7 มี.ค. 2023 เวลา 12:34 • กีฬา

ลิเวอร์พูลชนะขาดลอย 7-0 เพราะความกลัวและโกรธผสมกัน จนระเบิดฟอร์มสุดยอดขนาดนี้

หลังจากลิเวอร์พูล ชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0 มีการแสดงทรรศนะอย่างหลากหลายจากนักวิจารณ์ ผมไล่อ่านคอลัมนิสต์น่าจะทุกคนในอังกฤษแล้วครับ โดยบทความที่ผมชอบ เป็นของ โอลิเวอร์ โฮลท์ นักข่าวจากเดลี่ เมล์ครับ
โอลิเวอร์ โฮลท์ เป็นนักข่าวอาวุโส อายุ 57 ปี ในอดีตตอนเขาไปสัมภาษณ์บ๊อบบี้ ร็อบสัน สมัยเป็นเฮดโค้ชบาร์เซโลน่า ร็อบสันสั่งให้โชเซ่ มูรินโญ่ (ที่ตอนนั้นเป็นล่าม) ช่วยขับรถมาส่งโอลิเวอร์ โฮลท์ที่สนามบินด้วย
แล้วมูรินโญ่ก็ต้องยอมขับรถมาส่งโฮลท์ให้จริงๆ คือมันสื่อให้เห็นว่า เขาเป็นคนที่ได้รับเครดิต และบารมีอย่างมากจากคนในวงการฟุตบอลอังกฤษ
ในเกมแดงเดือดเมื่อคืนนี้ โฮลท์ ดูอยู่ในแอนฟิลด์ และเขียนเล่าความรู้สึกออกมาแบบนี้ครับ ผม อ่านแล้วชอบ เลยขออนุญาตแปลมาให้อ่านแบบคำต่อคำเลยนะครับ
1
-----------------------
[ OLIVER HOLT AT ANFIELD: Fear and RAGE drove Liverpool to their record-breaking 7-0 demolition of Manchester United ]
มีความกลัวเกิดขึ้นกับสโมสรลิเวอร์พูล ว่ายุครุ่งเรืองของพวกเขา จะถูกแย่งชิงโดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
มีความกลัวเกิดขึ้นกับสโมสรลิเวอร์พูล ว่า 1 ทศวรรษที่อยู่เหนือปีศาจแดงมาตลอด สายลมอาจจะหันเหทิศทางไปเป็นใจให้ยูไนเต็ดบ้างแล้ว
1
มีความกลัวเกิดขึ้นกับสโมสรลิเวอร์พูล ว่าหลังจากยูไนเต็ดลองผิดลองถูก เปลี่ยนโค้ชมาหลายคน ซื้อนักเตะที่ผิดพลาดมาหลายครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็จะกลับมาสู่ทิศทางที่ถูกต้องเสียที
มีความกลัวเกิดขึ้นกับสโมสรลิเวอร์พูล ว่าสุดท้ายแล้ว ยูไนเต็ดอาจจะแซงหน้าพวกเขาขึ้นไปได้อีกครั้ง
ความกลัวเหล่านี้ครอบคลุมลิเวอร์พูลก่อนเกมจะเริ่ม นี่คือซีซั่นที่ทีมหงส์แดงเต็มไปด้วยความผิดหวัง ความพ่ายแพ้ ความคลางแคลงใจในศักยภาพของตัวเอง สิ่งที่เคยมั่นใจว่าทำได้แน่นอน ก็กลายเป็นทำไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆ
นอกจากนั้นพวกเขายังกลัวว่ายุคสมัยของเจอร์เก้น คล็อปป์อาจจบสิ้นลงแล้ว พวกเขากลัวว่าความสำเร็จในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอาจจบลงแค่ตรงนี้ และพวกเขากลัวอย่างยิ่ง ว่ายูไนเต็ดจะกระชากลิเวอร์พูลลงมากองกับพื้น
