฟอร์มที่แข็งแกร่งมากๆ ใครจะไปคิดว่าพอมาเจอกัน หงส์แดงจะถล่มให้ยับได้ขนาดนี้
ใครจะไปคิดว่าแนวรับของทีมที่โดน เบรนท์ฟอร์ด, ไบรท์ตัน, วูล์ฟส์ เปิดบ้านยิงรวมกันถึง 9 ลูก จะรอดพ้นการเสียประตูให้นักเตะที่ฟอร์มแรงที่สุดหลังจบศึกฟุตบอลโลกอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด
แน่นอนว่านี่คือความพ่ายแพ้ที่ไม่มีแฟนบอลปีศาจแดงคนไหนรับได้ จะใช้คำว่า "อัปยศ" ก็คงไม่ผิด แต่ผมไม่คิดว่าแค่เกมนี้เกมเดียว มันจะเอามากลบสิ่งดีๆ ที่ เอริค เทน ฮาก พยายามทำเพื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตลอดช่วงเวลาไม่ถึงปีที่ผ่านมาทั้งหมดไปได้
1
มันน่าตลกสิ้นดี ถ้ากุนซือที่นำระเบียบวินัย, สปิริตทีม, การเล่นที่เป็นระบบ และความสำเร็จในรูปแบบของโทรฟี่ที่ทีมปีศาจแดงขาดหายไปนานกลับมาได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน จะต้องมาถูกด้อยค่า ถูกตราหน้าว่าเป็น "โค้ชกาก" แค่การแพ้แบบขายขี้หน้านัดนี้เท่านั้น
1
บางทีอารมณ์ที่เดือดดาลของแฟนบอลบางคน มันอาจมาจากการที่คุณเคยไปดูถูกเหยียดหยาม หรือป่าวประกาศแบบไม่ให้เกียรติชาวบ้านมากๆ ไว้ก็ได้ แล้วพอเจอผลการแข่งขันที่น่าอับอาย ก็อยากจะระบายใส่คนฝั่งตัวเองหนักๆ หน่อย เพื่อที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้น
เอริค เทน ฮาก สวดยับลูกทีมหลังจบเกมว่า "คุณสามารถแพ้ได้ แต่ไม่ใช่ในแบบที่เราแพ้ในครึ่งหลังของเกมนี้"
"ครึ่งแรกเราเล่นได้ดีมาก เราสร้างโอกาสที่ดีกว่า แต่หลังจากนั้นก็มาก่อความผิดพลาดกันเป็นหมู่คณะ ส่วนครึ่งหลังมันไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย"
"มันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ และเราต้องคุยเรื่องนั้นกัน ผมคิดว่าเราเล่นดีในครึ่งแรก แต่ครึ่งหลังมันไม่ใช่เราแล้ว มันไม่ใช่มาตรฐานของเรา เราไม่ได้เล่นกันเป็นทีม"
1
"แน่นอนว่าผมโกรธและแปลกใจ สิ่งที่ผมได้เห็นในช่วงสัปดาห์หรือเดือนหลังๆ มานี้ มันคือทีมที่มีทัศนคติของผู้ชนะอย่างแท้จริง แต่ในครึ่งหลังของวันนี้ เราไม่มีทัศนคติของผู้ชนะเลยทั้งสิ้น"
"มันไม่ใช่แค่นักเตะ 1 หรือ 2 คน แต่เป็นกันทั้งทีม คุณได้เห็นนักเตะ 11 คนสติหลุด นั่นมันไม่เป็นมืออาชีพ นั่นมันไม่ใช่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เรามีมาตรฐานอีกแบบหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่มาตรฐานที่เราอยากจะโชว์ออกมา"
"ทุกๆ ความพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามมันคือเรื่องแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณแพ้ให้ลิเวอร์พูล เราทำให้แฟนบอลผิดหวังซึ่งนั่นคือเรื่องที่น่าโมโหที่สุด สำหรับคนที่ยังอยู่ (ในแอนฟิลด์จนจบเกม) มันคือเรื่องยากลำบาก และเราต้องขอบคุณพวกเขามากๆ"
"ผมไม่สามารถตำหนิคนที่เดินออกไปได้ เพราะมันคือฟอร์มการเล่นที่ทุเรศมาก มันเสียหายอย่างใหญ่หลวงและเราทำให้แฟนบอลผิดหวัง"
อย่างไรก็ตาม เทน ฮาก ยืนยันว่าลูกทีมของเขามีดีพอที่จะแก้ตัวใหม่ได้ในเกมต่อๆ ไป
"ผมพูดในห้องแต่งตัวไปว่าผลงานของพวกเขามันคือเรื่องรับไม่ได้ เรื่องนั้นมันชัดเจน แต่มันก็แค่เกมเกมเดียว แม้จะเป็นการแพ้ยับเยิน เป็นการแพ้ที่รับไม่ได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแฟนบอลของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการแพ้ลิเวอร์พูล แต่เราจะกลับมาได้ ทีมนี้แข็งแกร่งมากพอที่จะเดินหน้า และเริ่มต้นใหม่ด้วยตัวเอง"
