12 มี.ค. 2023 เวลา 08:00 • กีฬา

ทำไมลิเวอร์พูล จึงเป็นจอมล้มยักษ์ แต่แพ้ทีมเล็ก?

ลิเวอร์พูล ตกเป็นฝ่ายปราชัยให้กับ เอเอฟซี บอนมัธ ด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งถือเป็นครั้งที่สองของฤดูกาล 2022/23 ที่พวกเขาแพ้ให้กับคู่แข่งในอันดับสุดท้ายของตารางพรีเมียร์ลีก
เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า พลพรรคหงส์แดงเพิ่งเอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปด้วยสกอร์ 7-0 ซึ่งเป็นสกอร์ที่ขาดลอยสุดในการแข่งขันแมตช์อย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองทีม แต่กลับทำประตูใส่คู่แข่งที่อยู่อันดับสุดท้ายของตารางไม่ได้เสียอย่างนั้น
เกิดอะไรขึ้นกับ ลิเวอร์พูล มาวิเคราะห์คำตอบไปพร้อมกับ Main Stand
[โรบินฮูด]
“ล้มทีมใหญ่ แล้วแจกแต้มให้ทีมเล็ก” หรือฉายา “โรบินฮูด” ของ ลิเวอร์พูล จากการตั้งขึ้นโดยแฟนบอลเพื่อความขำขันนั้น มีที่มาจากวีรบุรุษนอกกฎหมายในตำนานของอังกฤษ ผู้บุกปล้นคนรวยเพื่อไปแจกจ่ายให้กับคนจน
ในฤดูกาล 2022/23 หงส์แดงงสามารถเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ท่อตแนม ฮอตสเปอร์ส, นิวคาสเซิล, และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่กลับทำแต้มหล่นให้กับ นอตติงแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด, วูลฟ์แฮมตัน และแมตช์ล่าสุดกับ บอนมัธ ที่ต่างเป็นทีมในโซนท้ายตารางตั้งแต่ช่วงทีมได้ลงทำการแข่งขัน มาจนถึงนัดปัจจุบัน
แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์แปลกใหม่สำหรับแฟนบอล ลิเวอร์พูล เพราะหากตัดช่วงทีมกำลังมีฟอร์มรุ่งเรือง หรือยุคของ “Mentality Monster" ออกไป พวกเขาก็เป็นเหมือน “โรบินฮูด” ที่สามารถวิ่งไล่ล่าทำประตูใส่ทีมใหญ่ และเก็บผลการแข่งขันอันยอดเยี่ยมออกมาได้เสมอ แต่มักพลาดท่าทำแต้มหล่นไปกับทีมเล็ก ๆ หรือสโมสรตั้งแต่ช่วงกลางตารางลงไปอยู่เป็นประจำ
2
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล อยู่ในช่วงที่มีความมั่นใจสุดขีด พวกเขาเพิ่งเอาชนะคู่ปรับอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปได้ 7-0 แถมยังวนมาพบกับทีมที่ทัพหงส์แดงเพิ่งเอาชนะไปได้ 9-0 เมื่อช่วงต้นฤดูกาล แถมยังไม่มีเรื่องของอาการบาดเจ็บรบกวน ที่อาจส่งผลต่อฟอร์มของทีมได้อย่างมีนัยสำคัญ
พูดโดยสรุปคือ ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ มีโอกาสชนะสูงมาก ระดับที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ยังทำนายเอาไว้ว่าแมตช์นี้จะจบลงด้วย 3 แต้มของทีมเยือนถึง 67.2% เพราะแม้ บอนมัธ จะเกือบทำเซอร์ไพรส์บุกไปเอาชนะ อาร์เซน่อล ถึงถิ่นมาได้ในสัปดาห์ก่อน แต่พวกเขาก็เก็บชัยชนะได้แค่แมตช์เดียว จากการลงเล่น 10 เกมหลังสุด ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกแล้ว
แต่แล้ว แผนการของกุนซือชาวเยอรมันก็ไม่สามารถใช้ได้ผลในเกมนัดนี้...