แต่ความรู้สึกภายในของนักเตะลิเวอร์พูล ไม่ได้มีแค่ความกลัว มันยังมีความโกรธรวมอยู่ด้วย
พวกเขาโกรธที่ถูกมองข้าม โกรธที่โดนผู้คนไม่ให้ความเคารพ โกรธที่โดนดูหมิ่นว่าแก่เกินไป โกรธที่โดนวิจารณ์อย่างเสียๆ หายๆ ทั้งที่พวกเขาคือนักเตะชุดแชมป์ยุโรป และแชมป์พรีเมียร์ลีก ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง พวกเขายังไม่พร้อมที่จะถูกเหยียดหยามว่าหมดสภาพไปแล้ว
1
ตลอด 90 นาทีในเกมเมื่อคืนนี้ เต็มไปด้วยความกลัว เต็มไปโดยความโกรธแค้น และเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของสองสโมสร นี่คือสองทีมที่เย้ยหยัน ล้อเลียนกันเวลาอยู่เหนืออีกฝ่าย และสุดท้ายเกมของสองทีม ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศอังกฤษ ก็จบลงด้วยบทสรุปที่ไม่มีใครคาดคิด
2
นี่คือการถล่ม 7-0 สำหรับลิเวอร์พูล และนี่คือความอับอาย 7-0 ของยูไนเต็ด นี่คือความพ่ายแพ้เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ใช่ พวกเขาเคยแพ้ 7-0 มาแล้วในเกมเจอวูล์ฟส ในเดือนธันวาคม ปี 1931, แพ้ 7-0 ในเกมเจอแอสตัน วิลล่า เดือนธันวาคม 1930 และ แพ้ 7-0 ในเกมเจอแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เดือนเมษายน 1926 แต่ไม่มีความพ่ายแพ้ไหนเทียบเคียงได้กับการแพ้ 7-0 กับลิเวอร์พูล นี่มันเลวร้ายกว่าเกมที่ผ่านๆ มามากมายนัก
1
ประตูที่สองของซาลาห์ในเกมนี้ ทำให้เขายิงให้ลิเวอร์พูลไป 129 ลูกในเกมลีก สร้างสถิติเป็นผู้เล่นที่ยิงสูงสุดของสโมสร ถ้านับเฉพาะพรีเมียร์ลีก แซงหน้าร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ ส่วนโคดี้ กั๊กโป ก็ยิงไปสอง เช่นเดียวกับดาร์วิน นูนเยซ ก็ยิงไปสอง ก่อนจะได้ลูกปิดท้ายจากโรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ อำลาโชว์ครั้งนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
1
ชัยชนะนัดนี้ ได้นำมาลมหายใจแห่งชีวิตครั้งใหม่ เข้ามาสู่ลิเวอร์พูล มันฟื้นคืนความภาคภูมิใจ และสร้างความหวังให้กับการติดท็อปโฟร์เพื่อเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง แม้ตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ทีมจะเล่นได้น่าผิดหวังก็ตาม
2
สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนหน้าเกมนี้ มีแต่การพูดถึงว่าพวกเขาจะกลับมาคืนชีพอีกครั้ง แต่บทสนทนาเหล่านั้นต้องถูกยุติลงไว้ชั่วคราว ขณะที่ผู้เล่นที่ผลักดันทีมมาตลอดซีซั่นอย่างคาเซมิโร่ ก็หายตัวไปจากเกมเมื่อคืนนี้อย่างสมบูรณ์
