13 มี.ค. 2023 เวลา 13:30 • กีฬา

บทเรียนจาก จอร์จ เบสต์ : พิษของความสำเร็จ อันตรายยิ่งกว่าพิษของสุรา | Main Stand

จอร์จ เบสต์ ถือเป็นคนดังตัวจริงในโลกฟุตบอลยุค 1970s กับการใช้สองเท้าพิสูจน์ตัวเองจนได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งยุคสมัยโดยไร้ข้อกังขา กลายเป็นดาราลูกหนัง ที่ผู้ชายทุกคนในยุคนั้นล้วนอยากเป็นแบบเดียวกันกับเขา
อย่างไรก็ดี ชื่อเสียง เงินทอง ความสำเร็จที่ได้รับนั้น หอมหวานจนมิอาจควบคุมตัวเองได้อีก มันชักพาให้เขาหลงระเริงไปกับความโป้ปดอันจอมปลอม จนส่งผลกระทบต่อผลงานในสนามโดยตรง
และนี่คือบทเรียนจาก จอร์จ เบสต์ ชายผู้ถูกพิษของความสำเร็จเล่นงาน จนกลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์จอมเสเพล ที่โลกต้องจารึกไว้ ไปอีกนานเท่านาน ติดตามได้ใน Main Stand
เด็กชายช่างฝันจากไอร์แลนด์เหนือ
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทวีปยุโรปได้ไม่นาน ทั้งที่ปลอกกระสุนปืนยังจมดินไม่ดีนัก ความวุ่นวายในไอร์แลนด์เหนือก็ปะทุขึ้นอย่างร้อนระอุ แต่ครั้งนี้เป็นสงครามศาสนา ระหว่างโปรเตสแตนต์ กับ คาทอลิก ซึ่งรุนแรง และไม่มีท่าทีจะสงบลงง่าย ๆ
2
จอร์จ เบสต์ (George Best) ถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว ภายในเมืองเครกาห์ (Cregagh) ทางตะวันออกของกรุงเบลฟัสต์
เขาถูกเลี้ยงดูอย่างดีจาก ริชาร์ด 'ดิกกี้' เบสต์ (Richard 'Dickie' Best) บิดาผู้มีอาชีพเป็นช่างกลึงเหล็กในอู่ต่อเรือ Harland and Wolff และ แอน แมรี่ 'แอนนี่' เบสต์ (Ann Mary 'Annie' Best) มารดาผู้เป็นกรรมกรในโรงงาน ซึ่งทั้งคู่ ต่างเป็นสมาชิกของกลุ่ม Loyal Orange Institution หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "Orange Order" เป็นองค์กรภราดรภาพนิกายโปรเตสแตนต์ระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่ในไอร์แลนด์เหนือ และถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1795 ในช่วงที่นิกายโปรเตสแตนต์ และ คาทอลิก เริ่มขัดแย้งกันเป็นครั้งแรก ๆ
จอร์จ เบสต์ มีวัยเด็กที่ไม่ค่อยดีนัก เขาจำเป็นต้องสวมชุดนักเรียนแบบโปรเตสแตนต์ไปโรงเรียนทุกวันอย่างทรมาน เพราะความรุนแรนทางการเมือง ที่สร้างความเดือดร้อนไปทั่วไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนจำนวนมาก ถึงเกลียดชังกันได้มากขนาดนี้ เขารู้เพียงว่า มันทั้งน่ากลัว และ ไม่สนุกเอาเสียเลย
เขารู้จักฟุตบอลครั้งแรก จากการได้ดูบิดาเล่นให้กับทีมสมัครเล่นในท้องถิ่น แต่กลับได้พรสวรรค์ด้านกีฬาจากมารดาผู้ซึ่งเป็นนักกีฬาฮอกกี้ที่เก่งกาจ โดยเฉพาะทักษะการเลี้ยงบอลและการควบคุมบอล เขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับมีเวทมนตร์
