9 มี.ค. 2023 เวลา 07:07 • หุ้น & เศรษฐกิจ

BANPU น่าสนใจแค่ไหน? เมื่อ P/E ต่ำ และแนวโน้มธุรกิจยังแข็งแกร่ง

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจ เพราะหากย้อนดูค่า P/E ล่าสุดของวันที่ 7 มี.ค.2566 อยู่ในระดับแค่เพียง 2.25 เท่า ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในระดับ 11.96 เท่า และยิ่งไปกว่านั้นค่า P/E ของ BANPU ต่ำกว่าของตลาดหลักทรัพย์ฯที่อยู่ในระดับ 19.37 เท่า
ขณะเดียวกันหากดูอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ( 7 มี.ค.66) อยู่ในระดับกว่า 10.28% ซึ่งถือว่าอยู่ในจุดที่สูงเมื่อเทียบกับในช่วงปี 2564 และ 2565 ที่อยู่ในระดับ 2.12% และ2.34% ตามลำดับ
อีกทั้งหากย้อนดูคำอธิบายในงบการเงินงวดปี 2565 จะพบว่า BANPU มีรายได้จากการขายรวม 7,693 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 272,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,570 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 139,080 ล้านบาทคิดเป็น 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 3,916 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 137,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 1,162 ล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 40,519 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 282%
โดยทั้งหมดทั้งมวลแล้วเป็นผลจากการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานโลก ประกอบกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจด้วยความคล่องตัวและยืดหยุ่น ทำให้สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง เพื่อสร้างผลกำไรและกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง
สำหรับแนวโน้มในแง่มุมของการดำเนินธุรกิจจะยิ่งสร้างความน่าสนใจให้กับ BANPU ได้เป็นอย่างดี โดย BANPU ได้วางงบลงทุนในปี 66 ไว้ใกล้เคียงกับปีก่อนหรือราว 900 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดเป็นหลักหรือราว 60% โดยเฉพาะการลงทุนพลังงานเพื่ออนาคต ทั้งพลังงานหมุนเวียน การลงทุนใน Venture capital ในส่วนที่เหลืออีกราว 40% จะใช้รองรับการลงทุนในธุรกิจก๊าซ
ขณะที่แนวโน้มธุรกิจในปีนี้ ยอดขายถ่านหินในปีนี้จะอยู่ 42 ล้านตัน เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศจีนตั้งแต่ไตรมาส 2/66 จะเริ่มฟื้นตัวกลับมาได้หลังจากที่มีการเปิดประเทศ และประกอบกับในประเทศอินโดนีเซียยอดส่งออกมีการเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นตามด้วยเช่นกัน
[มุมมองอนาคต BANPU จากนักวิเคราะห์]
บริษัท หลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เชื่อว่าบริษัทจะกลับมารายงานกำไรสุทธิได้ในไตรมาส 1/66 แม้จะได้รับผลกระทบจากแนวโน้มราคาขายเฉลี่ย (ASP) ถ่านหินและก๊าซฯที่ลดลงจากผลกระทบของฤดูหนาวที่อุ่นกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่บริษัทก็น่าจะเห็น hedging gain มาชดเชยได้
แต่อย่างไรก็ตามปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 66 ลงเล็กน้อย 2% เป็น 2.29 หมื่นล้านบาท ลดลง 44% เมื่อเทียบกับปีก่อน หลักๆเพื่อสะท้อน gas ASP และต้นทุนถ่านหินที่สูงกว่าเดิมหลักๆจากค่าภาคหลวง (royalty fee) ที่ยังคงสูงอยู่ ใน
ขณะเดียวกัน ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 67 จะสูงขึ้น 9% จากปี 66 เป็น 2.50 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าต้นทุนการผลิตถ่านหินจะลดลงในอัตราที่เร็วกว่าการปรับสู่ระดับปกติของราคาถ่านหิน
ทั้งนี้ราคาหุ้น underperform SET -23% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับแนวโน้มราคาถ่านหินและก๊าซฯที่ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วจากอุปสงค์ในฤดูหนาวที่น้อยกว่าคาด โดยราคาปิดล่าสุดสะท้อน PBV ปี 66 ที่น่าสนใจที่ 0.78 เท่า(ประมาณ -0.50SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV 5 ปีย้อนหลัง)
โดยเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาได้สะท้อนแนวโน้ม ASP ที่อ่อนแอไปมากแล้ว ในขณะที่กำไรไตรมาส 1/66 น่าจะได้รับการป้องกันบางส่วนจากกิจกรรมป้องกันความเสี่ยงของบริษัทหลังจากที่ gas ASP ที่ปรับตัวลดลงเร็วกว่าคาดจากฤดูหนาวที่อุ่นมากกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในยุโรป
ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 14.50 บาท อิงวิธี SOTP ซึ่งมีมุมมองเป็นกลางหลังเข้าร่วมประชุมนักวิเคราะห์ โดยแนวโน้มธุรกิจถ่านหินยังคงแข็งแกร่งแม้อาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงครึ่งหลังปี 65 ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติ US ที่อ่อนตัวตั้งแต่ต้นปี น่าจะได้รับการป้องกันบางส่วนจากการทำป้องกันความเสี่ยง (hedging) ไว้ สำหรับปี 66 บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มปริมาณการผลิตถ่านหินเพื่อที่จะได้ประโยชน์จากราคาที่สูงกว่าอดีตอยู่
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มกำไรหลักในไตรมาส 1/66 เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน หนุนโดยกำไรที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจถ่านหินและก๊าซ (ราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้น) อย่างไรก็ตามกำไรหลักในไตรมาส 1/66 มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัว เนื่องจากกำไรที่ลดลงของธุรกิจถ่านหินและก๊าซ (ราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง)
โฆษณา