1
ความพ่ายแพ้นัดนี้ ไม่ได้ลบล้างสิ่งที่เอริก เทน ฮาก ทำมา ตั้งแต่ย้ายมายูไนเต็ด แต่มันทำให้เกิดคำถามว่า พวกเขาใกล้เคียงแค่ไหน กับการคืนชีพเป็นสุดยอดทีมเหมือนอดีตอีกครั้ง เพราะเกมนี้ มันไม่ใช่แค่ความพ่ายแพ้ธรรมดา แต่สิ่งที่นักเตะแสดงออกมา เป็นเรื่องน่ากังวลใจกว่าเสียอีก
ยูไนเต็ดโดนฉีกเป็นชิ้นๆ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่ต่างอะไรกับคนที่ชอบคุยโวโอ้อวด ไปดูในตารางตอนนี้ ยูไนเต็ดโดนอาร์เซน่อลทิ้งห่าง 14 คะแนน หนึ่งเกมที่เคยมีในมือ ตอนนี้ก็หมดไปแล้ว ก่อนหน้านี้อาจจะมีความหวังอยู่สักนิดว่าจะลุ้นแชมป์ แต่ความหวังนั้นก็จบลงไปแล้ว
2
ในหนังสือแมตช์เดย์ของลิเวอร์พูล พวกเขาจงใจสร้าง Mood บรรยากาศ ว่าเกมนี้จะมีทิศทางอย่างไร โดยหน้าปกของหนังสือเป็นเจมส์ มิลเนอร์ เต็มไปด้วยหนวดเครา ดูตึงเครียด ไม่ได้เนี้ยบหล่อ สายตามิลเนอร์จ้องมองมาอย่างซีเรียส ถ้ามองแล้ว นี่คือไอเดีย ที่ลิเวอร์พูลจะบอกกับแฟนๆ เลยว่า เกมนี้ทีมจะมาด้วยจิตใจกร้าวแกร่ง และแฟนๆ ก็ต้องแกร่งให้เหมือนกับทีม อย่ามาอ่อนไหวกันง่ายๆ เด็ดขาด
2
เกมนี้ ดาวรุ่งพุ่งแรงที่แจ้งเกิดขึ้นมา สเตฟาน บายเซติช ถูกดร็อปจากตัวจริง โดยเป็นฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ลงแทน เกมนี้เอลเลียตต์โดนคาเซมิโร่อัด แต่โคดี้ กั๊กโปก็ไปเอาคืนใส่เฟร็ด ส่วนแอนดี้ โรเบิร์ตสันก็อัดแรชฟอร์ดกระเด็นไปชนป้ายโฆษณาโน่นเลย บรรยากาศของความตึงเครียดในความเป็นคู่อริ มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลาในสนาม
3
ในช่วงต้น ยูไนเต็ดสร้างโอกาสได้ก่อนด้วยซ้ำ เมื่อเวกฮอร์ส จ่ายให้อันโตนี่ตัดเข้าในแล้วยิงด้วยเท้าซ้ายแต่อลิสซอนพุ่งเซฟเอาไว้ได้
1
สามนาทีก่อนหมดครึ่งแรก ในขณะที่ยูไนเต็ดเหมือนจะเป็นต่อ ลิเวอร์พูลกลับขึ้นนำได้เมื่ออลิสซอน วางบอลยาวจากแดนตัวเองมาให้โรเบิร์ตสัน ที่หาช่องแล้วจ่ายบอลแทงให้กั๊กโป ที่วิ่งเอาชนะเฟร็ดมาได้ ก่อนจะแตะหลอกราฟาแอล วาราน แล้วปั่นบอลเข้ามุมประตู แอนฟิลด์บ้าคลั่งไปด้วยความสุขที่ขึ้นนำ 1-0
พอเข้าครึ่งหลังได้แค่นาทีเดียว การส่งอย่างไม่ระวังของลุค ชอว์ โดนเอลเลียตต์ตัดบอลได้ ก่อนที่ฟาบินโญ่กับเฮนเดอร์สัน จะช่วยกันรุกขึ้นมาจนถึงเขตโทษของยูไนเต็ด สุดท้ายเอลเลียตต์ครอสบอลด้วยขวา ให้นูนเยซโหม่งจ่อๆ เต็มแรงผ่านเด เกอา เข้าไป ลิเวอร์พูลนำ 2-0