จอร์จ หลงรักฟุตบอลอย่างมาก จนบางครั้ง เขาก็เผลอหลับไปพร้อมกับลูกฟุตบอล หรือซ้อมเดาะบอลจากลูกเทนนิสเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนมีคำเล่าว่า เขาจะดีใจอย่างมาก หากในวันคริสต์มาส จะได้รับของขวัญเป็น ลูกฟุตบอล รองเท้าสตั๊ด หรือเครื่องแต่งกายแบบนักฟุตบอล
ด้วยเหตุนี้ จอร์จ จึงหันหลังให้กับความวุ่นวายทางการเมือง แล้วเริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังในเวลาต่อมา มันคือสิ่งเดียว ที่ทำให้เขารู้สึกเป็นอิสระ เหมือนกับฟุตบอล และตัวเขา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จอร์จ เบสต์ เข้าเรียนระดับประถมที่ Nettlefield Best เขาเป็นคนฉลาด และค่อนข้างเอาใจใส่ในการเรียนอย่างมาก จนได้รับทุนการศึกษาจาก Grosvenor High School โรงเรียนระดับมัธยม ที่ผู้คนให้ความสำคัญเกี่ยวกับกีฬารักบี้เป็นส่วนใหญ่
แต่ จอร์จ เบสต์ ไม่ชอบกีฬารักบี้ หลังจากศึกษาได้แค่ปีเดียว ก็ย้ายกลับไปเรียนที่ Lisnasharragh Secondary School ในบ้านเกิดของเขาดังเดิม ที่นั่น เขามีเวลาฝึกซ้อมฟุตบอลอย่างเต็มที่ ทักษะด้านฟุตบอลของเขา ถูกเพิ่นพูนจากที่แห่งนี้นี่เอง
ครอบครัวของ จอร์จ สนับสนุนความฝันที่อยากเป็นนักฟุตบอลอย่างเต็มที่ เขาจึงมีสมาธิกับการฝึกฝนฟุตบอลโดยไม่ติดขัด
แต่ถึงกระนั้น แม้เขาจะเป็นผู้เล่นระดับพรสวรรค์ ที่สามารถเลี้ยงหลบคู่แข่งได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว และโดดเด่นจนหาตัวจับได้ยาก แต่เพราะมีรูปร่างที่เล็กบอบบางเกินไป ทำให้หลายทีมในไอร์แลนด์เหนือ ปฏิเสธจะเซ็นสัญญากับเขา
จอร์จท้อใจในช่วงแรก แต่เพราะกำลังใจจากครอบครัว ที่เห็นถึงความุ่งมั่นในตัวเขา บวกกับพรสวรรค์การลากเลื้อยที่สง่างาม และคล่องแคล่ว ทำให้ทุกคนมั่นใจว่า เขาจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต
จนกระทั่ง ในวัย 15 ปี จอร์จ มีโอกาสแสดงฝีเท้าให้ บ็อบ บิชอป (Bob Bishop) แมวมองของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เห็น บ็อบถึงกับตะลึงในความสามารถของเจ้าหนูคนนี้ และอุทานออกมาเบา ๆ ว่า
"บัดซบเถอะ ! ฉันเจออัจฉริยะเข้าให้แล้ว"
ดาราลูกหนัง
เดือนกรกฎาคม 1961 จอร์จ เบสต์ เดินทางออกจากบ้านเป็นครั้งแรก มุ่งหน้าสู่เมืองแมนเชสเตอร์อันห่างไกล พร้อมกับเพื่อนอีกคนชื่อ เอริก แม็คมอร์ดี้ (Eric McMordie) เพื่อทดสอบฝีเท้ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเวลาสองสัปดาห์
ขณะนั้น จอร์จอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น ความห่างไกลจากบ้านเกิด ทำให้เด็กหนุ่มคิดถึงครอบครัวเหมือนใจจะขาด เขาไม่อาจทนกับความกดดันที่ทรมานได้อีก จึงตัดสินใจกลับบ้านหลังมาทดสอบฝีเท้าได้เพียงแค่สองวันเท่านั้น