[ปืนฝืด?]
ลิเวอร์พูล ในยุคของ คล็อปป์ มักใช้การเข้าทำแบบเกเกนเพรสซิ่ง ที่ขึ้นบีบพื้นที่เร็ว เพื่อแย่งการครองบอลจากคู่แข่งกลับมาและเริ่มต้นสวนกลับเพื่อลุ้นขึ้นไปทำประตูนั้น มักไม่ค่อยแสดงอิทธิฤทธิ์เมื่อต้องเจอกับฝั่งตรงข้ามที่เน้นเล่นตั้งรับเป็นหลัก
1
บอนมัธ ลงเล่นด้วยแทคติค 4-4-1-1 โดยปีกทั้งสองฝั่งอย่าง เจดอน แอนโทนี่ และ แดนโก ออว์ตาร่า ต่างดรอปตำแหน่งลงมาเพื่อช่วยซ้อนไม่ให้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ วิ่งขึ้นไปเล่นได้สะดวก พร้อมกับสามารถถอยลงไปเล่นเป็นหลัง 6 ตัว เพื่อช่วยปิดเกมได้อีกเช่นกัน
ลิเวอร์พูล ประสบปัญหาในการเจาะเกมรับของคู่แข่งระดับต่ำกว่าอย่างจัง แม้กับฤดูกาลที่ทีมฟอร์มดี ก็ยังมีนัดที่ต้องอาศัยการเข้าทำในช่วงท้ายเกม ซึ่งอาศัยข้อผิดพลาดเล็กน้อยจากแนวรับของคู่แข่ง เพื่อช่วงชิงจังหวะเข้าไปทำประตูได้ อาทิ นัดที่ ดิว็อค โอริกี้ โหม่งประตูชัยใส่ เอฟเวอร์ตัน ในนาที 90+6 หรือเกมที่ ลิเวอร์พูล ยิงสองประตูในช่วง 5 นาทีสุดท้ายของเกม จนแซงกลับมาเอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไปได้ 2-1
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาที่เกิดกับแค่หงส์แดงเพียงทีมเดียว เพราะคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทีมในระดับรองลงมา จะถอยลงไปเล่นเกมรับเป็นหลักเมื่อต้องพบกับสโมสรใหญ่ ๆ ซึ่งบางครั้ง ก็อาจอาศัยคุณภาพของผู้เล่นเกมรุก หรือความหลากหลายในจังหวะการขึ้นเกมเพื่อเจาะทะลวงไปให้ได้
1
แต่ก็มีอีกหนึ่งทฤษฎีที่น่าสนใจ คือ ลิเวอร์พูล เจอปัญหาปืนฝืดหลังจากยิงประตูใส่คู่แข่งได้เยอะหรือเปล่า?
หลังจบเกมบุกถล่ม คริสตัล พาเลซ 7-0 ในฤดูกาล 2020/21 พวกเขาสะดุดเสมอ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน 1-1 ต่อในทันที และตามด้วยการแพ้ 6 จาก 7 เกมในลีก ระหว่างกำลังเผชิญปัญหาแนวรับขาดแคลน เช่นกันกับตอนต้นฤดูกาลปัจจุบัน ที่หลังจากเกมเอาชนะ บอนมัธ 9-0 พวกเขาทำได้แค่เสมอ เอฟเวอร์ตัน ไบร์ทตัน และแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล ต่อมา
แน่นอนว่านักเตะเหล่านี้ผ่านการฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี แถม ลิเวอร์พูล ยังมีผู้เล่นในแนวรุกที่ถือว่ามีประสิทธิภาพ ทั้ง ดาร์วิน นูนเญซ, โกดี้ กั๊กโป, โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์, ดิโอโก้ โจต้า, และ โรเบอร์โต้ เฟอร์มิโน่ แต่ทำไมถึงยังมีเหตุการณ์ปืนฝืดแบบนี้อยู่ได้กันล่ะ?