1
การฉลองลูกนี้ยังไม่จบดี เฮนเดอร์สันตัดบอลจากแมนฯ ยูไนเต็ดได้ แล้วโชว์ความเยือกเย็นจ่ายต่อให้กั๊กโป กั๊กโปแทงต่อให้ซาลาห์ ที่หลอกล่อมาร์ติเนซผู้น่าสงสาร ถ้าเป็นแพดดี้ ครีแรนด์ ตำนานของยูไนเต็ด จะเรียกจังหวะนี้ว่า "หลอกจนหน้าทิ่ม"
2
ซาลาห์หลอกมาร์ติเนซว่าจะไปทางหนึ่ง มาร์ติเนซพยายามจะไปดักทาง แต่ซาลาห์ฉีกไปอีกด้าน จนมาร์ติเนซลื่นลงไปกลิ้งกับพื้น จังหวะแบบนี้แน่นอนว่าจะมีคนเอาไปทำ มีม ล้อเลียนอีกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งพอมาร์ติเนซร่วงไปแล้ว ซาลาห์จ่ายบอลผ่านเขาให้กั๊กโป ที่ยิงผ่านเด เกอา แบบคมกริบสุดๆ
1
ยูไนเต็ดตอนนี้เคว้งคว้างสุดๆ ความมั่นใจต่างๆ ในช่วง 2-3 วีกที่ผ่านมา โดนทำลายไปหมดสิ้น พวกเขากลายเป็นทีมธรรมดาๆ อีกครั้ง คาเซมิโร่ที่เป็นสถาปนิกในการชุบชีวิตยูไนเต็ด นัดนี้หายไปจากแผงมิดฟิลด์อย่างสิ้นเชิง เขาต้านทานความขยันของเฮนเดอร์สัน และ ความคิดสร้างสรรค์ของเอลเลียตต์ไม่ได้เลย
2
เล่นไปเล่นมา มาร์ติเนซเองก็น็อตหลุด เขาไม่พอใจความเลินเล่อของเพื่อนร่วมทีม จนไปสอยกั๊กโปนอกกรอบเขตโทษ จนโดนใบเหลือง คือมันสื่อให้เห็นว่า พวกเขาไม่มีความเยือกเย็นเหลืออีกแล้ว แม้แต่สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่เป็นสำรองก็ยังโดนใบเหลืองจากการเสียบใส่กั๊กโป
ผ่านไปครึ่งทางของครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลได้ลูกที่ 4 เฮนเดอร์สันเป็นจุดเริ่มต้นของเกมสวนกลับเร็วอีกครั้ง ตอนแรกการสวนกลับเหมือนจะไปติดแนวรับของยูไนเต้ดแล้ว แต่บอลจากนูนเยซก็เด้งไปเข้าทางซาลาห์ ที่วิ่งเข้าหาบอลด้วยสัญชาตญาณ แล้วยิงแบบไม่จับบอลพุ่งชนคานเข้าประตู ผ่านเด เกอาไปอีกลูก
จากนั้นก็มาสู่ลูกที่ 5 เฮนเดอร์สันได้บอลเก็บตกจากฟรีคิกแล้วบอมบ์กลับเข้าไป ให้นูนเยซ ที่กระโดดสูงที่สุดโหม่งผ่านเด เกอาไปได้ ยูไนเต็ดอยู่ในสภาพทีมที่ช็อก แล้วก่อนหมดเวลา 5 นาที ทุกอย่างก็แย่ลงไปใหญ่ เมื่อบอลกระเด้งกระดอนมาเข้าทางซาลาห์ซัดผ่านเด เกอา ทำสถิติของตัวเองขึ้นได้สำเร็จ
อีกสามนาทีต่อมา ลูกชายคนโปรดของลิเวอร์พูล โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่เตรียมจะอำลาสโมสรหลังจบซีซั่นนี้ เขาได้รับเสียงปรบมือดังสนั่นจากแฟนๆ ตอนเปลี่ยนตัวลงมา ซึ่งพอลงมาปั๊บเขาก็ยิงลูกที่ 7 ได้สำเร็จ ซึ่งแฟนๆ ลิเวอร์พูลตอนนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น พวกเขาใจหนึ่งก็มีความสุข ใจนึงก็รู้สึกไม่เชื่อว่ามันจะเกิดได้จริง