แต่ด้วยพรสวรรค์ที่เข้าตา แมตต์ บัสบี้ (Matt Busby) ผู้จัดการทีมในขณะนั้น จอร์จ จึงถูกกล่อมให้กลับมาฝึกซ้อมกับทีมบีของสโมรสร และอีก 2 ปีต่อมา เขาก็ได้รับการเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพ ให้กับทีมในที่สุด
ฤดูใบไม้ร่วงปี 1963 จอร์จ เบสต์ ในวัย 17 ปี ได้สัญญาอาชีพด้วยค่าจ้าง 17 ปอนด์ต่อสัปดาห์ โดยประเดิมนัดแรกให้กับทีมชุดใหญ่ในวันที่ 14 กันยายน ที่พบกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ซึ่งเขาเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย และช่วยให้ยูไนเต็ดเก็บชัยชนะไปได้ 1–0
1
วันที่ 28 ธันวาคม เขาซัดประตูแรกให้กับยูไนเต็ด ในเกมเปิดบ้านเอาชนะ เบิร์นลีย์ 5–1 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ถูกส่งลงเล่นเป็นประจำ ตลอดทั้งฤดูกาล 1963–64 ที่เหลือ โดยเขามีฤดูกาลแรกที่น่าประทับใจ ด้วยการลงเล่น 17 นัด ยิงได้ 4 ประตู
เรื่องราวหลังจากนั้นคือประวัติศาสตร์ ด้วยพรสวรรค์ในการครอบครองบอลที่โดดเด่น เขากลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของยูไนเต็ด ร่วมกับ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (Bobby Charlton) และ เดนิส ลอว์ (Denis Law) ที่มีส่วนช่วยให้ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 อังกฤษ 2 สมัย (1964-65 และ 1966-67) และยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย (1967-68)
ผลงานที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เกิดขึ้นในถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ (European Cup) ฤดูกาล 1967-68 ที่ยูไนเต็ดเข้าชิงชนะเลิศ พบกับ เบนฟิกา ทีมดังแห่งโปรตุเกส ซึ่งนำทัพโดย "เสือดำแห่งโมซัมบิก" ยูเซบิโอ (Eusebio) นักเตะดาวดังแห่งยุค บนสนามเวมบลีย์ ที่มีคนดูกว่า 92,225 คน
ในเกมนี้ จอร์จ ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม เขาเล่นในตำแหน่งปีกซ้าย และใช้สองเท้าที่คล่องแคล่วของตน เลี้ยงหลบกองหลังเบนฟิกา อย่างเป็นอิสระ เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และยิงได้ 1 ประตู ในนาทีที่ 92 ช่วยให้ยูไนเต็ด เอาชนะเบนฟิกาไปได้ 4-1 คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ อย่างยิ่งใหญ่ เป็นทีมแรกของอังกฤษ
ชัยชนะจากการคว้าแชมป์ยุโรป และรางวัล บัลลงดอร์ นักเตะยอดเยี่ยมของทวีปยุโรปในปี 1968 ด้วยนั้น ทำให้ จอร์จ โด่งดังอย่างฉุดไม่อยู่ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ล้วนลงข่าวเป็นหน้าของเขา และตามติดไลฟ์สไตล์ของเขา ประหนึ่งราวกับเป็นดารา
แจ็ค เบลล์ นักเขียนของนิวยอร์กไทม์ส ถึงกับเขียนไว้ว่า
"จอร์จ เบสต์ ร่ายมนต์สะกดในการเล่นฟุตบอล แบบที่ เดอะ บีทเทิลส์ ทำกับดนตรี เขาคือผู้ให้ความบันเทิงในสนามตัวจริง ก่อนที่นักกีฬาจะกลายเป็นคนดัง เขาเป็นฮีโร่ของชนชั้นแรงงาน ในกีฬาอังกฤษที่มีชนชั้นแรงงานมากที่สุด และเขาคือดาราลูกหนังคนแรกของโลก"
