10 มี.ค. 2023 เวลา 03:36 • หุ้น & เศรษฐกิจ

💰 ราคาหุ้นมาจากไหน? 💰

💀ดอย ไม่ใช่สถานที่แต่ดอยคือการที่ผู้คนจำนวนมากพากันไปซื้อหุ้นจนราคาพุ่งสูงลิ่ว พอเราเห็นว่าหุ้นนั้นราคาพุ่ง เราก็คิดว่าถ้าเราเข้าไปซื้อด้วยต้องได้กำไรดีแน่ๆ เลย แต่หารู้ไม่ว่ากว่าเราจะเข้าซื้อ คนที่ซื้อหุ้นตัวเดียวกันไปก่อนหน้านี้ก็เทขายทำกำไร ส่วนบางคนก็ Cutloss หนีตาย ส่วนเราที่ถือคติ “ไม่ขาย = ไม่ขาดทุน” ก็ได้อยู่บนดอยด้วยประการฉะนี้ เตร๊งเตรงเตร่งเตร๊งงง.... เอาล่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่ามือใหม่หัวใจ VI อย่างเราจะต้องลงทุนยังไงให้ไม่ดอย💀
💨 ถ้าจะตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าจะลงทุนยังไงให้ไม่ติดดอย = ต้องไม่ไปหุ้นซื้อที่ยอดดอย 💨
- สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนซื้อหุ้น คือการศึกษา วิเคราะห์ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นที่ภมีพื้นฐานดีหรือไม่ ราคาที่เหมาะสมที่ควรเข้าซื้อเป็นเท่าไหร่
- หากเรารู้ว่าหุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่คุณภาพไม่ดี และราคาหุ้นแพงกว่าราคาที่เหมาะสมของหุ้นไปมาก เราก็จะไม่ซื้อหุ้นนี้ตั้งแต่แรก หลีกเลี่ยงการติดดอย หรือหากซื้อไปแล้วก็จะปรับพอร์ตได้ทัน
🗯️ ปัจจัยเชิงพื้นฐาน
คือ ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อ "ผลประกอบการ" ซึ่งเป็นตัวกำหนดว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะยาว มักพิจารณาเป็น 3 ระดับ
- ระดับเศรษฐกิจ
1
นโยบายของภาครัฐ เช่น การขึ้น/ลดภาษี ดอกเบี้ย การนำเข้า/ส่งออก โครงการต่างๆ แม้กระทั่งนโยบายจากประเทศมหาอำนาจ เช่น จีน และสหรัฐฯ ก็อาจส่งผลกระทบ โดยจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยรวม แต่ละบริษัทอาจมากหรือน้อยแตกต่างกันขึ้นกับความเกี่ยวข้องกับปัจจัยนั้นๆ และมักจะส่งผลต่อตลาดหุ้นในระยะกลางถึงยาว
- ระดับอุตสาหกรรม
เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อทุกบริษัทในอุตสาหกรรม ส่งผลมาจากแนวโน้มของเศรษฐกิจ เช่น การเปิดประเทศของจีนที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก และหุ้นบริษัทสินค้าแบรนด์เนมก็ราคาขึ้นสูงมาก หรือ กระแสพลังงานสะอาด ส่งผลต่อบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า
- ระดับบริษัท
ปัจจัยที่ส่งผลต่อกำไรของบริษัท ไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง เช่น ผลิตภัณฑ์ใหม่ ความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย การร่วมมือกันกับบริษัทอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและฐานลูกค้า ความสามารถในการแข่งขัน ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ต้องใช้การติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด และจำเป็นต้องรู้อย่างลึกซึ้ง
1️⃣ ซื้อหุ้นดี ราคาถูก
- เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานทั้ง 3 ระดับแล้วเราก็ต้องประเมินราคาหุ้น (Valuation) เพื่อหามูลค่าที่แท้จริง ซึ่งทำได้หลายวิธี แล้วเปรียบเทียบกับราคาตลาดในปัจจุบัน ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ไม่ติดดอยคือต้อง “ซื้อหุ้นดีราคาถูก” เป็นหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และหากมีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) อย่างน้อย 15-20% ขึ้นไป ก็จะทำให้โอกาสติดดอยของเราน้อยลง โอกาสในการทำกำไรเพิ่มขึ้น
😎 โดยมีตัวช่วยดีๆ ที่อยากจะแนะนำสำหรับมือใหม่ คือ www.jitta.com ที่ประเมินคุณภาพหุ้นออกมาเป็น Jitta Score และราคาหุ้นที่เหมาะสมออกมาเป็น Jitta Line แล้วจัดอันดับหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดทุกไตรมาสจากงบการเงิน เราสามารถเลือกหุ้นที่ Score มากกว่า 5 และราคาปัจจุบันต่ำกว่า Jitta Line (ยิ่งต่ำกว่ามาก ยิ่งดี แปลว่า ราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง) มาใส่ในพอร์ตเราก็ได้ แต่ต้องศึกษาข้อมูลหุ้นและปัจจัยทั้ง 3 ระดับด้านบนอีกครั้งให้แน่ใจก่อนตัดสินใจลงทุน 😎
2️⃣ กระจายการลงทุน
- แม้จะซื้อหุ้นดีราคาถูกแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสที่ผลตอบแทนจากการลงทุนของเราจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เราจึงต้องลงทุนหุ้นอย่างน้อย 5 ตัว ในคนละอุตสาหกรรม เพื่อกระจายความเสี่ยง หาก 1-2 ตัวขาดทุน แต่อีก 3 ตัวกำไร พอร์ตโดยรวมของเราก็จะรอดจากดอยได้
3️⃣ ติดตามผลการดำเนินงานอยู่เสมอ
- ทุกไตรมาสเราควรดูว่าผลประกอบการยังดีหรือไม่ กำไรและการเติบโตของบริษัทเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ราคาหุ้นสูงเกินกว่ามูลค่าที่แท้จริงไปแล้วหรือยัง หากสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้วอาจขายทำกำไรบางส่วน หรือไปซื้อตัวอื่นที่เห็นว่ามีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่า
4️⃣ เมื่อสงสัยว่าจะติดดอย ให้พิจารณาเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุน
- หากราคาหุ้นลดลงเกิน 5-10% ก็ควรพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เป็นปัจจัยชั่วคราวจากปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวบริษัทหรือเปล่า หากบริษัทยังดีอยู่ เราก็ถือหุ้นตัวนั้นต่อไปได้ หรืออาจอาศัยเป็นโอกาสเก็บของดีราคาถูกเข้ากระเป๋าเพิ่ม เพราะสุดท้ายแล้วราคาหุ้นจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงเสมอ (ถ้าเราไม่ได้ประเมินผิด) แต่ถ้าพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนไป เราก็อาจรีบขายหุ้นตัวนั้น แล้วนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่มีโอกาสที่ดีกว่า
โฆษณา