เมื่อเราอยู่กับ New normal มากเกิน จนสับสนว่าอะไรคือ Normal ที่แท้จริง
นึกถึงเรื่องจิตบำบัด (Pshychotherapist) การไปพบจิตแพทย์ต่างๆ ในเมืองไทยยังถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้แพร่หลายนัก แต่ในซีกตะวันตกอย่างอเมริกาเหมือนจะรับเรื่องเหล่านี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ American Culture
เหมือนที่เรามักเห็นในหนัง ซีรี่ส์อเมริกันบ่อยๆ ซึ่งก็รองรับด้วยความเป็นจริงที่ว่า นักจิตบำบัดถึง 6ใน 10 คนออกมาบอกว่าตารางของพวกเขาแน่น ไม่สามารถรับลูกค้าเพิ่มได้แล้ว
แล้วทำไมคนอเมริกันถึงมีความต้องการจิตบำบัดมาก? มีการค้นพบว่าส่วนหนึ่งมาจากการที่คนอเมริกันมีวัฒนธรรมการทำงานที่เคร่งเครียด ทำงานแข่งกับเวลา และความเป็นสังคมปัจเจกบุคคล(Individualism) ทำให้เชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวสูง จนอาจปลีกตัวออกมาจากครอบครัวและเพื่อนฝูง เมื่อเกิดความเครียด มีปัญหา ก็อาจทำให้มีข้อจำกัดในการระบาย เกิดความกังวลใจสะสม นอนไม่หลับ ซึมเศร้า ไปจนถึงสูญเสียความเป็นตัวเอง
จริงๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่น่าจะเฉพาะเจาะจงแค่อเมริกัน แต่น่าจะเป็นเรื่องของเมืองใหญ่ เมืองเศรษฐกิจทุกเมือง ที่มีความทุนนิยมสูง ให้ความสำคัญกับความสำเร็จ มองว่าชีวิตคือการแข่งขันกับคนอื่น สภาพสังคมและเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดผลักดันสภาพกายเราจนสภาพใจตามไม่ทัน
พอปัญหาเกิดขึ้น ทางแก้ปัญหาต่างๆ ก็ผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน อาหารเสริมช่วยคลายเครียด อาหารเสริมเพิ่มสารเคมีในสมอง ไปจนถึง การพบ Psychotherapist ก็เป็นหนึ่งใน "ทางแก้ปัญหา"
และแน่นอน เมื่อปัญหาและทางแก้ มาพร้อมกับปริมาณ คำว่า "ปัญหา" ก็กลายเป็น "เรื่องปกติ" กลายเป็น norm ในสังคม ที่เรียกกันว่า New normal ไป
เราอยู่กับความปกติปลอมๆ นี้จนลืมไปเลยว่าทางแก้ปัญหาจริงๆ ของเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ "ธรรมดา" จริงๆ ต่างหาก เป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์ ที่ถูกทำให้กลายเป็น luxury เป็นของหายาก และเป็นเรื่องไม่ปกติไปซะอย่างนั้น
เรื่อง "ปกติ" ที่ว่านี้คือ เพื่อน เวลา และอาหาร ทั้ง 3 อย่างนี้คือยาชั้นดี ที่ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากความปกติปลอมๆ
1. เพื่อนเก่า เพื่อนแก่ บางวัฒนธรรมมีถึงเพื่อนของตระกูล การมีเพื่อนดีๆ ที่เข้าใจและเติบโตมากับเรา ก็เหมือนมีพื้นที่ปลอดภัย ให้เราระบายความกังวลใจ โดยเพื่อนทำหน้าที่ validate feelings ของเรา ทำให้เรารู้สึกได้รับการยอมรับ (ไม่โดดเดี่ยว แปลกแยก มีความเป็นพวกเดียวกัน) เพื่อนอาจจะไม่ต้องให้ทางแก้ไขอะไร เพราะหลายครั้งคนเรามักมีทางแก้ปัญหาของตัวเองอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องการคือหูใหญ่ๆ สักคู่มากกว่า และแค่นั้นก็เพียงพอแล้วกับการทำให้เรามีกำลังใจหาทางออกให้กับปัญหา
2. เวลา หมายถึงการใช้เวลานิ่งๆ แบบมีสติ รู้ตัว รับรู้ถึงสิ่งที่เรากำลังเจอกำลังทำ รู้ในความเป็นไป แบบไม่ได้ถูกผลักไปซ้ายทีขวาทีตามกระแสสังคม ไม่บ้าจี้ ไม่ดิ้นพล่านไปตามความกดดันรอบข้าง แต่รู้ว่ากำลังทำอะไรคิดอะไร กำลังเจอกับปัญหาอยู่นะ โอเคปัญหาเป็นแบบนี้ วิธีที่น่าจะแก้ได้เป็นแบบนี้ รับรู้และกำลังทำให้มันดีขึ้น ซึ่งหลายๆคนบอกว่า เวลาที่มีสติ มักจะเกิดขึ้นตอนเราไม่เร่งรีบ และได้จิบกาแฟดีๆ สักแก้ว กับหนังสือดีๆ สักเล่ม กาแฟเป็นตัวช่วยให้เกิดความสงบทางจิตใจได้ดี แล้วก็หาได้ไม่ยากด้วย
3. อาหาร มีผลวิจัยจริงๆ ว่าอาหารไม่ดีอย่าง fastfoodไม่ได้แค่ทำให้เราอ้วน แต่ส่งผลต่อสภาพจิต โอกาสเป็นโรคซึมเศร้า และยังส่งเสริมวัฒนธรรมการกินเร็วๆ แบบผิดๆ ให้เราอีก ทำให้เป็นคนใจร้อน รอไม่เป็น เดือดพล่านไปหมดเป็นลูกโซ่ ในทางกลับกัน การทำอาหารทานเอง slow cook และทานอาหารที่ส่งผลต่อเอนดอร์ฟิน หรือฮอร์โมนความสุขอื่นๆ ในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้จริงๆ
ทั้ง 3 วิธี ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลย เรียกว่าเป็น "เครื่องเตือนใจ" เราดีกว่า เพราะสามสิ่งที่ธรรมดาเหล่านี้ ทำให้จิตใจของเราแข็งแรงขึ้นได้ทั้งสิ้น
ด้วยความที่กรุงเทพก็เป็นเมืองใหญ่ สภาพความกดดัน และดูความเติบโตของเทคโนโลยีในอนาคตแล้วคิดว่า culture นี้ก็ไม่ไกลตัวพวกเราแน่ ในขณะที่เรากำลังสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างบ้าคลั่ง จนมองว่าการ keep in touch กับเพื่อนและครอบครัว การนั่งนิ่งๆ ในร้านกาแฟ ดื่มกาแฟดีๆ เริ่มเป็นการเสียเวลา เราอาจจะต้องมาจัดลำดับความสำคัญในชีวิตกันใหม่แล้ว ถ้าอยากมี mental health ที่แข็งแรง
so back to basic โลกนี้มีเรื่องซับซ้อนมากพออยู่แล้ว อย่าเพิ่มความซับซ้อน ด้วยการทำให้เรื่องปกติกลายเป็นไม่ปกติไปอีกเลย
#เคยคิด
อ้างอิงข้อมูล
the guardian, forbes, thehealthy.com, healthline, nhs
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