พิษแห่งความสำเร็จ
จอร์จ เบสต์ กลายเป็นไอคอนแห่งความสมบูรณ์แบบ อย่างที่ไม่มีนักกีฬาคนใดจะเทียบได้ในยุคสมัยของเขา ด้วยความสามารถที่โดดเด่น ทำให้ผู้คนล้วนอยากเป็นเช่นเดียวกับเขา และยังมีส่วนทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับความนิยมสูงสุดบนเกาะอังกฤษ
ไม่ใช่แค่ความสามารถที่โดดเด่นทางด้านฟุตบอลเท่านั้น จอร์จ คือชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี ผมสีน้ำตาล และดวงตาสีฟ้ากลมโตสดใส รวมถึงไลฟ์สไตล์การแต่งตัวที่สะอาดสะอ้าน สามารถดึงดูดผู้หญิงทุกวัย ตั้งแต่ระดับนักเรียน ไปจนคุณยายผมหงอก ให้เข้ามาสนับสนุน หรือชื่นชมเขาได้โดยไม่ต้องร้องขอ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกของฟุตบอล
"ผู้คนต่างตกตะลึง เหมือนถูกสะกด เมื่อเห็นทักษะฟ้าประทานของเบสต์ มันสร้างรอยยิ้มให้ทุกคนได้เสมอ ยกเว้นพวกกองหลังที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา" จอห์น เมย์ (John May) นักข่าวของบีบีซีเขียนลงในบทความชื่อ "Georgie the Best?"
จากความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว จอร์จกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ตัวจริง เขาถูกห้อมล้อมด้วยแฟนคลับจำนวนมาก ไม่ว่าจะทำอะไร ล้วนได้รับความสนใจจากผู้คนไปหมด
เขาหลงระเริงไปกับความศิวิไลของแสง สี เสียง ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน และทำตัวเหมือนกับดาราคนดังในยุคสมัยนั้น ที่นิยมเที่ยวผับ บาร์ หรือ ร้านเหล้าเป็นประจำทุกค่ำคืน
ไมเคิล พาร์กินสัน (Michael Parkinson) ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติคนแรกของจอร์จ อธิบายไว้ว่า
"จอร์จหลับนอนกับผู้หญิงหลายคน ส่วนใหญ่เป็นดารา นางแบบ นางงาม ที่โด่งดังในยุคนั้น เขายังถ่ายแบบเสื้อผ้า โฆษณาผลิตภัณฑ์ และเปิดร้านบูติกแฟชั่นชายในเครือของตัวเอง รายได้ของเขาจึงถือว่าสูงมาก ประมาณ 1,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เลยทีเดียว"
พิษแห่งความสำเร็จทำให้จอร์จหลงลืมตัวว่าเขาคือนักฟุตบอล และสิ่งที่ทำให้จอร์จมีวันนี้ได้ ก็คือการฝึกซ้อมอย่างเคร่งครัด แต่ทว่า สิ่งเหล่านี้ ดูเหมือนจะเป็นเพียงอดีตไปเสียแล้ว
แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ต้องปวดหัวต่อพฤติกรรมที่แหลกเหลวของจอร์จ ที่เริ่มมาซ้อมสาย ขี้เกียจวิ่ง ไปจนถึงขั้นมีปากเสียงกันระหว่างฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีม พอตกเวลากลางคืน ก็ดื่มสุราอย่างหนัก ประหนึ่งว่าไม่เคยรู้จักเมา ถึงแม้บัสบีพยายามเตือนอย่างไร ก็ไม่เป็นผล เพราะจอร์จไม่แยแสต่อคำเตือนของตนเลยแม้แต่น้อย
ความแหลกเหลวของจอร์จ สะท้อนออกมาได้ชัดเจน จากคำกล่าวของเขาที่ว่า