[ความมั่นใจ]
หนึ่งในจังหวะเปลี่ยนเกม คือช่วงเวลาที่ ลิเวอร์พูล ได้ลูกจุดโทษในนาทีที่ 69 จากการทำแฮนบอลของ อดัม สมิธ ซึ่งนี่คือจุดโทษลูกแรกที่ทีมได้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
คนที่ได้รับหน้าที่สังหารคือ โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ที่เพิ่งทำลายสถิติดาวยิงพรีเมียร์ลีกสูงสุดตลอดกาลของสโมสรไปเมื่อนัดที่แล้ว และยังไม่เคยมีประวัติการยิงจุดโทษหลุดกรอบมาก่อน จากตลอดทั้งอาชีพการค้าแข้งของตัวเอง
ทว่าก่อนที่เกมนัดนี้จะเริ่มต้นขึ้น ซาล่าห์ ได้เปิดเผยในรายการ "When Stevie met Salah” ของสโมสรว่า “ผมไม่เคยรู้สึกดีกับการได้ยิงจุดโทษเลย ผมยังไม่ชอบมันมาจนถึงทุกวันนี้”
ก่อนเกมนัดนี้ เจ้าตัวยิงจุดโทษให้ทีมไป 27 ครั้ง หลังจากได้เริ่มยิงครั้งแรกในฤดูกาลที่เจ้าตัวกำลังขับเคี่ยวดาวซัลโวกับ แฮรี่ เคน และพลาดเป้าถูกเซฟได้ไปเพียง 3 หนเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะด้วยความมั่นใจ การคิดเยอะเกินไป หรือความกดดันอะไรบางอย่าง เจ้าตัวยิงหลุดกรอบออกไปในเกมนัดนี้ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทีมไปเลย
“มันอาจเป็นแค่สมมติฐานนะ แต่ผมคิดว่าถ้าเรายิงเข้า เราสามารถกลับมาคุมเกได้” คือสิ่งที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ เปิดเผยในสัมภาษณ์หลังเกม
“มันไม่ได้ทำให้ผลงานของเราดีขึ้นหรอก แต่มันเปลี่ยนผลการแข่งขันได้เป็นอย่างน้อย เขา (ซาล่าห์) ยิงประตูได้เยอะ เขาอาจพลาดลูกโทษไปได้ เพราะนี่แหละคือชีวิต”
ซึ่งความมั่นใจที่ร่นถอยไป ก็อาจมีส่วนให้หงส์แดงเผชิญกับปัญหาในการขึ้นเกมได้ เพราะเมื่อโมเมนตัมที่ควรมากลับไม่เกิดขึ้น ก็แทบเป็นจุดเปลี่ยนเกมที่โยนความได้เปรียบคืนให้กับเจ้าถิ่นไปเลย
เจเรมี่ สเนป อดีตนักคริกเก็ตทีมชาติอังกฤษ ผู้ผันตัวมาเป็นนักจิตวิทยาสำหรับนักกีฬา ให้ความเห็นว่า “ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก และอธิบายได้ยากมาเช่นกัน”
“เมื่อกองหน้าเสียความมั่นใจ ภาษากายของเขาจะแสดงออกมา และเรามักเห็นพวกเขาเล่นแบบระมัดระวังขึ้น ต่างจากตอนที่พวกเขามั่นใจ ที่จะเห็นการวิ่งทะลวงเข้าพื้นที่ว่าง และไม่พะวงกับการคิดก่อนยิงมากนัก”
ทีนี้ การพลาดแพ้ 0-1 ของ ลิเวอร์พูล จะเป็นแค่ความมั่นใจที่ดรอปลงไปเล็กน้อย ก่อนที่ทีมจะกลับมากู้ฟอร์มเก่งได้อีกครั้ง หรือเป็นแค่จุดเริ่มต้นของปัญหาขนาดใหญ่ที่ถูกซ่อนไว้อยู่นั้น ก็คงมีเพียงแค่เวลาที่สามารถให้คำตอบเราได้
โฆษณา