1
"ผมรู้จักนักเตะของผม พวกเขามีคาแรกเตอร์ที่ดี พวกเขาสามารถฮึดกลับมาได้และพวกเขาจะทำ"
ในฐานะของแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนหนึ่งที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าว่า เอริค เทน ฮาก คือผู้จัดการทีมที่มีความสามารถมากพอที่จะพาปีศาจแดงประสบความสำเร็จ ผมขอบอกว่าทุกครั้งที่ทีมพบผลการแข่งขันน่าผิดหวัง เขาจะรีบกระตุ้นทีมให้กลับมาทำผลงานดีขึ้นมากๆ โดยด่วน และทำได้มาเสมอนะครับ
1
- หลังจากโดนเบรนท์ฟอร์ดถล่ม 4-0 เขาสั่งลงโทษนักเตะทั้งทีมให้วิ่งกลางแดดร้อนเป็นระยะทางรวมกัน 13.8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่ทีมของเขาวิ่งน้อยกว่าเบรนท์ฟอร์ด โดยที่ตัวเขาเองซื้อใจนักเตะด้วยการร่วมวิ่งไปด้วย แล้วพวกเขาก็กลับมาระเบิดฟอร์มเก่งทันทีด้วยการนำทีมชนะในพรีเมียร์ลีก 4 เกมรวด ซึ่งในจำนวนนั้นมีการเปิดบ้านชนะทีมใหญ่ได้ทั้งลิเวอร์พูลและอาร์เซน่อล
- หลังจากโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่มยับ 6-3 เขาให้สัมภาษณ์ว่านั่นคือบททดสอบของจริงที่ทำให้ทีมของเขารู้ตัวเองว่าศักยภาพอยู่จุดไหน แล้วเขาก็นำทีมกลับมาทำสถิติไม่แพ้ใครอีก 9 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ ซึ่งในจำนวนนั้นมีเกมที่ทีมเล่นได้ดีที่สุดในครึ่งแรกของฤดูกาลด้วยการเปิดบ้านชนะ สเปอร์ส 2-0 และมีเกมที่โชว์โกงความตายไล่ตีเสมอเชลซี 1-1 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยลูกโหม่งของคาเซมิโร่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
- หลังจากออกไปแพ้ให้ แอสตัน วิลล่า 3-1 ในเกมแรกที่ อูไน เอเมรี่ คุมทีมสิงห์ผงาด หลังจากนั้น เทน ฮาก ล้างแค้นคืนทันทีโดยเขี่ยวิลล่าร่วงตกรอบ คาราบาว คัพ ด้วยการพลิกกลับมาชนะ 4-2 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก่อนพาทีมบุกชนะฟูแล่ม 2-1 ด้วยประตูชัยช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้ายของ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ทำให้ได้ชัยชนะส่งท้ายก่อนเบรกให้ศึกฟุตบอลโลก
ซึ่งหลังจากศึกเวิลด์คัพฉบับกาตาร์ผ่านพ้นไป แมนฯ ยูไนเต็ด ระเบิดฟอร์มสุดยอดด้วยชัยชนะต่อเนื่องอีก 7 เกมซ้อน รวมเป็นชนะ 9 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ ในจำนวนนั้นมีการแซงชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ 2-1
- หลังจากสถิติชนะรวด 9 นัดซ้อนมาเสียโมเมนตัมไปพอสมควรเพราะการพลาดเสียประตูช่วงท้ายเกมในพรีเมียร์ลีก 2 เกมติด เมื่อโดน คริสตัล พาเลซ ตีเสมอ 1-1 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ตามด้วยเสียประตูชัยให้อาร์เซน่อลในนาที 90 ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เขาแก้ตัวใหม่อีกครั้งด้วยการนำทีมกลับมาไร้พ่าย 11 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ
ในจำนวนนั้นซึ่งเพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง มีเกมที่น่าประทับใจมากๆ ด้วยการโค่นจ่าฝูง ลา ลีกา อย่างบาร์เซโลน่าร่วงตกรอบ ยูโรปา ลีก มีเกมที่สามารถคว้าโทรฟี่แรกในรอบ 6 ปีกลับมาสู่สโมสรนั่นคือแชมป์ คาราบาว คัพ แถมเมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว กุนซือชาวดัตช์เพิ่งแก้เกมพาทีมแซงกลับมาเอาชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 3-1 ได้ในช่วงท้ายเกมของ เอฟเอ คัพมาหมาดๆ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ คาราบาว คัพ 1 สัปดาห์ก่อนพ่ายลิเวอร์พูล 7-0
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ เทน ฮาก บอกกับนักข่าวว่าเขาเชื่อในลูกทีมว่ามีดีพอที่จะกลับมายกระดับฟอร์มการเล่นให้สูงขึ้นไปอีกแม้เพิ่งแพ้คู่แข่งยับเยิน มันไม่ใช่คำพูดขี้โม้ แต่ผลงานตลอดซีซั่นนี้ เขาพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วหลายครั้ง ว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยให้ผลการแข่งขันแย่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่องเด็ดขาด เขาย้ำเสมอว่า "เขาต้องการชนะทุกเกม"
แน่นอนว่าการแพ้ลิเวอร์พูล 7-0 เป็นความพ่ายแพ้ที่อัปยศและน่าผิดหวังอย่างที่ตัวของ เอริค เทน ฮาก เองก็ยอมรับ
แต่มันไม่ได้หมายความว่า นี่คือทีมที่ไม่ดีพอที่จะทำผลงานกันให้ดีกว่านี้ หรือเป็นทีมที่ไม่ดีพอที่แฟนบอลจะมีความหวังกับมันได้
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้โทรฟี่มาแล้ว 1 ใบในฤดูกาลนี้คือถ้วย คาราบาว คัพ แถมยังคงอยู่ในเส้นทางที่จะลุ้นแชมป์ทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูโรปา ลีก
ซีซั่นนี้ถ้าเล่นในบ้าน พวกเขาดีพอที่จะโค่นทีมใหญ่ได้ทุกทีม และสถิติบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คือทีมใน 5 ลีกดังยุโรปที่มีจำนวนเกมที่เก็บชัยชนะรวมทุกรายการในฤดูกาล 2022-23 มากที่สุด หากนับจนถึงวันที่ 5 มีนาคม 2023 แม้ส่วนมากที่ชนะได้คือเกมเหย้า แม้บอลถ้วยจะมีโชคช่วยที่เจองานเบาและได้เล่นในบ้านทุกรอบ แต่นั่นก็หมายความว่า เทน ฮาก ทำให้ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คือสถานที่ที่แฟนบอลมั่นใจได้ว่าทีมสามารถชนะใครก็ได้ได้อีกครั้ง
ตอนนี้สถานการณ์ลุ้นติดท็อปโฟร์ก็ยังดูดีมากๆ เพราะรั้งอันดับ 3 นำห่าง สเปอร์ส ที่อยู่อันดับ 4 ถึง 4 แต้ม แถมแข่งน้อยกว่าไก่เดือยทอง 1 นัด, นำห่างลิเวอร์พูลที่ตอนนี้ขึ้นมาอยู่อันดับ 5 ถึง 7 แต้ม โดยที่แข่งไปแล้ว 25 นัดเท่าหงส์แดง
ซึ่งอย่าลืมว่าผีแดงผ่านโปรแกรมเจอทีมอย่าง อาร์เซน่อล, แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ครบหมดแล้ว โปรแกรมเจอทีมหนักๆ ใหญ่ๆ ที่เหลืออยู่ มีแค่เจอ สเปอร์ส, นิวคาสเซิ่ล และ เชลซี เท่านั้น
ทีมที่เพิ่งพ่ายแพ้ ไม่ได้หมายความว่าจะเป็น "ไอ้ขี้แพ้" ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันคงย้อนไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่สำคัญก็คือคุณจะเอาความผิดพลาด ความผิดหวัง มาทำให้ช่วงต่อจากนี้เดินหน้าต่อไปยังไงต่างหาก
1
#เสียบสามเหลี่ยม #ผีแดง #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #ลิเวอร์พูล #หงส์แดง #คล็อปป์ #เจอร์เก้นคล็อปป์ #ซาลาห์ #กัคโป #นูนเญซ #ฟีร์มิโน่ #แดงเดือด #พรีเมียร์ลีก #เทนฮาก #เอริคเทนฮาก
โฆษณา