"ในปี 1969 ผมพยายามเลิกยุ่งกับผู้หญิง และแอลกอฮอล์ มันเป็น 20 นาที ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผมเลย"
1
แม้จอร์จ จะเคยทำผลงานยอดเยี่ยม ด้วยการซัลโวให้ทีมสูงสุดถึง 5 ฤดูกาลติดต่อกัน และยังมีส่วนในการพาทีมคว้าแชมป์อย่างมากมาย แต่ช่วงท้ายของการค้าแข้งให้ยูไนเต็ด เขากลับาถูกวิจารณ์ต่อฟอร์มการเล่นที่ไม่เอาไหน แฟนบอลหลายคนเริ่มไม่ชอบขี้หน้าของเขา ที่มักทำตัวเป็นคนขี้เกียจ วัน ๆ เอาแต่เมาหยำเป หรือเที่ยวสนุก จนขาดความมุ่งมั่นในการเล่นฟุตบอล
เขามีบั้นปลายกับทีมปีศาจแดงที่ไม่น่าประทับใจนัก แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่คิดจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แต่กลับแย่ลงไปทุกวัน จนยากที่จะกลับมามีฟอร์มยอดเยี่ยมได้ดังเช่นสมัยอดีตอีกครั้งหนึ่ง
จอร์จ ถูกทีมยกเลิกสัญญาหลังสิ้นสุดฤดูกาล 1973-74 ทิ้งไว้เพียงผลงานระดับตำนาน ด้วยการลงเล่นมากถึง 470 นัดในทุกรายการตั้งแต่ปี 1963 ถึง 1974 และยิงได้ 179 ประตู ฝากความทรงจำอันดีงาม บนคราบเพลย์บอย ที่แฟนบอลยูไนเต็ด ไม่อาจลืมเลือนได้มาจนถึงปัจจุบันนี้
3
บทเรียนอันล้ำค่าของจอร์จ เบสต์
หลังย้ายออกจากยูไนเต็ด ชีวิตของจอร์จก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว เขาพเนจรค้าแข้ง ให้ทีมต่าง ๆ ของลีกในแอฟริกาใต้ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา สกอตแลนด์ และออสเตรเลีย แต่ด้วยปัญหาเดิม ๆ คือโรคติดสุรา รวมถึงการไร้ระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม ทำให้เขาไม่สามารถกลับมามีผลงานที่ดีเยี่ยมได้เหมือนครั้งค้าแข้งให้ยูไนเต็ดอีกเลย
เขาสามารถค้าแข้งร่วมกับทีมต่าง ๆ ได้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ และการประพฤติตนที่ไม่เหมาะสม สุดท้ายจึงตัดสินใจยุติอาชีพ ในวัย 37 ปี นับเป็นเวลา 20 ปี หลังการย้ายเข้ามาเล่นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด พอดี
จอร์จ ต้องกลายเป็นคนล้มละลาย จนสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ไปกับสิ่งของที่ไม่จำเป็น อาทิเช่น รถหรู ของใช้แบรนด์เนม หรือแม้กระทั้งงานปาร์ตี้ ที่ไม่เกิดประโยชน์
1
เขายังเคยถูกโทษจำคุกในข้อหาเมาแล้วขับ ชีวิตของเขาเสื่อมถอยลงจนน่ากลัว เขากลายเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นคนที่ล้มละลาย ไม่มีแม้เงินจะซื้ออาหารกิน จนต้องขโมยเงินผู้อื่น เพื่อไปซื้อเหล้าดื่ม จนกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
เขาเล่าว่า "ผมนั่งอยู่ในบาร์บนชายหาด และเมื่อเธอลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมก็เอนตัวไปหยิบเงินทั้งหมดที่มีในกระเป๋าของเธอ เพื่อซื้อเหล้าดื่ม"