ในแอนฟิลด์ หลังจากลิเวอร์พูลยิงลูกที่ 7 มีเสียงตะโกนอย่างพร้อมเพรียงว่า "เราต้องการ 10 ลูก! เราต้องการ 10 ลูก!" เหล่าเดอะ ค็อป ร้องเพลงเชียร์อย่างเฮฮา ในค่ำคืนมหัศจรรย์ที่แอนฟิลด์
บทสรุปของเกมนี้ นักเตะลิเวอร์พูลทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ อาจจะมีแค่การยิงให้ถึง 10 ลูกอย่างเดียวล่ะมั้ง ที่พวกเขาทำไม่ได้ในนัดนี้
-----------------------
จบแล้วครับ บทความของโอลิเวอร์ โฮลท์ ผมรู้สึกชอบในช่วงพาร์ทแรกๆ ที่บอกว่า ลิเวอร์พูลเกมนี้ ลงสนามด้วยความกลัว และความโกรธ คิดว่ามันใช่จริงๆ
2
กลัว ที่ความยิ่งใหญ่ของตัวเองจะถูกแย่งไป
กลัว ว่าจะกลายเป็นทีมธรรมดาๆ ที่ไม่มีลุ้นแชมป์
โกรธ ที่โดนดูหมิ่นว่าหมดสภาพแล้ว โดนดูแคลนว่าหมดยุคแล้ว
โกรธ ที่โดนหยามเกียรติทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เพิ่งได้แชมป์ทุกรายการบนโลกมาแล้วแท้ๆ
ความกลัวและโกรธดังกล่าว มันแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ใช้ลงเล่นในนัดนี้
1
ตลอด 90 นาที ลิเวอร์พูลเล่นด้วยความกระหาย เล่นด้วยแพสชั่น พวกเขารู้ว่า การชนะแมนฯ ยูไนเต็ดนัดนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้มีความหวังติดท็อปโฟร์ แล้วสิ่งที่หงส์แดงทำ คือไม่ใช่แค่เอาชนะ แต่ขยี้ให้เละจนไม่เหลือซาก
1
แล้วมันก็พอดี กับที่ฝั่งยูไนเต็ด เกมนี้เล่นแบบสติหลุด สมาธิขาด แท็กติกก็ผิดพลาด ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นใจเลย
ทีมหนึ่งเล่นได้สมบูรณ์ ทีมหนึ่งเล่นได้แย่ บวกกับจังหวะทุกอย่างเข้าทางหมด สกอร์เลยออกมา 7-0 ขนาดนี้
จากนี้ไป ลิเวอร์พูลมีหน้าที่ ที่จะสานต่อผลงานดีๆ ในเกมนี้ให้ได้ คือถ้าชนะยูไนเต็ด 7-0 แต่เกมต่อไป แพ้บอร์นมัธ ชัยชนะนัดนี้ก็ไร้ค่าเหมือนกัน
6
เช่นเดียวกับฝั่งยูไนเต็ด ก็ต้องตั้งสติให้ไว ทบทวนความผิดพลาดว่าเกิดจากอะไร อย่าให้แผลนี้เกิดซ้ำได้อีก ถ้าแมนฯ ยูไนเต็ดอีกสักโทรฟี่ส่งท้าย จะเป็นเอฟเอคัพ หรือยูโรป้าลีก ล่ะก็ ความพ่ายแพ้ 7-0 ก็อาจจะพอโดนมองข้ามไปได้
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเกมแห่งประวัติศาสตร์ ที่จะถูกหยิบมาพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าแน่นอน ใครจะไปคิดว่าเกมที่ควรจะสูสีสุดๆ กลับจบลงด้วยสกอร์ที่ขาดลอยขนาดนี้ เหลือเชื่อจริงๆ
โฆษณา