6 มี.ค. 2023 เวลา 12:18 • บันเทิง
Paragon Cineplex

เหตุผลที่ใครๆ ก็รัก "The Mandalorian"

กาลครั้งหนึ่ง นานมา(ก)แล้ว
ณ กาแลกซี่ อันไกลโพ้น
ที่บรรดาผู้กล้าจากทุกดวงดาว เผ่าพันธุ์
ทุกฝ่ายได้เดินทางข้ามผ่านไฮเปอร์สเปซ
เพื่อมาร่วมเป็นสักขพยานแห่งปัจฉิมบท
ของตระกูล “Sky Walker” ที่พลิกชะตาผู้คน
กำหนดความเป็นไปของชีวิตมากมายมายาวนาน
นับจากห้วงเวลานั้น ก็ผ่านมาหลายปีทีเดียว
ที่พวกเราไม่ได้ดื่มด่ำกับอภิมหาสงครามแห่งดาว
อย่างเต็มรูปแบบบนจอยักษ์ในโรง
เมื่อเรื่องราวได้ถูกแตกแขนง
แบ่งออกเป็นกลุ่มดาวดวงใหม่ๆ
ในรูปแบบของซีรีส์ที่พาเราไปสำรวจ
แง่มุมอื่นๆ ของตัวละครและเหตุการณ์บางอย่าง
ซึ่งยังไม่เคยถูกเล่าที่ไหนมาก่อนเลย
ทว่านั่นก็เป็นเพียงการหยิบ
“เหล้าเก่า” มาผสมในขวดใหม่
แม้จะเป็นการหยิบเอาตัวละครเก่ามาเล่าต่อ
ก็ยังดูเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันยังไปไม่สุด
เมื่อทีมผู้สร้างยังไม่เป็นหนึ่งเดียวกับฟอร์ซเท่าที่ควร
พยายาม “ปรุงแต่ง” ความใหม่เข้าไปมากเกิน
จนเสน่ห์แห่งรสชาติดั้งเดิมมันเจือจางลง
ไม่อาจส่งมาถึงหัวใจแฟนๆ ได้เลย
ยังดีที่เมื่อมองผ่านหมู่ดาวเหล่านี้ไป
จะเห็นได้ว่ายังมีดาวหนึ่งดวง
ที่เปล่งประกายเฉิดฉายได้ด้วยตัวเอง
นั่นคือซีรีส์ “The Mandalorian”
กับเรื่องราวของ “Mando (Din Djarin)”
นักล่าค่าหัวผู้เก่งฉกาจที่ชะตาพลิกผัน
ตั้งแต่ที่ได้พบกับ “Grogu” หรือที่เราเคย
เรียกกันติดปากว่า “Baby Yoda”
เจ้าหนูเผ่าพันธุ์เดียวกับ อ.โยดา
ที่เข้ามากุมหัวใจเค้าและแฟนๆ อย่างเรา
สร้างปรากฏการณ์ให้ “Star Wars”
กลับมาฮิตติดกระแส กลายเป็นที่สนใจ
ของชนเผ่าทั่วทั้งกาแล็กซี่อีกครั้ง
แต่หากใช้ฟอร์ซมองลึกลงอีกที
เหตุผลที่ใครๆ ต่างก็ตกหลุมรักชุดซีรีส์นี้
ไม่ใช่เพียงความน่ารักของน้องโกรกูอย่างเดียวแน่นอน
จุดนี้เลยอยากชวนทุกคน
ทั้งเหล่าเจได, ซิธลอร์ด, นักรบทุกฝ่าย
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจักรวรรดิอิมพิเรียลก็ดี
หรือฝ่ายสาธารณรัฐใหม่ก็ตาม
โดยเฉพาะชาวแมนดาลอร์ผู้มีจิตวิญญาณ
แห่งยอดนักรบอยู่เต็มเปี่ยม
ขอให้ทุกคนค่อยๆ หลับตา ปล่อยใจ
รัดเข็มขัดแล้วนั่งยาน “Naboo N-1 Starfighter”
ออกไปดื่มด่ำกับเรื่องราวระหว่างทางครั้งนี้กัน
“เอาล่ะเจ้าหนู! พร้อมนะ”
.
.
.