อย่างไรก็ดี จอร์จพยายามหลายครั้งที่จะเลิกดื่มสุรา เขาสัญญากับครอบครัวที่รักเขาด้วยใจจริงว่า จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นกว่านี้ แต่จอร์จติดสุราเกินกว่าจะล้มเลิกได้ง่าย ๆ เพราะมันจะทำให้เขาเกิดอาการลมชัก เมื่อขาดสุราเป็นเวลานาน
สุดท้าย จอร์จ เบสต์ จึงเสียชีวิตในโรงพยาบาลครอมเวลล์ในกรุงลอนดอน ด้วยวัย 59 ปี หลังประสบภาวะอวัยวะล้มเหลวหลายส่วน และมีภาวะปอดติดเชื้อ
1
ศพของเขาถูกฝังอย่างเรียบง่าย ในหลุมศพเล็ก ๆ ที่กรุงเบลฟาสต์ บ้านเกิดของเขา เคียงข้างกับ แอน แม่ผู้ลาจากไป เมื่อหลายปีก่อน
โทนี่ แบลร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ณ เวลานั้น กล่าวสดุดีต่อการจากไปของเขาว่า "เบสต์ น่าจะเป็นนักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์โดยธรรมชาติที่สุดในยุคของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สหราชอาณาจักรเคยสร้างมา"
ในด้านทีมชาติ เขาติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ 37 นัด ยิงได้ 9 ประตู แม้จะไม่เคยพาทีมชาติประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ได้เลยทุกการแข่งขันที่ลงเล่น และไม่เคยลงเล่นฟุตบอลโลกเลยแม้แต่สมัยเดียว แต่ก็จัดได้ว่า เป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไอร์แลนด์เหนือ เท่าที่เคยมีมา
เขาอาจกลายเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดตลอดกาล แทนที่ของ เปเล่ หรือ ดิเอโก้ มาราโดน่า ได้ไม่ยาก หากไม่หลงไปกับโลกมายาเสียก่อน สภาพจิตใจของเขาจึงย่ำแย่ลงมาก เพราะถึงแม้จะมีความสามารถพิเศษมากเพียงใด ก็ไม่อาจช่วยให้หลุดพ้นจากวงจรของความเสื่อมทราม หรือไลฟ์สไตล์เพลย์บอยไปได้เลย จนมีคำกล่าวว่า
"หาก จอร์จ เบสต์ ไม่ติดสุราไปเสียก่อน บางที ผู้คนอาจไม่รู้จัก เปเล่ เลยก็ได้"
บทเรียนชีวิตของ จอร์จ เบสต์ จึงช่วยย้ำเตือนได้ว่า พรสวรรค์และความมุ่งมั่น อาจทำให้เราประสบความสำเร็จได้ในเวลาที่รวดเร็ว มันจะนำมาซึ่งความมั่งมี ชื่อเสียง หรือเกียรติยศที่เราคาดไม่ถึง แต่ถ้าหากไม่รู้จักการยับยั้งชั่งใจ หรือปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงระเริงไปกับความสำเร็จเหล่านั้น จนควบคุมตัวเองไม่ได้
1
ความสำเร็จที่หอมหวาน ก็สามารถทำลายชีวิตของเราได้เช่นกัน เหมือนอย่างที่ จอร์จ เบสต์ เคยกล่าวไว้ว่า
1
"ผมเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ชิ้นเยี่ยม มันคือของขวัญจากพระเจ้า แต่บางครั้งมันก็สร้างความหายนะให้ผมได้เช่นกัน เพราะผมไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้เลย เมื่อถูกความสำเร็จครอบงำ"
1
จอร์จ กล่าวคำพูดนี้ ด้วยความรู้สึกสำนึกผิดด้วยใจจริง เขารับรู้แล้วว่า พิษของความสำเร็จอันตรายกว่าพิษของสุรามากนัก
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา