8 มี.ค. 2023 เวลา 06:47 • ธุรกิจ

กลุ่มทรู เรตติ้งพุ่งยกแผง ควบรวม “ดีแทค” เสร็จสมบูรณ์

พลันที่การควบรวมกิจการ ระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUEE (บริษัทเดิม) กับ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (DTAC) เสร็จสมบูรณ์ กลายเป็นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “TRUE” (บริษัทใหม่) และนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา
“ทริสเรทติ้ง” ได้ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ “TRUE” (บริษัทใหม่) เป็นระดับ “A+” จากเดิมอยู่ที่ระดับ “BBB+”
เรตติ้ง “TRUE” ขยับสู่ “A+”
“การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเสี่ยงทางด้านการเงินและทางด้านธุรกิจที่ดีกว่าของบริษัทที่เกิดการควบรวม พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้งยังยกเลิก ‘เครดิตพินิจ’ ที่ให้ไว้สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของ TRUEE ตั้งแต่เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 2565 ด้วย”
สำหรับ TRUEE สิ้นสภาพการเป็นนิติบุคคล โดยสินทรัพย์และหนี้สินทั้งหมดของ TRUEE ซึ่งรวมถึงหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่จัดอันดับโดยทริสเรทติ้งได้ถูกโอนไปเป็นของ TRUE นอกจากนี้ บริษัทย่อยทั้งหมดของ TRUEE ยังได้กลายมาเป็นบริษัทย่อยของ TRUE ในปัจจุบันอีกด้วย
เพิ่มเครดิต “TUC” เท่าบริษัทแม่
ขณะที่ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TUC) ก็ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทเป็นระดับ “A+” จากเดิมที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “stable” หรือ “คงที่” พร้อมทั้งยกเลิก “เครดิตพินิจ” ที่ให้ไว้สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิของบริษัทด้วย
โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นเป็นไปตามอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทแม่คือ TRUE ซึ่งในมุมมองของ “ทริสเรทติ้ง” เห็นว่า TUC มีสถานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ TRUE
ดังนั้น อันดับเครดิตของ TUC จึงมีระดับเท่ากับอันดับเครดิตของ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทแม่
หั่นเครดิต “DTN” เหลือ “A+”
ส่วน บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (DTN) ที่กลายเป็นบริษัทย่อยของ TRUE “ทริสเรทติ้ง” ได้ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทลงมาอยู่ที่ระดับ “A+” จากเดิมที่ระดับ “AA” พร้อมทั้งยกเลิก “เครดิตพินิจ” สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ทั้งหมดของบริษัท และกำหนดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “stable” หรือ “คงที่” เนื่องจากตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ” ของ “ทริสเรทติ้ง” อันดับเครดิตของ DTN ในฐานะที่เป็นบริษัทย่อยหลัก จึงเท่ากับอันดับเครดิตของ TRUE ซึ่งเป็นบริษัทแม่
“แข็งแกร่ง” ในอุตฯโทรคม
โดย “ทริสเรทติ้ง” ชี้ว่า การควบรวมกิจการ ทำให้ TRUE กลายเป็นผู้ประกอบการที่แข็งแกร่งมากในธุรกิจโทรคมนาคมและบริการดิจิทัลของประเทศไทย ด้วยการมีช่องทางธุรกิจที่หลากหลาย ซึ่งบริการของบริษัทครอบคลุมธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมแบบไร้สาย ธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (pay-TV) ธุรกิจโทรทัศน์ดิจิทัลและการเผยแพร่เนื้อหาความบันเทิง ตลอดจนธุรกิจให้บริการด้านดิจิทัล
ขณะที่บริษัทมีสินทรัพย์ที่เกิดจากการควบรวมกิจการทั้งสิ้นประมาณ 8 แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ใบอนุญาตที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ของทั้งสองบริษัท คลื่นความถี่ที่หลากหลาย ตลอดจนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่สูงกว่า 8 หมื่นล้านบาทด้วย
“ในมุมมองของทริสเรทติ้ง เห็นว่าการควบรวมธุรกิจจะทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมแบบไร้สาย โดยก่อให้เกิดความครอบคลุมของตลาดและฐานลูกค้าที่กว้างขวาง เครือข่ายการดำเนินงานที่กว้างใหญ่
และจำนวนคลื่นความถี่ที่หลากหลาย ทริสเรทติ้งเห็นว่าการมีขอบเขตธุรกิจขนาดใหญ่เป็นความได้เปรียบทางการแข่งขันที่สำคัญสำหรับผู้ให้บริการด้านโทรคมนาคมเพราะจะช่วยให้สามารถขยายการลงทุนได้อย่างต่อเนื่องในโครงข่าย คลื่นความถี่ และมีความพร้อมในการเข้าสู่การให้บริการในระบบดิจิทัลได้เป็นอย่างดี”
ด้วยฐานลูกค้าที่กว้างขวางและสินทรัพย์การดำเนินงานขนาดใหญ่จากผู้ประกอบการรายใหญ่ 2 รายเดิม “ทริสเรทติ้ง” จึงคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการประหยัดจากขนาดและการผสานพลังทางธุรกิจภายในกลุ่มเป็นผู้นำตลาดในอุตสาหกรรมการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
“จากการควบรวมกิจการ TRUE จึงกลายเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมแบบไร้สายของไทย โดยการควบรวมกิจการในครั้งนี้ ทำให้ตลาดเหลือผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่เพียง 2 ราย คือ TRUE และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS)”
ซึ่ง TRUE จะมีฐานลูกค้ารวมอยู่ที่ 55 ล้านราย กลายเป็นผู้นำด้วยส่วนแบ่งตลาดที่ระดับ 54% สูงกว่า AIS ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 46%
ผู้นำตลาดบริการสื่อสารไร้สาย
“ทริสเรทติ้ง” คาดว่า บริษัทจะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดในด้านบริการสื่อสารแบบไร้สายเอาไว้ได้ โดยมองว่าคลื่นความถี่ที่บริษัทมีเป็นจำนวนมากนั้น เป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในเชิงกลยุทธ์ ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในการให้บริการข้อมูลความเร็วสูงให้แก่ลูกค้า
ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงใช้ชื่อแบรนด์ทั้ง “TRUE” และ “DTAC” ต่อไปอีกอย่างน้อย 3 ปีข้างหน้า โดยแบรนด์ทั้งสองนี้เป็นที่ได้รับการยอมรับในหมู่ผู้บริโภคและคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างความผูกพันกับลูกค้าได้
ขณะที่การมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่แข็งแกร่ง คือ กลุ่มบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) รวมทั้ง Telenor ASA (Telenor) และบริษัทที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่างถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของบริษัท นอกจากนี้ ยังมี China Mobile International Holdings Ltd. ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 10% บริษัทจะได้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางธุรกิจเหล่านี้
รายได้ 3 ปีข้างหน้า 2 แสนล./ปี
ทั้งนี้ “ทริสเรทติ้ง” คาดว่า รายได้จากการดำเนินงานรวมของ TRUE ในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 1.96-2.01 แสนล้านบาทต่อปี โดยประเมินสมมุติฐานกรณีพื้นฐาน ปี 2566-2568 คาดว่า EBITDA ของ TRUE จะอยู่ในช่วง 8.2-9.8 หมื่นล้านบาทต่อปี และจะมีอัตรา EBITDA ต่อรายได้รวม (EBITDA margin) อยู่ที่ระดับ 42-49% โดยที่กระแสเงินสดจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากการควบรวมกิจการในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และคาดว่าเงินทุนจากการดําเนินงานจะอยู่ในช่วง 5.8-7.2 หมื่นล้านบาทต่อปี
ขณะที่เงินลงทุนโดยรวมจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.4-4.3 หมื่นล้านบาทต่อปี เพื่อใช้ขยายโครงข่าย ส่วนภาระในการชำระค่าใบอนุญาตคลื่นความถี่ตามกำหนดจะอยู่ที่ประมาณ 1.5-2.3 หมื่นล้านบาทต่อปี
ที่มา ประชาชาติ
โฆษณา