1. ทำในสิ่งที่แฟนๆ อยากดู
อาจดูพูดง่าย ตรงไปตรงมา แต่หัวใจสำคัญของการเล่าเรื่องก็อยู่ที่ความเข้าใจใน “กลุ่มเป้าหมาย” แค่นี้จริงๆ และทีมผู้สร้าง The Mandalorian ก็ทำให้เห็นแบบนั้นชัดเจน ถึงภาพ แสง สี ฉากต่างๆ จะถูกอัพเกรดให้ดูสมจริง ตระการตาขึ้นด้วยเทคโนโลยีการถ่ายทำ
แต่พวกเค้ายังคงไว้ซึ่ง “กลิ่นอาย” ดั้งเดิมของความเป็น Star Wars ชนิดที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ยุคสมัย ถ้าได้ปาดตาดูก็รู้เลยว่านี่แหละคือชุดเรื่องเดียวกัน เหมือนเชฟที่รู้ว่าลูกค้าอยากกินอะไร ก็ทำแบบนั้นให้กิน คงไว้ซึ่งวัตดุดิบและกรรมวิธีเดิม เพื่อให้แก่นของรสชาตินั้นยังอยู่สมบูรณ์
อย่างในซีซั่น 3 ตอนแรกนี้เราก็ได้เห็นทั้งฉากจระเข้ยักษ์จู่โจม ที่เป็นดั่งภาพจำของแฟรนไชส์ว่ายังมีสิ่งมีชีวิตมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ตามระบบนิเวศน์ของดาวแต่ละดวง อยู่ที่บรรดานักรบและชาวเมืองว่าจะรับมือกับพวกมันยังไง หรือฉากที่แมนโด้ควบยานไล่ยิงพวกโจรสลัดนี่คือสุดจริง ภาพของยานรบบินฉวัดเฉวียน ชิงเหลี่ยมกันไปมาคือหนึ่งใน Signatures ของ Star Wars เลย ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปเปิดลิ้นชักความทรงจำเก่าๆ กลับมา สมัยฮาน โซโล กำลังห้าว หรือตอนเจ้าหนุ่มน้อยอนาคินได้แจ้งเกิดใน Ep.1
ดังนั้นเคล็ดลับที่จะครองใจแฟนๆ สำคัญสุดเลยคือการทำรสชาติดั้งเดิมที่คุ้นเคยแล้ว “ทำให้ถึง” แค่นั้นจริงๆ ทำในสิ่งที่แฟนๆ อยากดู ไม่ใช่สิ่งที่พวกกูอยากทำ แบบนั้นเค้าเรียกยัดเยียดให้กิน
2. ต่อยอดออกมาให้พอดี
ทีนี้เมื่อทีมผู้สร้างเค้ารู้แล้วว่าพวกเราชอบกินอะไร รสชาติแบบไหนที่แค่กลิ่นลอยมาก็ตรึงใจเลย ก็นำสิ่งเหล่านั้นมาต่อยอด ปรุงแต่งกับวัตถุดิบ เครื่องเทศใหม่ๆ ให้เข้ากันอย่างพอดี รู้ว่าทุกคนแพ้ความน่ารักของเจ้าโกรกูก็เฉลี่ยแอร์ไทม์ให้น้องปล่อยของได้เหมาะเจาะเหมือนเดิม ไม่น้อยไป ไม่มากเกิน
อย่างซีซั่นนี้ Ep. แรกก็ให้น้องโชว์ความแสบซน มองทุกอย่างรบตัวด้วยความฉงน สนใจไปหมด หมุนเก้าอี้ ใช้พลังเล่น ดึงพี่ๆ ชาว “Anzellan” มากอดคิดว่าเป็นของเล่นของกิน รึตอนที่ “Greef Karga” พยายามแปลภาษาเอเลี่ยนให้แมนโด้ทั้งที่คุยไปมา เอเลี่ยนก็พูดภาษาอังกฤษแล้วก็ยังจะก้มมาแปลให้55+ ช็อตต่างๆ เหล่านี้แอบเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้เบาๆ
สื่อให้เห็นว่าทีมผู้สร้าง ไม่เพียงแต่ใส่ใจรายละเอียดว่าต้อง “ใช้อะไร” อย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญด้วยว่าต้อง “ใช้ตอนไหน” ถึงจะพอดี ปรุงอะไรใหม่ๆ ได้แค่ไม่เสียรสเดิม ใครว่า Star Wars ที่เต็มไปด้วยเรื่องเครียดๆ และความขัดแย้ง แก่งแย่งจะเติมน้ำตาลหยอดความหวานฮาๆ (Sense of Humor) ลงไปไม่ได้อีก?
3. หยอดปริศนาให้ชวนคิดต่อ
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญที่ทำให้เราอยากติดตาม Star Wars ตอนต่อไปเร็วๆ นั่นคือการเล่าเรื่องแบบเทาๆ ไม่ขาวไม่ดำ ถึงจะมีนิยามเรียกฝ่ายธรรมะ-อธรรมอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีอะไรแยกจากกันโดยสมบูรณ์ เมื่อทั้งมนุษย์หรือเอเลี่ยนต่างก็มีชีวิตจิตใจ มีมุมมอง แนวคิด วิสัยทัศน์ต่างกันไปตามบริบท ประสบการณ์ และเรื่องราวของตัวเอง
แม้จะอยู่ฝ่ายเดียวกัน เผ่าเดียวกันก็ไม่จำเป็นว่าต้องเห็นตรงกันเสมอไป อย่างสภาเจไดนี่ก็ขัดแย้งกันแค่สองครั้งคือครั้งแล้วกับครั้งเล่าเอง เฉกเช่นเผ่าแมนดาลอร์ที่มีความเชื่อไม่ตรงกัน เหมือนศาสนาต่างนิกายระหว่างลัทธิ Children of the Watch VS Mandalorian หรือการแบ่งขั้วแนวคิดระหว่าง กลุ่มเคร่งศาสนา VS หัวสมัยใหม่ อารมณ์แบบศาสนาพุทธนิกายหินยาน-มหายาน หรือคริสต์โปแตสแตน-คาทอลิก ประมาณนั้นเลย
“ดิน จาริน” ยอมแหกกฎเหล็กของเผ่า เพราะเค้ารู้ว่าอะไรสำคัญกว่า
เป็นเวลาเกินค่อนชีวิตที่ “ดิน จาริน” ได้มอบจิตวิญญาณและหัวใจให้เผ่าดั้งเดิมที่ชุบเลี้ยงเค้ามาตั้งแต่เด็ก ทั้งการให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่ถอดหมวกออกจากหัวรวมถึงการทำอะไรในกรอบของชนเผ่า ใช้ชีวิตอยู่กับภารกิจไปวันๆ จนกระทั่งโกรกูได้เข้ามาเปิดหัวใจของชายนักล่าค่าหัวให้สัมผัสถึงความหมายบางอย่างในชีวิต ถึงขั้นยอมถอดหมวกเพื่อให้ลูกน้อยได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเค้า เมื่อรู้ว่าต้องแยกจากกันให้ไปอยู่ในการดูแลของปรมาจารย์เจไดอย่างลุคในท้ายซีซั่น 2 เป็นเหตุให้เค้าต้องโดนไล่ออกจากเผ่า
“Bo-Katan” ผู้นำลัทธิหัวสมัยใหม่
มาถึงซีซั่น 3 Ep. แรกนี้ ดิน จารินก็ยังคงพยายามพิสูจน์คุณค่าของตัวเองกับเผ่า ด้วยการไปอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนแมนดาลอร์เก่าเพื่อการชำระล้างบาปตามความเชื่อดั้งเดิม ขณะเดียวกัน “Bo-Katan” ตัวแทนแห่งลัทธิหัวสมัยใหม่กลับมองว่าโง่เง่า เป็นแค่ความเชื่อเก่าคร่ำครึเหมือนไสยศาสตร์ ซึ่งดิน จารินเองก็พอรู้ แต่ก็ยังคงยืนกรานจะพยายามให้สุดก่อน ทั้งที่ในใจก็อาจจะตั้งคำถามอยู่
ว่าในความเป็นจริงๆ แล้วกรอบกฎเกณฑ์ของชนเผ่าเป็นสิ่งสวยงามที่ควรยึดถือ ปฏิบัติสืบต่อ หรือเป็นเพียงสิ่งอุปโลกน์เพื่อให้สมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกและเป็นระบบ บริหารได้ง่ายมากกว่า เพราะเมื่อถึงยุคสมัยหนึ่งก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามโลกให้มันเหมาะ อาจไม่ถึงกับต้องใหม่หมด
น่าสนใจว่าเค้าจะใช้ Dark Saber นำทางอนาคตของเผ่ายังไง
แต่ทำยังไงถึงจะมาเจอกันครึ่งทางได้เพื่อปลุกชีวิตเผ่าพันธุ์ให้ผงาดไปด้วยกันอีกครา! น่าคิดว่าต่อจากนี้ดิน จารินจะเลือกเส้นทางไหนและจะไปสุดบนจุดใด บนความย้อนแย้งว่ายิ่งอยู่กับโกรกูนานเท่าไหร่ ความยึดติดกับลัทธิเค้ากำลังเริ่มลดลง? แล้วสุดท้ายเค้าจะใช้ “Dark Saber” ชี้นำเผ่าไปในทิศทางใด ซึ่งการทิ้งปลายเปิดไว้นี่แหละเสน่ห์อย่างนึงของ Star Wars
และที่น่ายินดีมากกว่านั้นคือ
การได้กลับมาเห็นรสชาติ
รวมทั้งบรรยากาศเก่าๆ ที่เราคุ้นเคย
ในวันที่ได้กลับมาสนุก โลดแล่น
ได้เห็นแฟนๆ ผสานฟอร์ซเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
วันที่กระแสแฟรนไชส์หนัง Star Wars ได้กลับมา
ทุกคนต่างพากันสวมชุดตัวละคร
หยิบของเล่นทั้งตุ๊กตาน้องโกรกรู
ไลท์เซเบอร์และอีกมากมาย
ถึงจะมาจากต่างที่มา ต่างดวงดาว
อยู่คนละกาแล็กซี่น้อยใหญ่ต่างกันไป
ทุกคนต่างก็มาด้วยหัวใจเดียวกัน
จนบรรยากาศแห่งความสุขนั้น
ลอยตลบอบอวลไปทั่วดาว Paragon Cineplex เลย
เหมือนบางสิ่งบางอย่าง
ไม่เคยเปลี่ยนไปใน “ความทรงจำ”
เป็นความรักความผูกพันที่เหนียวแน่น
แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กเบสคาร์
ขอขอบคุณเพจ Star Force
สหายเก่าเจได
ซี้ปึ้กจากดาว Tatooine
ที่ขับยาน X-wing มารับผม
ถึงสุดขอบกาแล็กซี่ไกลโพ้นทะเล
ที่ดาว Ahch-To อันปลีกวิเวกแห่งนี้
ให้ได้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ด้วยกัน
“This is the way!”
โฆษณา